ทันทีที่ได้ยินว่าจิ้นเฟิงเฉินกลับเข้าประเทศมาแล้ว แม่จิ้นก็อยากเดินทางไปที่เมืองหลวงด้วยตนเอง แต่ก็ถูกจิ้นเฟิงเหราห้ามเอาไว้ก่อน
“แม่ครับ ถึงแม่จะไปตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี แม่รออย่างสบายใจอยู่ที่บ้านดีกว่านะครับ”
แม่จิ้นขมวดคิ้วอย่างแรง สีหน้ามีแต่ความกังวล “แกบอกว่าพี่ชายของแกความจำเสื่อมไม่ใช่รึไง? ถ้าฉันรออยู่ที่บ้าน แล้วต้องรอถึงตอนไหน?”
“แม่ครับ” จิ้นเฟิงเหรากดเธอให้นั่งลงบนโซฟา แล้วพูดเกลี้ยกล่อมเบาๆ ว่า “แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ พี่สะใภ้ต้องพาพี่กลับมาได้อย่างแน่นอน”
แม่จิ้นคิดๆ ดู ก็ยังไม่วางใจ “ไม่ได้ ฉันจำเป็นต้องไปสักรอบ ไปดูด้วยตาตัวเองว่าเฟิงเฉินนั้นเป็นยังไงบ้าง”
พอเห็นว่าเกลี้ยกล่อมแม่ไม่ได้แล้ว จิ้นเฟิงเหราจึงต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากผู้เป็นพ่อด้วยสายตา
พ่อจิ้นไอออกมาทีหนึ่ง แล้วพูดเกลี้ยกล่อมไปว่า “เอาล่ะ คุณก็อย่าทำให้เรื่องมายุ่งยากกว่าเดิมเลย เดี๋ยวลูกๆ ก็หาทางจัดการได้เองแหละ”
“คุณคิดว่าฉันจะทำตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาวอย่างคุณได้รึไง” แม่จิ้นมองบนใส่เขาอย่างไม่พอใจไปทีหนึ่ง “ฉันแค่เป็นห่วงว่าสื้อสื้อคนเดียวจะเอาไม่อยู่ เลยอยากไปช่วยสักหน่อย”
“แม่ครับ ถ้าแม่ไปตอนนี้ มันมีแต่จะสร้างความลำบากให้พี่สะใภ้จริงๆ นะครับ”
จิ้นเฟิงเหราคิดๆ ดู และตัดสินใจเล่าเรื่องที่เจียงสื้อสื้อปลอมตัวเข้าไปเป็นคนใช้ในบ้านซ่างกวนให้พ่อแม่ฟังดีกว่า
พอแม่จิ้นฟังจบ ก็เป็นห่วงหนักยิ่งกว่าเดิม “แล้วเธอจะเป็นอันตรายมั้ย? ซ่างกวนหยวนนั่นก็ไม่ใช่คนที่จิตใจดีอะไร ถ้าเธอเกิดทำอะไรสื้อสื้อขึ้นมา มันจะลำบากเอานะ”
“แม่ครับ อันนี้แม่ไม่ต้องห่วง เราได้ส่งคนไปคอยปกป้องพี่สะใภ้แล้ว”
“เด็กๆ นั้นต้องคิดได้รอบคอบกว่าพวกเราอยู่แล้ว คุณก็ไม่ต้องคิดฟุ้งซ่านก็ได้” พ่อจิ้นพูดเสริมขึ้นมาคำหนึ่ง
แม่จิ้นถอนหายใจออกมาอย่างแรง “ก็ได้ แต่ถ้ามีอะไรคืบหน้าต้องรีบบอกให้ฉันรู้ทันทีนะ เข้าใจมั้ย?”
จิ้นเฟิงเหราพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ครับ ผมเข้าใจแล้ว”
พอเกลี้ยกล่อมแม่เสร็จ จิ้นเฟิงเหราก็ขึ้นไปข้างบนกลับเข้าห้องของตัวเองไป
ส้งหวั่นชีงเห็นเขาเดินเข้ามา ก็รีบส่งสัญญาณมือให้เขาเงียบ
ว่าแล้ว เขาก็เดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบ
ในที่นอนเด็ก ลูกน้อยได้หลับไปแล้ว
ขณะที่จ้องมองไปยังใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของลูกน้อย แววตาของจิ้นเฟิงเหราก็ดูอ่อนโยนขึ้นมาทันที
“แม่เป็นยังไงบ้างคะ?” ส้งหวั่นชีงถามเขาเบาๆ
จิ้นเฟิงเหราหันไปมองเธอ แล้วยิ้มออกมา “ไม่มีอะไรแล้วครับ”
ส้งหวั่นชีงพยักหน้า
จากนั้น ส้งหวั่นชีงก็จูงมือเขาออกจากห้องนอนไป พอมาถึงห้องหนังสือ ถึงได้ถามออกมาว่า “ตอนนี้ทางพี่สะใภ้เป็นยังไงบ้างคะ?”
