บทที่ 24 เขาเป็นลูกเขยที่ดีของฉัน
ลู่เฉินคงจะโกรธมากจริงๆสินะ
เพราะนี่คือแก้วหยกของจริงและยังเป็นแก้วหยกที่ตกทอดมาจากราชวงศ์ซ่งใต้อีกด้วย
แต่หวังเสวี่ยกลับทำลายมัน แถมยังบอกว่ามันเป็นวัสดุคุณภาพแย่ กล่าวหาว่าลู่เฉินเอาแก้วหยกของปลอมมาหลอกเธอ
ลู่เฉินมองไปที่แก้วหยกที่แตกเป็นเสี่ยงอยู่บนพื้น เขาสูดหายใจอย่างแรงเพื่อพยายามระงับความโกรธที่กำลังเริ่มปะทุในใจ
ทางด้านหลินดาไห่เองก็โกรธไม่แพ้กัน
เพราะเขาเองก็เป็นนักโบราณคดี ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้โด่งดังเท่าหยูเจิ้งเทา แต่เขาก็ยังมีความสามารถพอในการแยกแยะระหว่างของโบราณที่เป็นของแท้กับของปลอม
เมื่อลู่เฉินหยิบแก้วหยกออกมาโชว์แก่สายตาทุกคนเป็นครั้งแรก และเขาก็ได้ข่าวจากหยูเจิ้งเทาที่โทรหาเขาเพื่อบอกเขาว่าวันนี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งซื้อแก้วหยกที่ตกทอดมาจากราชวงศ์ซ่งใต้ ซึ่งแก้วหยกใบนี้มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 ล้านหยวน และเขาก็เพิ่งจะได้รู้ว่าชายหนุ่มคนนั้นก็คือลู่เฉินนี่เอง และแก้วหยกที่ไม่น่าดูใบนี้ก็คือแก้วหยกที่มีมูลค่าล้ำค่าจากราชวงศ์ซ่งใต้
เพียงแค่เวลาไม่กี่วินาทีที่เขาคิดลังเล แก้วหยกล้ำค่าใบนั้นก็ถูกผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาทำให้มันแตกไปแล้ว
เขาโกรธจนถึงขนาดที่อยากจะอาเจียนออกมาเป็นเลือดเลยล่ะ
“คุณพ่อครับ คุณพ่อเป็นถึงนักโบราณคดี มันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะพิสูจน์ว่าแก้วใบนี้เป็นแก้วหยกที่ส่งทอดมาจากราชวงศ์ซ่งใต้ ผมไม่ได้โกหกคุณพ่อ ผมเชื่อว่าคุณพ่อสามารถตรวจสอบได้อยู่แล้ว ส่วนที่คุณแม่บอกว่าไม่อยากให้ผมมาที่บ้านหลังนี้อีก ผมก็คงไม่อยากมาที่นี่อีกแล้วเหมือนกัน ขอโทษนะครับ ผมขอลาก่อนแล้วกันครับ” ลู่เฉินพูดอย่างใจเย็น แล้วเขาจึงค่อยๆประคองร่างของฉีฉีที่มีสีหน้าซีดเซียวไร้ชีวิตชีวาและพาเดินจากไป
ในเมื่อตระกูลหลินไม่ต้อนรับเขา เขาก็คงจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกเช่นกัน
