บทที่784 กลับประเทศ
สีหน้าของเขาช่างยากที่จะอธิบาย เจียงสื้อสื้อจึงได้หัวเราะออกมาเบาๆ
เมื่อเห็นรอยยิ้มของเจียงสื้อสื้อ ทำให้อารมณ์ของจิ้นเฟิงเฉินดีขึ้นมากไม่น้อย
แม่จิ้นกำชับจิ้นเฟิงเฉินว่าจะต้องพาเจียงสื้อสื้อกลับไปด้วยให้ได้ เนื่องจากเป็นครอบครัวเดียวกันก็จะต้องอยู่ด้วยกัน
แต่คำตอบของจิ้นเฟิงเฉินนั้นสองแง่สองง่าม
หลังจากที่สนทนากับคนในครอบครัวอยู่สักพัก ก็ปิดวิดีโอคอลลง
“สื้อสื้อ คุณกลับไปกับผมได้ไหม?”
จิ้นเฟิงเฉินยังไม่แน่ใจว่าในใจลึกๆของเธอคิดอย่างไร และเขาก็ไม่อยากจะไปบีบบังคับเธอให้ทำในเรื่องที่ไม่ชอบ
เจียงสื้อสื้อครุ่นคิดอยู่สักครู่ อย่างไรเสียที่ประเทศฝรั่งเศสก็ไม่มีอะไรที่เธอต้องเป็นห่วงกังวล จึงได้พยักหน้าตอบรับ
เมื่อเห็นว่าเธอตอบรับแล้ว จิ้นเฟิงเฉินก็ดีใจเสียจนเอื้อมมือไปโอบกอดเธอเข้ามา
อ้อมกอดที่มาโดยกะทันหันเมื่อสักครู่ทำให้เจียงสื้อสื้อทำตัวไม่ถูก จึงได้เอื้อมมือไปโอบกอดคอของจิ้นเฟิงเฉินเอาไว้แน่น
เด็กน้อยทั้งสองคนที่อยู่บนเตียงเมื่อเห็นดังนั้นก็ดีใจเสียจนตบมือดังลั่น
หลังจากหมุนไปอยู่หลายรอบ ในที่สุดจิ้นเฟิงเฉินก็วางเจียงสื้อสื้อลง ความตื่นเต้นดีใจในดวงตาของเขาไม่อาจจะปิดกั้นเอาไว้ได้
เจียงสื้อสื้อหันไปมองค้อนเขา หลังจากนั้นเดินกลับไปบนเตียงด้วยอาการหน้าแดง
ผู้ชายคนนี้นี่จริงเลย ชอบทำเรื่องกะทันหันแบบนี้อยู่เรื่อย
แต่ในใจของเธอลึกๆนั้นกลับหวานราวกับน้ำผึ้ง
หลังจากนั้นไม่นาน จิ้นเฟิงเฉินก็รีบจองตั๋วเครื่องบินโดยทันที เขาไม่รีรอหรือครุ่นคิดอะไรอีก กลัวว่าเจียงสื้อสื้อจะเปลี่ยนใจ
เช้าวันต่อมา ในขณะที่เถียนเถียนยังไม่ทันจะตื่นนอนก็ถูกจิ้นเฟิงเฉินอุ้มไปยังสนามบินแล้ว
หลังจากระยะทางอันแสนยาวไกลสิ้นสุดลง ทุกคนก็เดินทางมาถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย
จิ้นเฟิงเหราพาส้งหวั่นชีงมารับพวกเขาทั้งสี่คน หลังจากพบหน้ากันพวกเขาก็ได้โอบกอดให้หายคิดถึงจากนั้นจึงขับรถกลับไปยังตระกูลจิ้น
เมื่อแม่จิ้นที่ไม่ได้พบกับหลานชายและหลานสาวมาเป็นเวลานานเธอก็ดีใจมาก
จนกระทั่งลืมผู้ใหญ่สองคนไปเสียสนิทเลย เธอได้แต่อุ้มเด็กน้อยทั้งสองคนไม่ยอมปล่อย
จิ้นเฟิงเฉินเห็นดังนั้นก็ประหลาดใจยิ่งนัก ว่ากันว่าย่าหลานมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด ประโยคนี้เหมาะสมที่จะใช้กับพ่อแม่ของเขาดีจริง
เมื่อก่อนตอนที่อยู่ด้วยกัน หากว่าอยากได้อะไรก็ตกลงทันที อย่าว่าแต่เวลาที่นานขนาดนี้ คิดว่าพวกเขาคงจะคิดถึงตั้งแต่แรกจนทนไม่ไหวแล้ว
พ่อจิ้นมองไปยังทั้งสองแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “กลับมากันแล้วเหรอ”
เจียงสื้อสื้อรีบเข้าไปทักทายจากนั้นเดินตามจิ้นเฟิงเฉินเข้าไปด้านใน
ส่วนด้านนี้ แม่จิ้นยังคงชื่นชมเอ็นดูเด็กทั้งสองไม่หยุด
“เสี่ยวเป่า หลานรักของย่ามาให้ย่าดูหน่อยซิว่าสูงขึ้นหรือเปล่า โอ้โห!น่ารักจังเลย ย่าทนไม่ไหวแล้วเนี่ย”
“เถียนเถียน มานี่เร็ว โอ้โหหลานสาวที่รักของย่า!”