“ตอนนี้พี่สะใภ้อยู่ที่บ้านตระกูลซ่างกวน ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
พอได้ยินเขาตอบมาแบบนั้น ส้งหวั่นชีงก็รู้สึกกังวลขึ้นมา “คุณไม่รู้อะไรเลย ถ้าเกิดเรื่องอะไรกับพี่สะใภ้ขึ้นมาจะทำยังไง?”
“คุณใจเย็นๆ ก่อน” จิ้นเฟิงเหรากดไหล่ของเธอไว้ แล้วพูดปลอบไปว่า “ผมหมายความว่า ผมรู้ว่าตอนนี้พี่สะใภ้นั้นปลอดภัยดี ผมแค่ไม่รู้ว่ารายละเอียดปลีกย่อยเป็นยังไงเท่านั้นครับ”
“งั้นก็ดีค่ะ” ส้งหวั่นชีงรู้สึกสบายใจลงบ้าง แต่ก็ยังกังวลอยู่ “ฉันคิดว่าเราก็ควรทำอะไรบ้างรึเปล่าคะ จะให้พี่สะใภ้แบกความหวังทุกอย่างไว้คนเดียวก็คงไม่ถูกจริงมั้ย?”
จิ้นเฟิงเหราเลิกคิ้วขึ้น “แล้วคุณคิดว่าเราจะทำอะไรได้บ้างล่ะครับ?”
ส้งหวั่นชีงจริงจังขึ้นมา ผ่านไปสักพัก สายตาของเธอก็เป็นประกาย “คุณสามารถพาเสี่ยวเป่ากับเถียนเถียนไปหาพี่ชายได้นี่คะ ไม่แน่ถ้าเขาเห็นลูกทั้งสองคนเข้า ก็อาจจะนึกอะไรออกบ้างก็ได้”
จิ้นเฟิงเหราเห็นด้วยทันที “วิธีนี้ถือว่าใช้ได้”
“ถ้าคิดว่ามันเข้าท่า ก็รีบๆ ไปจัดการสิคะ” ส้งหวั่นชีงเร่งเร้าเขา
“ผมเข้าใจแล้วครับ ผมจะรีบหาเวลาพาเสี่ยวเป่ากับเถียนเถียนไปที่เมืองหลวงสักรอบ”
ไม่ว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือไม่ก็ตาม แต่ขอแค่มีความหวังเพียงน้อยนิด พวกเขาก็พร้อมที่จะลองดู
……
ในอีกด้านหนึ่ง ฟางยู่เชินที่เพิ่งวางสาย พอนั่งลงไป เสียงเคาะประตูที่เร่งรีบก็ดังขึ้น
“เข้ามา”
พอประตูเปิดออก ส้งหยาวก็ได้เดินเข้ามา
“ท่านประธาน คุณเย่มาครับ”
เย่เสี่ยวอี้มาอย่างนั้นเหรอ?
ฟางยู่เชินขมวดคิ้ว “เธอมาทำไม?”
“เธอบอกว่ามาส่งอาหารเที่ยงให้คุณครับ” ส้งหยาวตอบไปอย่างระมัดระวัง
“ไปบอกเธอ ว่าผมกินแล้ว ให้เธอกลับไปได้”
พูดจบ ฟางยู่เชินก็ก้มหน้าลงไปดูเอกสาร
พอเห็นแบบนั้น ส้งหยาวจึงต้องหมุนตัวออกไป แล้วเอาคำพูดของเขาส่งต่อให้เย่เสี่ยวอี้
พอเย่เสี่ยวอี้ฟังจบ เธอก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที “หมายถึงอะไรที่บอกว่ากินแล้ว? ฉันไม่สน ไม่ว่ายังไงวันนี้ฉันก็ต้องเจอเขาให้ได้!”
เธอเป็นถึงว่าที่ภรรยาของประธานในอนาคต ส้งหยาวเองก็ไม่กล้าขัดใจเหมือนกัน ทำได้แค่ยิ้ม แล้วอธิบายไปว่า “คุณเย่ครับ ท่านประธานนั้นกินแล้วจริงๆ และช่วงนี้งานที่บริษัทก็ค่อนข้างยุ่ง เขาคงไม่มีเวลามาอยู่กับคุณหรอกครับ”
“ใครจะให้เขามาอยู่กับฉันล่ะ?” เย่เสี่ยวอี้ส่งเสียงฮึดฮัดออกมาทีหนึ่ง “ฉันแค่อยากเจอเขาเท่านั้น ไม่ได้รึไง? และฉันก็ไม่ไปรบกวนการทำงานของเขาแน่นอน”
“คือว่า……” ส้งหยาวเริ่มลำบากใจขึ้นมาแล้ว
“ช่างเถอะ ฉันเข้าไปเองก็ได้”
พูดจบ เธอก็เปิดประตูออก แล้วเดินดุ่มๆ ไปทางห้องทำงานของประธาน
“คุณเย่ครับ คุณไม่สามารถ……” ส้งหยาวรีบตามเข้าไป อยากหยุดเธอ แต่มันก็ไม่ทันแล้ว
เย่เสี่ยวอี้เปิดประตูออก ก็มองเห็นฟางยู่เชินที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ผู้บริหารทันที แล้วเรียกเขาด้วยน้ำเสียงที่ออดอ้อนว่า “ยู่เชินคะ!”
