บทที่ 723 หวานกันแต่เช้า?
เมื่อสิ้นเสียง โทรศัพท์ก็ถูกวางสายลง
พยาบาลสาวยังไม่ได้จากไปในทันที สายตาของเธอยังคงจับจ้องไปยังห้องผู้ป่วยอันว่างเปล่า
ถ้วยเก็บความร้อนนั้นยังคงวางอยู่ที่เดิม
เธอมองดูคราบเลือดที่ติดอยู่บนผนังสีขาวและเดินเข้าไปอย่างใจเย็น จากนั้นเปิดไฟและทำความสะอาดจนหมดสิ้น ก่อนจะเดินออกจากห้องผู้ป่วยไป
เช้าวันต่อมา แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ลอดเข้ามาตามช่องของผ้าม่าน และส่องไปยังเตียง
เมื่อรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น เจียงสื้อสื้อจึงกะพริบตาเล็กน้อย เธอพลิกตัวและลืมตาขึ้นก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียง
หลังจากดูเวลาและพบว่ายังเช้าอยู่
เธอจึงจัดเก็บที่นอนจนเรียบร้อย เธอยิ้มขึ้นเบาๆก่อนจะเดินออกจากห้องมา
เนื่องจากกลัวว่าจะทำให้จิ้นเฟิงเฉินและเสี่ยวเป่าตื่น เมื่อตอนที่เธอเดินลงมาจึงได้พยายามเขย่งเท้าและทำทุกท่าทางให้เบาที่สุด
ที่ในห้องครัวนั้นคนรับใช้ยุ่งอยู่ตั้งแต่เช้า เจียงสื้อสื้อยืนอยู่หน้าห้องครัวสักพัก ในที่สุดก็มีคนรับใช้หันมาเห็นเธอ
“คุณหญิง อรุณสวัสดิ์ค่ะ เชิญไปนั่งที่ห้องรับแขกก่อน อาหารเช้าใกล้จะเสร็จแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้นเจียงสื้อสื้อที่กำลังเหม่อลอยก็ได้สติกลับคืนมา
คำเรียกที่บรรดาคนรับใช้เรียกเธอทำให้เธอรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเบาๆแล้วตอบว่า “เดี๋ยวฉันจะทำโจ๊กให้จิ้นเฟิงเฉินสักหน่อย”
เมื่อพูดจบเธอไม่รอให้คนรับใช้ปฏิเสธก็เดินเข้าไปด้วยตนเอง
คนรับใช้เหล่านั้นไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จึงได้แต่ถอยออกมาและยืนมองเธออยู่ที่ประตูอย่างเป็นห่วง “ดิฉันจะอยู่ข้างนอกตรงนี้ ถ้าคุณหญิงมีอะไรก็เรียกรับใช้ได้เลยค่ะ”
“อืม”
เจียงสื้อสื้อตอบรับเบาๆ จากนั้นก็เปิดน้ำซาวข้าวและหุงข้าว……
ไม่นานต่อมาเจียงสื้อสื้อก็เดินออกจากห้องครัว เนื่องจากบาดแผลของเธอยังไม่หายดีนักและเมื่อสักครู่ดูเหมือนว่าจะไปถูกบาดแผลเข้า เธอจึงค่อยๆเดินออกมาที่ปากประตูและกำชับคนรับใช้ว่า “ช่วยฉันดูไฟหน่อยนะ ฉันใส่ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”
คนรับใช้พยักหน้าตอบรับ เมื่อมองเห็นท่าทางของเจียงสื้อสื้อเช่นนั้นจึงได้ยื่นมือเข้าไปพยุงเธอ และพาไปยังโซฟาเพื่อพักผ่อน
“ขอบคุณค่ะ”
เจียงสื้อสื้อยังคงยิ้มตอบอย่างสุภาพ
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณหญิงทำกับฉันแบบนี้เกรงใจเกินไปแล้ว” คนรับใช้ยิ้มตอบ จากนั้นรีบวิ่งไปยังห้องครัวเพื่อดูไฟ