แม่จิ้นลูบคลำหลานรักทั้งสองคนตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอไม่อยากจะวางมือลงจริงๆ
เด็กน้อยทั้งสองก็ค่อนข้างจะเชื่อฟัง ถามอะไรก็ตอบอย่างนั้น ทำให้แม่จิ้นคลายกังวลไปมากทีเดียว
หลังจากที่ย่าหลานทั้งสามคนโอบกอดกันอยู่สักพัก แม่จิ้นจึงได้จูงมือทั้งสองคนเดินมานั่งลงที่โซฟา
เธอมองไปรอบๆแล้วพูดขึ้นว่า “ดีจริงๆเลย ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้สิถึงจะดี ตอนนี้ เราแค่รอเจ้าตัวน้อยในท้องหวั่นชีงออกมา”
ทุกคนพากันยิ้มตามเธอ ส้งหวั่นชีงนำมือลูบไปที่ท้องโดยสัญชาตญาณและยิ้มออกมา
เถียนเถียนมองดูส้งหวั่นชีงด้วยความประหลาดใจและถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “คุณอาคะ เถียนเถียนได้ยินหม่ามี๊บอกว่า ในท้องของคุณอามีเบบี๋ หนูจะได้เป็นพี่สาวแล้ว
แต่ว่า ทำไมเบบี๋ถึงเข้าไปอยู่ในท้องของคุณอาได้ล่ะคะ? ในนั้นมีขนมเค้กแสนอร่อยอยู่เหรอ? เบบี๋ได้กินอะไรบ้างหรือเปล่าคะ?”
เมื่อคำถามอันไร้เดียงสาถูกถามออกมา คนในตระกูลจิ้นทุกคนก็พากันยิ้มขึ้น
ส้งหวั่นชีงได้แต่ยิ้มแล้วพยักหน้า “แน่นอนสิคะ น้องจะต้องได้รับสารอาหารในการเติบโต เพียงแค่อากินอาหารเข้าไปก็สามารถไปบำรุงน้องได้แล้ว เถียนเถียนอยากจะพูดกับเบบี๋หน่อยไหม?”
เถียนเถียนเบิกตากว้างแล้วพูดด้วยความยินดีว่า “อยากค่ะ แต่ว่าเบบี๋อยู่ที่ไหนเหรอ?”
เธอมองไปซ้ายขวาเพื่อตามหาและทำท่าทางรอคอยช่างน่ารัก
ท่าทางอันน่ารักของเธอทำให้ผู้ใหญ่ทุกคน หัวเราะโดยพูดอะไรไม่ออก
ส้งหวั่นชีงกวักมือเรียก เถียนเถียนกระโดดเข้าไปหา มืออันน้อยๆของเธอถูกส้งหวั่นชีงจับไปวางไว้ตรงหน้าท้องแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่นว่า “เบบี๋ อยู่ข้างในนี้นะคะ หนูพูดกับเขาได้เลย”
เถียนเถียนรู้สึกประหลาดใจมาก มือน้อยอันแสนนุ่มของเธอวางอยู่ข้างบน และถามออกมาด้วยความไว้ไร้เดียงสาว่า “ทำไมเบบี๋ถึงอยู่ในที่เล็กๆแบบนี้ล่ะคะ?”
“เพราะว่าเขายังตัวเล็กอยู่ รอให้โตแล้วก็จะออกมาเอง และได้อยู่บ้านหลังโตเหมือนเถียนเถียน” ส้งหวั่นชีงอธิบายอย่างใจเย็น
เถียนเถียนทำท่าทางเหมือนกับเข้าใจ เธอเอาหูแนบไปกับท้องของส้งหวั่นชีงแล้วพูดด้วยท่าทางดีใจว่า
“เบบี๋น้อยรีบโตเร็วๆเข้านะ ไว้รอให้เธอโตแล้วพี่จะพาไปเที่ยว”
คำพูดอันแสนไร้เดียงสาของหนูน้อยทำให้ทุกคนหัวเราะออกมาอย่างหยุดไม่ได้
หลังจากที่หัวเราะกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็พูดถึงเรื่องงานแต่งของจิ้นเฟิงเหราขึ้นมา
จิ้นเฟิงเฉินวางของในมือลงแล้วเอ่ยถามว่า “งานแต่งเตรียมตัวไปถึงไหนแล้ว?”