“นายนี่มันไม่รู้จักละอายแก่ใจเลยจริงๆ ของอย่างนี้คนตาบอดก็ยังดูออกว่ามันเป็นแก้วธรรมดาที่ไร้ค่าไร้ราคา แล้วมันยังต้องการหลักฐานอะไรมาพิสูจน์อีกล่ะ นายมันก็เป็นแค่ผู้ชายไม่เอาไหนและยังไร้ความสามารถอีกด้วย แล้วแก้วหยกที่ตกทอดจากราชวงศ์ซ่งใต้แบบนี้ มันต้องใช้เงินอย่างน้อยหลายล้านถึงจะซื้อได้ นายเองก็ยังติดหนี้ก้อนโตอยู่เลย ยังมีหน้ามาบอกพวกฉันว่าซื้อแก้วหยกจากราชวงศ์ซ่งใต้มาอีกเหรอ นายคิดว่าพวกเราเป็นคนโง่กันมากหรือยังไง?” หวังเสวี่ยจ้องมองไปที่ลู่เฉินที่กำลังเดินจากไป เธอพูดจาประชดประชันไม่หยุดหย่อนจนกระทั่งลู่เฉินออกจากบ้านไป เธอจึงหันไปมองที่หลินอี้จุนที่ยืนนิ่งเพราะอึดอัดและวางตัวไม่ถูกกับสถานการณ์ตรงหน้า
“อี้จุน แม่ไม่คิดมาก่อนเลยว่าเขาจะมีนิสัยที่แย่ขนาดนี้ แม่จะไม่พูดอะไรอีกแล้ว แต่แกก็เห็นด้วยตาตัวเองแล้วใช่ไหม ถ้าแกยังอยู่กับเขา เขาอาจจะทำร้ายแกทำร้ายฉีฉีในวันหลังก็ได้ หย่ากับเขาซะเถอะ ถ้าแกอยากจะแต่งงานอีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะเป็นการแต่งงานครั้งที่สอง แต่แม่เชื่อว่าแกก็สามารถพบผู้ชายที่แข็งแกร่งและดีกว่าเขาได้อีกเป็นร้อยเท่า”หวังเสวี่ยกล่าวออกมาด้วยความโกรธ
หลินอี้จุนรู้สึกอึดอัดมาก เพราะลู่เฉินเองก็ทำให้เธอผิดหวังมากยิ่งขึ้นในทุกๆวัน
แม้ว่าศาสตราจารย์หยูเจิ้งเทาจะยอมจ่ายเงินเป็นจำนวนถึง 150,000 เพื่อซื้อแก้วใบนี้ แต่แก้วใบนี้ก็ไม่ใช่แก้วหยกของจริงซะหน่อย
ถ้าคุณอยากจะหาข้อเปรียบเทียบกับหูหง คุณก็ต้องหาข้อแก้ตัวที่สมเหตุสมผลสำหรับเรื่องราวเหล่านี้ด้วย
ของที่มีค่าแค่แสนกว่าหยวนกลับบอกว่าเป็นของที่มีค่าล้านหยวน นี่เขากำลังฆ่าตัวเองอยู่หรืออย่างไร?
“หยุดพูดได้แล้ว! เธอหยุดทำลายชีวิตครอบครัวของลูกได้แล้ว คุณรู้ไหมว่าตอนนี้คุณโง่แค่ไหนที่ทำแบบนี้?” หลินดาไห่ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาทุบมือกระแทกลงบนโต๊ะด้วยความกรุ่นโกรธ
แก้วหยกใบนั้นที่ลู่เฉินนำมามอบให้ ถ้านำไปประมูลเขาจะสามารถได้เงินไม่ต่ำกว่าห้าล้านหยวน แต่ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันพังลงไปแล้วด้วยเงื้อมือของผู้เป็นภรรยา
ถ้าไม่ให้เขาโกรธมันจะเป็นไปได้เหรอ
“คุณ คุณพูดว่าอะไรนะ?” วังเสวี่ยตกใจและหันไปจ้องมองหลินดาไห่ทันทีด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็น
เธอไม่คาดคิดเลยว่าสามีที่ไม่เคยโกรธเธอมาก่อนเลย ในตอนนี้กลับโกรธเธอเพราะไอ้ลูกเขยที่ไม่ดีคนนั้น ซึ่งการต่อว่าของผู้เป็นสามีนั้นทำให้เธอเกิดอาการช็อกเป็นอย่างมาก
“ผมบอกว่าคุณมันโง่มากคุณกำลังทำลายครอบครัวของเราอยู่ เพราะสิ่งที่ลู่เฉินพูดเมื่อกี้เป็นความจริง แก้วใบนี้เป็นแก้วหยกจากราชวงศ์ซ่งใต้จริงๆ และตอนนี้ผมจะตรวจสอบให้คุณเลิกงี่เง่าซะที!”