เจียงสื้อสื้อนอนพักผ่อนอยู่บนโซฟา สักครู่เธอก็รู้สึกง่วง
เธอรู้สึกว่ามีร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าและเขากำลังคลุมผ้าห่มให้เธอ
เมื่อลืมตาขึ้น ก็พบว่าจิ้นเฟิงเฉินกำลังคลุมผ้าห่มให้กับเธอ ความรู้สึกง่วงนอนก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง
“ฉันแค่เอนหลังเฉยๆ ไม่เป็นอะไรค่ะ”
เมื่อพูดจบเธอก็ดึงผ้าห่มที่คลุมตัวอยู่ออก
และตั้งใจจะลุกไปในครัว แต่อาจเป็นเพราะเธอยังไม่ได้กินอาหารเช้าจึงทำให้รู้สึกเวียนหัวและเดินโซซัดโซเซ
โชคดีที่จิ้นเฟิงเฉินเข้ามาช่วยจับเธอไว้ทัน และถามด้วยความเป็นห่วงว่า “คุณเป็นยังไงบ้างครับ?ยังเจ็บแผลอยู่หรือเปล่า?”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันแค่อยากจะไปดูว่าโจ๊กเสร็จหรือยัง……”
ในขณะที่กำลังพูดอยู่นั้นคนรับใช้ก็ถือชามโจ๊กเดินออกมาแล้วพูดว่า “คุณชายคะ โจ๊กที่คุณหญิงเป็นคนทำกับมือค่ะ……”
เมื่อเห็นท่าทางของทั้งสองคน คนรับใช้ก็หยุดเสียงลงทันที เธอรีบวางชามลงแล้วเดินจากไป เธอไม่อยากเข้าไปรบกวนโลกส่วนตัวกับคุณชายและคุณหญิงทั้งสอง
หลังจากที่พยุงเธอนั่งลงบนโซฟาเรียบร้อยแล้ว จิ้นเฟิงเฉินก็ได้ลองชิมโจ๊กคำเล็กๆเข้าไป ก่อนจะรีบเอ่ยชมทันทีว่า “อร่อยจริงๆครับ รสมือของคุณยังคงเหมือนเมื่อก่อนเลย”
เมื่อพูดจบเขาก็ลงมือกินอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์
เมื่อเห็นเขากินอย่างมีความสุขเช่นนั้น เจียงสื้อสื้อก็รู้สึกว่าอาหารมื้อนี้เธอทำอย่างคุณค่าจริง
เธอนั่งยิ้มอยู่ข้างๆ และพูดออกมาเบาๆด้วยความอ่อนโยนว่า “คุณทานช้าๆหน่อยสิคะ อย่าทานเร็วขนาดนั้น”
เมื่อเห็นว่าจิ้นเฟิงเฉินกินเข้าไปด้วยความรวดเร็ว ก็กลัวว่าเขาจะสำลัก
นอกจากนี้เธอยังยากที่จะจินตนาการว่าผู้ชายคนนี้ก็คือจิ้นเฟิงเฉินที่เต็มไปด้วยอำนาจจริงๆ
จิ้นเฟิงเฉินเองก็เห็นแก่หน้าเธอ เขากินโจ๊กเข้าไปถึงสามชามด้วยกัน ก่อนที่จะหยุดกินและหันกลับมาพูดกับเจียงสื้อสื้ออย่างซาบซึ้งว่า
“ขอบคุณนะครับที่ดูแลผม”
น้ำเสียงเขานุ่มนวลและแหบแห้ง
“ฉันทำสิ่งเหล่านี้เพื่อตอบแทนคุณนะคะ”
เจียงสื้อสื้อไม่ได้เอาเรื่องนี้มาใส่ใจ เธอพูดออกมาเบาๆและยิ้มขึ้น
เนื่องจากเธอรู้สึกว่าการที่เธอทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว เพราะจิ้นเฟิงเฉินทำเพื่อเธอมากเหลือเกิน
ขณะนี้ จิ้นเฟิงเหราได้เดินออกมาจากห้อง เขายืดตัวบิดขี้เกียจและเห็นว่าทั้งสองคนกำลังยืนแสดงความรักใคร่ต่อกันจากตรงระเบียง
เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดแซวขึ้นมาว่า “แหมๆเช้าตรู่แบบนี้ พวกคุณอย่าเพิ่งแสดงความรักอันหวานซึ้งแบบนี้ได้ไหม?”