“อาจจะต้องยืดเวลาออกไปก่อนหรืออาจจะจัดล่วงหน้า ตอนนี้หวั่นชีงก็ไม่สะดวกเท่าไหร่ เธอเหนื่อยง่ายเป็นพิเศษ ยิ่งต้องมาจัดเตรียมงานแต่งวุ่นวาย เธอจะเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า ผมไม่อยากให้หวั่นชีงต้องลำบาก”
จิ้นเฟิงเหรายื่นมือไปโอบไหล่ของส้งหวั่นชีงแล้วตอบเขาอย่างตรงไปตรงมา
แม้ว่าคำพูดของจิ้นเฟิงเหราจะแสดงถึงความใส่ใจส้งหวั่นชีง แต่ส้งหวั่นชีงก็ไม่ได้เห็นแก่หน้าเขา และเปิดโปงความคิดของเขาออกมา
“ฉันไม่เหนื่อยนี่คะ คุณมีวัตถุประสงค์อื่นต่างหากล่ะ” จิ้นเฟิงเหราหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วพูดว่า “หวั่นชีง คุณเห็นแก่หน้าผมหน่อยสิ ผมก็ต้องการรักษาหน้าเหมือนกันนะ ผมคิดแทนคุณไม่ใช่หรือไง”
ไม่มีใครใส่ใจคำพูดของเขา แม่จิ้นถามด้วยความเป็นห่วงว่า “หวั่นชีง พูดจริงหรือเปล่า?”
การจัดงานแต่งเป็นเรื่องที่เหนื่อยมากจริงๆ แต่บ้านของพวกเขามีคนมากมาย ส้งหวั่นชีงไม่จำเป็นที่จะต้องจัดการเองไปทุกเรื่อง
สิ่งที่เธอต้องทำก็คือปรากฏตัวในงานแต่งก็พอแล้ว
เมื่อรู้ว่าแม่จิ้นกำลังเป็นห่วงเธอ ส้งหวั่นชีงจึงได้หัวเราะแล้วตอบว่า “แม่คะ ไม่เป็นไร หนูไหว”
แต่ด้านของจิ้นเฟิงเหรากลับเป็นเดือดเป็นร้อนขึ้นมา เขาดึงมือส้งหวั่นชีงแล้วพูดว่า “แต่ว่าถ้าท้องคุณโตขึ้นก็คงไม่ดีแน่ คุณคงจะเหนื่อยมากเลยนะครับ”
จิ้นเฟิงเหรานั้นนับว่าเป็นคนที่ทำอะไรต้องเพอร์เฟค เขารู้สึกว่างานแต่งงานเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต จะต้องจัดการทุกอย่างอย่างเพียบพร้อม ไม่ให้เกิดเรื่องบกพร่องใดๆ
เจียงสื้อสื้อครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วพูดว่า “ถ้าท้องโตขึ้นมาก็คงไม่สะดวกเท่าไหร่……”
“ใช่ไหมล่ะครับ พี่สะใภ้ เข้าใจผมจริงๆ”
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าจะมีคนสนับสนุนเขา ดังนั้นจิ้นเฟิงเหราจึงรีบคว้าโอกาสนี้ไว้
แต่เมื่อมองดูสายตาอันรีบร้อนของจิ้นเฟิงเหรา เจียงสื้อสื้อก็อดไม่ได้ที่จะขำออกมาว่า “ฉันยังพูดไม่จบเลย แต่ว่าถ้าหวั่นชีงเองไม่คิดอะไรมากก็ไม่เป็นปัญหา”
“ฉันไม่คิดมากหรอกค่ะ ที่จริงฉันรู้สึกว่าแบบนี้ก็มีความหมายดีเหมือนกัน ให้ลูกของเราเป็นประจักษ์พยานรัก เมื่อถึงเวลานั้นจะได้บอกเขาได้ว่า เขาได้เข้าร่วมพิธีงานแต่งของพ่อแม่ด้วย”
ส้งหวั่นชีงลูบไปที่ท้องของเธออย่างมีความสุข
“ถูกต้องแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ” ทุกคนก็พากันเห็นด้วย
เมื่อเสียงส่วนมากตอบรับอย่างนั้น คำขัดแย้งของจิ้นเฟิงเหราก็ดูเล็กน้อยลงไปทุกที
แต่เขาก็ยังคงไม่ละความพยายามแล้วพูดขึ้นว่า “ทุกคนก็น่าจะฟังความคิดเห็นของผมบ้าง ผมเป็นเจ้าบ่าวนะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น แม่จิ้นก็พูดขึ้นว่า “ก็ได้ลองพูดมาซิ พวกเราจะเคารพในความคิดเห็นของแก”
รอยยิ้มบนใบหน้าของแม่จิ้นแฝงไปด้วยความข่มขู่เล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิ้นเฟิงเหรา หลังของเขาเย็นวาบขึ้นมาทันที
เขารู้ดีว่าทุกครั้งที่แม่จิ้นเผยสีหน้าแบบนี้ออกมาจะต้อง……