บทที่1-3 ไม่มีเงินอะไรก็ทำไม่ได้
“คุณชาย นี่ก็ผ่านไปสิบปีแล้ว ไม่ว่าความแค้นจะฝังลึกแค่ไหน ก็ควรจะลดลงบ้างแล้วนะครับ”
“เดือนหน้าจะเป็นวันเกิดครบรอบ 50 ปีของคุณพ่อคุณ พวกคุณไม่ได้เจอกันมานานกว่าสิบปีแล้ว พ่อของคุณอยากเจอคุณมาก นอกจากนี้พ่อของคุณยังบอกอีกด้วยว่า เรื่องที่คุณกลับไปรับมรดกจะถูกประกาศขึ้นที่งานเลี้ยงในวันนั้น”
ที่ถนนหงหวู่ ในมือลู่เฉินถือเค้กกล่องหนึ่งที่ซื้อไปให้ฉีฉีลูกสาวของเขา ลู่เฉินเหลือบมองไปยังชายชราในชุดผ้าไหมของราชวงศ์ถังที่ยืนยิ้มอยู่
“กลับไปงั้นเหรอ? ” ลู่เฉินหัวเราะเยาะ สายตาของเขาช่างเฉยเมย
“ตั้งแต่วินาทีที่เขายอมให้เซียวเป๋ฉิงผู้หญิงเลวๆ นั่นฆ่าคุณแม่ของผม ผมก็ตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกับเขาแล้ว”
“แต่หากจะให้ผมกลับไปนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เงื่อนไขแรกคือให้เขาตัดหัวของเซียวเป๋ฉิงมาวางไว้ตรงหน้าผม! ”
ชายชรากับผู้คุ้มกันข้างๆ มองหน้ากัน
” ถ้าทำไม่ได้ก็หลีกทางไปซะ” ลู่เฉินตะโกน
ชายชราหลีกทางให้เขาโดยไม่รู้ตัว ลู่เฉินก้าวไปข้างหน้าด้วยความยืนหยัด
ลู่เฉินโกรธมากและเกลียดแค้นมากด้วย
เมื่อสิบกว่าปีก่อน แม่ของเขาถูกรถชนและเสียชีวิต
แม้ว่าผลการสอบสวนจะบอกว่าคนขับรถเมาสุราขณะขับขี่ แต่ความจริงแม้แต่คนโง่ๆ ก็สามารถรู้ได้ว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนของผู้หญิงที่ชื่อว่าเซียวเป๋ฉิงคนนั้น
ลู่เฉินไปหาพ่อของเขาเพื่อสอบถามความจริงและขอคำอธิบายจากพ่อ แต่พ่อกลับตบหน้าเขาและด่าว่าเขาอกตัญญูไม่ซื่อสัตย์
เขาท้อแท้หมดหวังมาก หลังจากงานศพของแม่ เขาก็ได้เดินทางออกจากเมืองหลวงตามลำพังและไปเรียนต่อที่ยวี่โจว เขาได้พบรักที่นี่และแต่งงานมีลูก เขาได้ใช้ชีวิตเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป
หลังจากการแต่งงานเขาไม่ได้รับการต้อนรับจากครอบครัวของแม่ภรรยาเท่าไรนัก กระทั่งสุดท้ายเขาและภรรยาหลินอี้จุนถูกไล่ออกจากบ้าน ทั้งสองคนใช้ชีวิตด้วยเงินเดือนที่ไม่มากนัก แต่เขาก็ไม่เคยปริปากบ่น เพราะเขามีภรรยาที่เก่งและสวยงามอีกทั้งลูกสาวที่น่ารัก ใช้ชีวิตแบบนี้เขาก็พอใจแล้ว
ส่วนการกลับไปที่บ้านนั้นอีกครั้ง
หึหึ ฝันไปเถอะ!