หลินดาไห่ตะคอกออกมาด้วยเสียงอันดังและเปิดฝาขวดไวน์ทรงสูงออก เทไวน์ทั้งขวดลงในถ้วยชามใบใหญ่ จากนั้นหยิบเศษแก้วที่แตกละเอียดอยู่บนพื้นใส่ไวน์ลงไปเพื่อแช่
เมื่อเห็นท่าทางของหลินดาไห่ที่จริงจัง หวังเสวี่ยก็พยายามระงับอารมณ์โกรธที่คุกรุ่นอยู่ในใจให้เบาลง แล้วรอฟังคำอธิบายจากหลินดาไห่เกี่ยวกับเรื่องแก้วหยก
หลินอี้เจียและคนอื่นๆเองก็ต่างจับจ้องไปที่เศษถ้วยที่ถูกแช่ไวน์อยู่ในชามใบใหญ่ด้วยความประหลาดใจ
สองนาทีต่อมาเศษถ้วยที่แตกนั้นก็ค่อยๆเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น…
ภาพเหตุการณ์ตรงหน้านี้ทำให้ทุกคนต้องกลั้นหายใจด้วยความตื่นเต้น สี่นาทีต่อมาเศษถ้วยในไวน์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จากสีเทาเหมือนดินในตอนแรกก็เริ่มกลายเป็นสีเขียวมรกต เมื่อเทียบกับสีแดงของไวน์แล้ว ทำให้สีเขียวมรกตของเศษถ้วยมีความชัดเจนยิ่งขึ้น
“นี่คือแก้วหยกของจริงที่ทำจากหยกชนิดที่ดีที่สุด!” หลินอี้เจียอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
บุคคลอื่นๆต่างก็พากันสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อกลบความตื่นเต้นจากสิ่งที่เห็นตรงหน้า
ไม่ว่านี่จะเป็นแก้วหยกที่ตกทอดมาจากราชวงศ์ซ่งใต้หรือไม่ก็ตาม แต่วัสดุของแก้วหยกใบนี้ถือเป็นหยกชนิดที่ดีที่สุดแน่นอน
ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ใช่ของโบราณที่มาจากราชวงศ์ซ่งใต้ แต่หยกคุณภาพดีเช่นนี้ก็สามารถนำไปขายได้ในราคาหลายแสน
ทำให้ในตอนนี้ไม่มีใครสงสัยในตัวลู่เฉินอีกต่อไป
“ เธอรู้ไหมว่าตอนนี้เธอสูญเสียเงินไปเป็นจำนวนเท่าไหร่?”หลินดาไห่มองไปที่หวังเสวี่ยด้วยสีหน้าไม่พอใจ
หวังเสวี่ยได้แต่นิ่งอึ้งเพราะพูดอะไรไม่ออก เธอเสียใจมากในตอนนี้ ถ้วยหยกใบนั้นมันเป็นถ้วยหยกที่มีมูลค่ามากกว่าห้าล้านจริงๆ แต่เธอกลับทำให้เงินจำนวนนั้นสูญหายไปต่อหน้าต่อตา หัวใจของเธอบีบรัดด้วยความรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
“พี่คะ พี่เขยนำเงินจากที่ไหนมาซื้อแก้วหยกที่มีมูลค่าสูงขนาดนี้คะ!” หลินอี้เจียมองไปที่หลินอี้จุนด้วยความสงสัยเป็นอย่างมาก
แม้ว่าเธอจะรู้ว่าลู่เฉินเองรู้จักกับเจ้าของห้างผู้เป็นเจ้านายของซินเทียนเจ๋อ แต่เขาก็คงไม่มีเงินมากมายถึงขนาดที่จะซื้อแก้วหยกคุณภาพดีแบบนี้ได้
“แก้วหยกใบนี้ซื้อมาในราคาสองพันหยวนจริงๆ ตอนนั้นฉันยังบอกกับเขาเลยว่าเปลืองเงิน ฉันไม่ได้คาดหวังว่าศาสตราจารย์หยูเจิ้งเทาจะยอมซื้อควักเงินซื้อมันในราคาถึง 150,000 หยวน แต่ลู่เฉินกลับปฏิเสธ เพราะลู่เฉินบอกว่ามันเป็นของขวัญวันเกิดของคุณพ่อ ไม่ว่าจะซื้อด้วยเงินจำนวนมากเท่าไหร่เขาก็จะไม่ขายมันเด็ดขาด ” หลินอี้จุนกล่าว
ซื้อมาด้วยราคาสองพันหยวนยังงั้นหรือ?