ฟางยู่เชินเงยหน้าขึ้น พอเห็นเธอเข้ามา แล้วเห็นส้งหยาวที่เดินตามมาข้างหลัง สีหน้าก็ดูเคร่งขรึมไปครึ่งหนึ่ง
นี่ส้งหยาวกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย? ผู้หญิงแค่คนเดียวยังขวางไว้ไม่ได้?
เมื่อสัมผัสถึงแรงกดดันที่ส่งเข้ามา เหงื่อเย็นๆ ก็ผุดขึ้นบนหน้าผากของส้งหยาว เขารีบอธิบายไปว่า “ท่านประธานครับคุณเย่เธอดึงดันที่จะพบคุณให้ได้ ผมเลยขวางเธอไว้ไม่ได้ครับ……”
“คุณอย่าไปโทษผู้ช่วยเลยค่ะ เป็นฉันเองที่อยากเข้ามาพบคุณ”
เย่เสี่ยวอี้วางกล่องข้าวลงบนโต๊ะ เดินอ้อมโต๊ะมายืนอยู่ข้างๆ เขา ทำปากจู๋ แล้วพูดด้วยท่าทางที่น่าสงสารว่า “ฉันแค่อยากเจอหน้าคู่หมั้นของฉันเท่านั้น มันไม่ได้เหรอคะ?”
ฟางยู่เชินโบกไม้โบกมือ ส่งสัญญาณให้ส้งหยาวออกไปก่อน จากนั้นก็ยืนขึ้น แล้วมองเย่เสี่ยวอี้ด้วยความรำคาญ
“คุณเย่ครับ ผมเคยบอกไปแล้ว ว่าผมไม่ชอบคุณ การคลุมถุงชนของตระกูลฟางกับตระกูลเย่ ผมเองก็ไม่ได้เห็นด้วย ผมจึงไม่ใช่คู่หมั้นของคุณ!”
ดวงตาของเย่เสี่ยวอี้แดงก่ำขึ้นมาทันที เห็นแล้วดูน่าสงสารมาก “ฉันมันไม่ดีตรงไหน? คุณช่วยบอกฉันที ฉันสามารถแก้ไขมันได้นะคะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ คุณดีมาก แต่ผมไม่ชอบคุณ” ฟางยู่เชินพูดออกมาได้อย่างไร้เยื่อใย เพื่อไม่อยากให้ความหวังใดๆ กับเธอทั้งนั้น
“ในเมื่อฉันดีมาก แล้วทำไมคุณถึงไม่ชอบฉันล่ะคะ?” เย่เสี่ยวอี้เปลี่ยนจากท่าทางที่น่าสงสารเมื่อกี้ เป็นสีหน้าที่ไม่พอใจคิ้วขมวดเป็นปม
ฟางยู่เชินไม่อยากพูดอะไรกับเธอมากมาย จึงได้อธิบายไปง่ายๆ ว่า “ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้นครับ”
“ไม่ได้ คุณจำเป็นต้องให้เหตุผลกับฉัน!” เย่เสี่ยวอี้ไม่ประนีประนอมแล้ว “ถ้าคุณไม่บอกเหตุผลให้ฉันรู้ ฉันก็จะถือว่าคุณเห็นด้วยกับการหมั้นของเราแล้ว”
“เย่เสี่ยวอี้!” ฟางยู่เชินรู้สึกจนปัญญาขึ้นมาทันที “คุณต้องให้ผมพูดกี่อีกรอบคุณถึงจะยอมเข้าใจ? ผมไม่ชอบคุณ แล้วคุณจะอยากแต่งงานกับคนที่ไม่รักคุณอย่างนั้นเหรอ?”
“แค่ฉันรักคุณก็พอแล้วนี่” เย่เสี่ยวอี้ทำหน้าไม่แยแส “และฉันก็เชื่อว่าคุณต้องชอบฉันขึ้นมาแน่ๆ”
“เป็นไปไม่ได้!” ฟางยู่เชินพูดออกมาอย่างไม่ต้องคิด
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? นอกจากว่าคุณจะมีคนอื่นที่ชอบอยู่แล้ว!”
พอพูดถึงตรงนี้เย่เสี่ยวอี้ก็นึกถึงอะไรบางอย่างที่สำคัญมากๆ เธอหรี่ตาลง แล้วลองถามไปว่า “หรือว่าคุณจะชอบเหลียงซินเวยนั่นเข้าแล้วจริงๆ?”