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของลู่เฉินก็ดังขึ้น
ทันทีที่เขารับสายก็ได้ยินเสียงจากหลินอี้จุนภรรยาของเขา ซึ่งฟังดูน้ำเสียงคล้ายกำลังโมโห “ลู่เฉิน คุณอยู่ไหน? อาการของฉีฉีรุนแรงมากขึ้นแล้วคุณรู้มั้ย! ฉันให้คุณดูแลฉีฉีที่โรงพยาบาล ทำไมคุณยังทิ้งเธอไว้แล้วออกไปข้างนอกคะ? ”
คล้ายกับมีสายฟ้าฟาดลงมากลางใจอย่างไรอย่างนั้น!
ลู่เฉินตั้งสติได้ เขาจับโทรศัพท์ไว้แน่นแล้วพูดว่า “ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ ”
ลู่เฉินกังวลมาก เขาไม่ได้แก้ตัวหรืออธิบายอะไรเพิ่มเติม เขารีบวิ่งไปที่ถนนเพื่อโบกรถแท็กซี่
ลู่เฉินทำอะไรไม่ถูก เขาจับกล่องเค้กอย่างแน่นไว้ในมือ เพราะมันเป็นสิ่งที่ฉีฉีชอบกินที่สุด ลูกสาวตัวน้อยร้องไห้เขาไปซื้อมาหลายวันแล้ว เขาจะทำให้ฉีฉีผิดหวังไม่ได้
เมื่อถึงหน้าประตูห้องผู้ป่วย ลู่เฉินยังไม่ทันได้หยุดเพื่อหายใจก็มีหญิงสาวสวยๆ คนหนึ่งวิ่งออกมาและตบหน้าเขาเข้าอย่างจัง!
เธอคือหลินอี้จุน ภรรยาของเขา เธอสูงประมาณ1.68เมตร รูปร่างสง่างามและหน้าตางดงาม เธอจัดว่าเป็นผู้หญิงสวยที่หายากเลยทีเดียว
แม้ว่าลูกสาวของพวกเขาอายุสามขวบแล้ว แต่เธอก็ยังดูสวยราวกับหญิงสาวอายุยี่สิบปี ไม่เพียงแต่รูปร่างที่ไม่เปลี่ยนไป ยังเพิ่มเสน่ห์น่าดึงดูดกว่าเดิม
แต่ตอนนี้ใบหน้างดงามของเธอเต็มไปด้วยความโมโห
“ลู่เฉิน คุณทำให้ฉันผิดหวังมาก! ”
ลู่เฉินก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด ” ฉีฉีอยู่ที่ไหน เธอเป็นยังไงบ้าง? ”
“คุณยังมีหน้ามาถามเรื่องฉีฉีอีกเหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ฉีฉีคงไม่เป็นแบบนี้ โชคดีที่มีแพทย์มาเห็นเข้าจึงรีบส่งตัวเธอไปรักษาทันเวลา ถ้าช้ากว่านี้อีกหนึ่งนาทีฉันคงต้องเสียฉีฉีไปแล้ว! ” หลินอี้จุนชี้ไปที่ลู่เฉินแล้วพูดอย่างจริงจัง “โชคดีที่อาการของฉีฉีทรงตัวแล้ว ไม่เช่นนั้นชีวิตนี้ฉันจะไม่มีวันจะยกโทษให้คุณ! ”
เมื่อได้รู้ว่าอาการของลูกสาวดีขึ้น หัวใจของลู่เฉินจึงคลายความกังวลลงบ้างเล็กน้อย
ฉีฉีเป็นลูกสาวและเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของเขา และเขาหวังว่าลูกสาวตัวน้อยนี้จะก้าวผ่านโรคภัยนี้ไปได้และจะมีความสุขมากกว่าคนอื่นๆ!
ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจะเอาชีวิตของตัวเองเข้าแลก เพื่อให้สุขภาพของฉีฉีแข็งแรงขึ้น!