หลังจากนั้นก็ลูบไปที่ท้องของเขาแล้วพูดว่า “เฮ้อ ทำไมถึงอิ่มแบบนี้นะ มองดูแล้วเช้านี้คงไม่ต้องกินข้าวแล้วล่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงนั้นเจียงสื้อสื้อก็อายเสียจนหน้าแดง
แต่จิ้นเฟิงเหรากลับทำท่าทางไม่รู้เรื่องรู้ราวและนั่งลงตรงข้ามพวกเขาทั้งสองคน
ด้านของเสี่ยวเป่าไม่รู้ว่าตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาวิ่งลงมาจากข้างบนและพุ่งตัวเข้าสู่อ้อมแขนของเจียงสื้อสื้อ
กระซิบบอกว่า “หม่ามี๊ครับ พวกเราไปกินข้าวเช้ากันเถอะเสี่ยวเป่าหิวจังเลย”
เจียงสื้อสื้อพยักหน้าตอบรับ ในขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันอยู่นั้นอาหารเช้าก็ได้ค่อยๆทยอยออกมา
เสี่ยวเป่าสนทนากับเจียงสื้อสื้อตลอดเวลา เรื่องที่คุยนั้นก็เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆจิปาถะ
เจียงสื้อสื้อป้อนอาหารเช้าให้กับเสี่ยวเป่าพลางตอบปัญหาที่เขาถามออกมาอย่างอดทน
แม้ว่าคำถามเหล่านั้นจะดูไร้เดียงสา แต่ว่าเจียงสื้อสื้อก็ยังคงตอบเสี่ยวเป่าทุกคำถาม
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันดีจนเกินไป จิ้นเฟิงเฉินก็ขมวดคิ้วขึ้น
และพูดกับเสี่ยวเป่าด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “กินข้าว”
เมื่อเสี่ยวเป่าได้ยินดังนั้นเขาก็ตอบออกมาว่า “ครับ” ก่อนจะหยิบชามข้าวขึ้นมากินด้วยความเชื่อฟัง
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเป่าเชื่อฟังคำสั่งสอนขนาดนี้ เจียงสื้อสื้อก็ยิ้มขึ้น
แต่ถึงอย่างไรเธอก็จ้องไปอย่างจิ้นเฟิงเฉินแล้วพูดว่า “ยังไงเสียเขาก็ยังเป็นเด็กนะคะ คุณอย่าดุเขามากเกินไปนักสิ”
เมื่อถูกเจียงสื้อสื้อดุ จิ้นเฟิงเฉินก็พยักหน้ายอมรับ ความเยือกเย็นเมื่อครู่จางหายไป
เมื่อเห็นภาพพี่ชายของตนที่กลัวภรรยาเช่นนี้ จิ้นเฟิงเหราก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
ในไม่ช้าสายตาของจิ้นเฟิงเฉินก็มองไปด้วยความเยือกเย็น จึงทำให้จิ้นเฟิงเหรารีบหลบหน้าเขาและเก็บรอยยิ้มนั้นทันที
เมื่อทุกคนกินข้าวเช้าเรียบร้อยก็เป็นเวลา 9:00น. แล้ว
เจียงสื้อสื้อจัดเก็บของเรียบร้อยก็พูดกับพวกเขาว่า “ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้ว ฉันขอกลับโรงพยาบาลก่อนนะคะ วันนี้จะต้องมีการตรวจร่างกายด้วย”
จิ้นเฟิงเหราเอามือสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกงข้างหนึ่งส่วนอีกข้างหนึ่งนำขึ้นมาขยี้หัวแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอืดอาดว่า “พี่สะใภ้จะไม่อยู่เล่นอีกสักพักเหรอครับ เดี๋ยวให้พี่ผมไปส่งก็ได้ ไม่นานหรอก”
เมื่อพูดจบเจียงสื้อสื้อก็ปฏิเสธออกมาว่า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อีกอย่างครั้งนี้ฉันออกมา……”
ราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เธอหยุดชะงักลงและรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “พวกคุณไม่ต้องกังวลเรื่องฉันหรอกค่ะ ฉันแค่บอกเอาไว้เท่านั้นเอง”
ทันใดนั้นจิ้นเฟิงเฉินที่นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนานก็พูดขึ้นว่า “ผมไปส่งคุณนะ”
น้ำเสียงของเขานั้นช่างนุ่มนวลและแฝงไว้ด้วยความหมายที่ยากจะปฏิเสธได้
เจียงสื้อสื้อส่ายหัวแล้วบอกว่า “ฉันไม่ใช่เด็กๆแล้วนะคะ ฉันนั่งแท็กซี่กลับไปเองก็ได้ พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
หลังจากนั้นเธอก็มองไปยังจิ้นเฟิงเฉินด้วยสีหน้าอันตึงเครียดพูดว่า “คุณต้องดูแลร่างกายตัวเองให้ดีนะคะ อย่าฝืนจนเกินไป ฟังคำที่แพทย์สั่งและเปลี่ยนยาบ่อยๆรู้ไหม?”
“ครับ” จิ้นเฟิงเฉินตอบรับ
เมื่อพูดจบ เสี่ยวเป่าก็เข้ามาจูงมือเจียงสื้อสื้อเงยหน้าขึ้นพูดอ้อนว่า “หม่ามี๊ หม่ามี๊อยู่ในโรงพยาบาลก็ต้องพักผ่อนเยอะๆนะครับ อีกสักสองวันผมกับแด๊ดดี้จะไปหาหม่ามี๊ แล้วผมจะเอาอาหารอร่อยๆไปให้”