หลินอี้เจียและหูหงต่างเบิกตากว้างและประหลาดกับความโชคดีของลู่เฉิน และพวกเขาเองก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ข้างๆ
แต่ในสายตาของวังเสวี่ยนั้นตราบใดที่ลู่เฉินไม่ได้ใช้เงินจำนวนห้าล้านเพื่อซื้อแก้วหยกใบนั้น ลู่เฉินก็ยังเป็นผู้ชายอ่อนแอไร้ความสามารถในสายตาของเธออยู่ดี
“เขาเป็นลูกเขยที่ดีของผม!”หลินดาไห่อดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจออกมาอย่างแรง เพราะในตอนนี้สิ่งที่เขาทำได้คงมีแค่ถอนหายใจแล้ว
หลินอี้จุนรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเธอได้ยินการถอนหายใจของพ่อ เพราะอย่างน้อยพ่อของเธอก็คงจะสงสารลู่เฉินอยู่ไม่น้อย
หลินอี้เจียและหูหงรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมากกับบรรยากาศตรงหน้า
พวกเขาต่างคิดว่าลู่เฉินจากไปแล้วแต่ก็ยังไม่วายทิ้งความบาดหมางไว้ในที่แห่งนี้ มันช่างเป็นเรื่องแย่ซะจริงๆ
…
หลังจากที่ลู่เฉินออกจากบ้านหลินไป เขาก็โทรหาลู่จงทันที
“ลุงจง ช่วยผมตามหาหูจุนเฉิงที่ทำงานในซูเปอร์มาร์เก็ตให้หน่อยครับ ใช่ สองพ่อลูกนั้นโกหกว่ารู้จักคุณลุง หลอกภรรยาของผม คุณลุงช่วยเตือนพวกเขาด้วยนะ” ลู่เฉินวางสายหลังจากพูดจบ
เขาไม่ได้เปิดโปงหูหงในเวลานั้น ไม่ได้หมายความว่าเขาจะลืมเหตุการณ์นี้
หากมันหลอกลวงหลินอี้เจียกับหวังเสวี่ย เขาก็ไม่ได้ว่าหรือถือสาอะไร แต่ถ้ามันหลอกลวงภรรยาของเขา เขาก็จะต้องทำหน้าที่สามีอย่างถูกต้องในการปกป้องภรรยา
หลังจากที่ลู่เฉินวางสายไปได้ไม่นาน เสียงโทรศัพท์ของลู่หงที่กำลังนั่งกินเล่นอยู่ที่บ้านตระกูลหลินก็ดังขึ้น
เมื่อหูหงเห็นว่าพ่อของเขาโทรมาหาเขา เขาก็รับสายต่อหน้าของทุกคนทันที
และเขาก็เปิดลำโพงโทรศัพท์
เพราะด้วยการคาดเดาที่ผิดพลาด ทำให้หูหงคิดว่าการที่เขารับสายของพ่อต่อหน้าของทุกคนเป็นการแสดงออกความจริงใจที่เขามีต่อครอบครัวตระกูลหลิน
“คุณพ่อโทรมามีอะไรเหรอครับ” หูหงถามพลางเคี้ยวอาหารที่อยู่ในปาก
“ไอ้โง่ แกรู้ไหมว่าแกทำให้ฉันได้รับความเสียหายมากแค่ไหน” หูจุนเฉิงตะโกนออกมาจากกปลายสายด้วยความโกรธ
ทำให้หูหงที่ฟังอยู่ตกตะลึงกับคำดุด่าของผู้เป็นพ่อเป็นอย่างมาก
“เมื่อกี้เลขาของหลู้จองโทรมาหาฉัน บอกว่าแกไปหลอกวังเสวี่ยกับหลินอี้จุนโดยแอบอ้างชื่อของหลู้จอง หากแกไม่ไปขอโทษคู่กรณีในตอนนี้ กลุ่มแกรนด์ไฮแอทจวินเยวี่ยจะไม่เพียงแต่ทำให้ซูเปอร์มาร์เก็ตของเราล้มละลาย แต่พวกมันยังจะฟ้องพวกเราในข้อหาการฉ้อโกง ดังนั้นไม่ว่าแกจะใช้วิธีอะไร ในตอนนี้แกจะต้องรีบไปขอโทษวังเสวี่ยและหลินอี้จุนเพื่อให้พวกเขาให้อภัยแก! “หูจุนเฉิงยังตะโกนออกมาอย่างโกรธเคืองในการกระทำที่บ้าบิ่นของลูกชาย
สิ่งที่หูจุนเหิงพูดออกมาเป็นดั่งหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้คนในครอบครัวหลินรู้ความจริง อารมณ์โกรธและเสียงอันเดือดดาษของหูจุนเฉิงก็สามารถทำให้สีหน้าของคนในครอบครัวหลินเปลี่ยนไปในทันที ทุกคนต่างเพ่งมองไปยังหูหงด้วยความเกรี้ยวโกรธไม่แพ้กัน