ในขณะนี้ มีผู้หญิงอีกสองคนปรากฏตัวขึ้นที่ข้างหลังหลินอี้จุน
ลู่เฉินรู้จักพวกเขาได้อย่างดี หนึ่งในนั้นคือหวังเสวี่ย คุณแม่ของภรรยา ส่วนอีกคนคือหลินอี้เจีย น้องสาวของภรรยาเขานั่นเอง
หวังเสวี่ยเมื่อเห็นลู่เฉินก็ด่าออกมาว่า “คนไร้ประโยชน์ ผ่านไปเป็นเวลาหลายปีแล้วแกยังกินและใช้เงินลูกสาวของฉันอยู่อีกเหรอ? เลี้ยงหมาก็ยังสามารถเฝ้าบ้านได้ แล้วแกล่ะ แกดูแลลูกสาวของตัวเองก็ยังไม่ได้ ทุเรศ!”
“คนที่ตามจีบลูกสาวของฉันต่อแถวยาวจากต้นซอยถึงท้ายซอย คนไหนบ้างที่ไม่ได้ที่ทำงานอยู่บริษัทที่มีชื่อเสียง คนไหนบ้างที่ไม่มีความสามารถ ฉันอยากจะรู้จริงๆ ว่าแกใช้อะไรมาหลอกลวงลูกสาวของฉันให้เขาแต่งงานกับแก! ”
หลังจากพูดจบหวังเสวี่ยก็หันหน้าไปพูดกับหลินอี้จุนว่า “ฟังแม่นะ รีบหย่ากับเขาเถอะ อย่าเสียเวลาอยู่กับไอ้คนอ่อนแอไร้ความสามารถแบบนี้เลย”
“นั่นสิคะพี่” หลินอี้เจียมองทางลู่เฉินแล้วพูดตามแม่ว่า “ค่ารักษาพยาบาลของฉีฉีหลายวันนี้ พี่ได้เอาเงินเก็บทั้งหมดออกมาใช้แล้ว แต่ขอถามหน่อยว่าเขาเคยจ่ายเงินสักก้อนมั้ย คนแบบนี้ไม่สมควรเรียกตัวเองว่าหัวหน้าครอบครัวด้วยซ้ำ! ฉันได้ยินมาว่าหัวหน้าของพี่ชื่นชมพี่มากนี่คะ พี่แต่งงานกับเขาคงดีกว่า! ”
หากตามปกติแล้ว เมื่อหลินอี้จุนได้ยินคำพูดเช่นนี้จากแม่กับน้องสาว เธอต้องโต้เถียงกับพวกหล่อนแน่นอน
แต่ตอนนี้ เธอไม่แม้แต่จะพูดอะไรออกมา
เธอรู้สึกผิดหวังกับลู่เฉินมากจริงๆ!
ผู้ชายคนหนึ่งที่มีมือมีเท้า ปล่อยให้ตัวเองตกต่ำยอมไปเป็นผู้รักษาความปลอดภัยก็ช่างเถอะ
แต่เมื่อตอนที่ลูกสาวป่วยหนัก เขากลับออกไปเที่ยวข้างนอก!
นี่เขายังมีความรับผิดชอบและจิตใต้สำนึกอยู่หรือเปล่า?!
ขณะนี้ พยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามา
พยาบาลคนนั้นเหลือบมองไปที่ลู่เฉินและกล่าวว่า “ญาติผู้ป่วยคะ คุณเป็นหนี้ค่ารักษาพยาบาลมาหนึ่งแสนหยวนแล้ว ถ้าคุณไม่จ่ายเงินค่ารักษาอีกทั้งค่ามัดจำล่วงหน้าอีกสองแสนหยวน โรงพยาบาลคงจะต้องหยุดยาให้กับผู้ป่วย”
ก่อนที่หลินอี้จุนจะพูดอะไรออกมา ลู่เฉินก็พยักหน้าและพูดขึ้นว่า “เราจะจ่ายเงินทั้งหมดภายในวันนี้”
เมื่อเขาพูดจบก็มองไปที่เตียงและได้เห็นลูกสาวที่นอนหน้าซีดเซียว นอกจากความเจ็บปวด ตอนนี้ในใจเขาไม่เหลือความรู้สึกอะไรอีกเลย
“รบกวนรีบหน่อยนะคะ ถ้าหากไม่ชำระเงินก่อนบ่ายนี้ โรงพยาบาลจะหยุดยาของผู้ป่วย” นางพยาบาลเยาะเย้ยและมองไปที่ลู่เฉินด้วยสายตาดูถูก
เมื่อพยาบาลเดินออกไป หวังเสวี่ยก็ตะโกนมาว่า “ไอ้คนอ่อนแอ แกยังกล้าสัญญาว่าจะจ่ายเงินให้หมดภายในวันนี้หรือ? อยากให้ลูกสาวฉันไปขอเงินใครมาใช่ไหม? หน้าด้านจริงๆ! ”
หลินอี้เจียกลอกตามองลู่เฉินและพูดกับหลินอี้จุนว่า “พี่คะ ระหว่างทางมาที่นี่ ฉันโทรเรียกหัวหน้าของพี่ฟ่านหมิงมานี่แล้วค่ะ ตอนนี้เขาคงจะใกล้ถึงแล้ว ถ้ามีเขาอยู่ค่ารักษาพยาบาลของฉีฉีก็ไม่ต้องกังวลแน่นอน”
ตอนที่หลินอี้จุนกำลังจะด่าว่าหลินอี้เจียว่าทำอะไรโดยไม่คิด ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง
ชายคนนี้ก็คือฟ่านหมิง อายุสามสิบกว่าปี แต่งตัวดูดีมองแล้วมีภูมิฐาน เขาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายขายของบริษัทกลุ่มตงเจีย และก็เป็นหัวหน้าของหลินอี้จุนด้วย
ลู่เฉินเองก็รู้จักเขาดี ทำไมงั้นหรือ? เพราะเขาก็เป็นพนักงานของบริษัทกลุ่มตงเจียด้วยเช่นกัน
ทั้งสองคนทำงานที่เดียวกัน ก็แค่ฟ่านหมิงเป็นผู้อำนวยการระดับสูง และเขาเป็นยามรักษาการณ์ที่เฝ้าประตู
เมื่อได้เห็นฟ่านหมิงมาที่นี่ ลู่เฉินก็ขมวดคิ้วขึ้น
แต่ฟ่านหมิงทำอย่างมองไม่เห็นลู่เฉิน เขาทักทายกับหวังเสวี่ยและหลินอี้เจีย แล้วจ้องมองไปทางหลินอี้จุนอย่างอ่อนโยนกล่าวว่า “อี้จุนครับ อี้เจียได้บอกกับผมเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ฉีฉีเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารัก แต่ตอนนี้เธอถูกความเจ็บป่วยรุมเร้า ทำให้ผมเองก็รู้เป็นห่วงมาก ทำไมไม่บอกผมก่อนหน้านี้”
หลินอี้จุนกระซิบบอกว่า “ฉันขอโทษนะคะผู้อำนวยการ แต่นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน ดังนั้นฉันคงไม่รบกวนผู้อำนวยการแล้วค่ะ”
“อย่าพูดแบบนี้นะครับ คุณเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของผมคนหนึ่งและเป็นเพื่อนของผมด้วย เรื่องของคุณก็เหมือนกับเรื่องของผม! ” ฟ่านหมิงพูดด้วยน้ำเสียงเน้นย้ำว่า “อี้เจียบอกกับผมว่ายังต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล เท่าไหร่ครับ? ”
” สามแสนค่ะ “หลินอี้เจียรีบพูดขึ้นก่อน
ฟ่านหมิงยิ้มอย่างภูมิใจและพูดกับหลินอี้จุนว่า “คุณอี้จุนครับ ผมจะจ่ายสามแสนนี้ให้ก่อน ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร”
ฟ่านหมิงมองไปที่ลู่เฉินด้วยสายตาเหยียดหยาม ในความคิดของเขาลู่เฉินแค่เป็นยามรักษาการณ์ของบริษัท เขาไม่สมควรที่มีภรรยาสวยงามอย่างหลินอี้จุนด้วยซ้ำ
ใช่ เขาอยากได้หลินอี้จุนมานานแล้ว
หลินอี้จุนเป็นหนึ่งในผู้หญิงสวยที่สุดในบริษัท ผู้ชายทั่วไปที่ได้เห็นเธอก็ล้วนชื่นชอบเป็นธรรมดา ผู้ชายคนไหนไม่อยากจะนอนกับเธอบ้าง?
หลินอี้จุนก็รู้ว่าฟ่านหมิงกำลังคิดอะไรกับเธออยู่ เธอก็คิดจะปฏิเสธ แต่พอเห็นลูกสาวของเธอที่นอนป่วยอยู่บนเตียง เธอคงไม่มีความกล้าที่จะปฏิเสธแล้ว
ลู่เฉินรู้สึกถึงสายตาอันร้อนแรงของฟ่านหมิงที่มองไปยังภรรยาของเขา เขากำมือแน่นและพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ไม่ต้อง สามแสนนี้ผมจ่ายเองได้”
หลินอี้จุนตะโกนออกมาด้วยดวงตาแดงก่ำว่า “ลู่เฉิน นี่คือชีวิตของลูกสาวเรานะคะ คุณไม่เป็นห่วงเธอแต่ฉันเป็นห่วง! เงินเก็บของฉันเอาออกมาใช้จนหมดแล้ว ตอนนี้ผู้อำนวยการยอมให้ยืมก่อนสามแสนหยวน ทำไมคุณถึงไม่รับความช่วยเหลือจากเขา? บอกฉันทีว่าทำไม? ”
ลู่เฉินกำหมัดแน่นขึ้น เล็บของเขาจิกลงในเนื้อแต่เขาก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแม้แต่น้อย!
ในขณะนี้ เขารู้สึกว่าตัวเองอ่อนแรงไร้ค่าเหลือเกิน
ฟ่านหมิงมองไปที่หลินอี้จุนและลู่เฉินอย่างเยาะเย้ย ทันใดนั้นเขาก็คิดแผนขึ้นมาในใจแล้วพูดว่า “อี้จุนครับ ดูเหมือนว่าพวกคุณไม่ต้องการความช่วยเหลือจากผมแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปก่อนนะครับ”
“ผู้อำนวยการฟ่าน……” หลินอี้จุนเปล่งเสียงออกมาเบา ๆ
ฟ่านหมิงยิ้มกับหลินอี้จุนแล้วจากไป เขามั่นใจว่าลู่เฉินกับหลินอี้จุนไม่สามารถหาเงินสามแสนมาเป็นค่ารักษาพยาบาลได้ เพราะดูเหมือนว่าลู่เฉินไม่มีทางออกแล้วจริงๆ
ฟ่านหมิงเดินจากไปแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย เขาตรงไปหาพยาบาลที่รับผิดชอบดูแลฉีฉี
เขาแอบยื่นเงินหนึ่งพันหยวนให้พยาบาลและพูดว่า “พ่อแม่ของฉีฉีไม่สามารถหาเงินได้ถึงสามแสนหยวนหรอก ถ้าถึงเวลาแล้วพวกเขายังไม่จ่ายค่ารักษาพยาบาล คุณก็ไปให้พวกเขากลับบ้านไปเถอะ ” นางพยาบาลยิ้มเมื่อได้เห็นเงินที่เขายัดใส่มือให้แล้วพยักหน้าอย่างรวดเร็ว