ระบบเจ้าสำนัก – ตอนที่ 1967 : จะเป็นจักรพรรดิ

ตอนที่ 1967 : จะเป็นจักรพรรดิ

  ท่ามกลางบรรพกาล…..

  ซื่อเซียวสีหน้าหม่นลงเล็กน้อยและพูดขึ้น   เรนไน เจ้านั่นบ้าไปแล้ว ! 

  ตอนที่ยังเป็นแม่ทัพสูงสุด เรนไนก็ไม่ได้ให้เกียรติอะไรกับพวกเขา เมื่อขึ้นเป็นจักรพรรดิแล้ว เรนไนเหมือนยิ่งไม่ไว้หน้าพวกเขายิ่งกว่าเก่า

    ท่าทีของเขาน่าหงุดหงิดจริงๆ  เย่าหยางพูดออกมา เพราะเขาเองก็ไม่ชอบเรนไนเช่นกัน

  เพราะเรนไนนั้นเย่อหยิ่งและภูมิใจในตัวเองเกินไป ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะมีคนไม่ชอบ

  อู่หมิงมองไปยังทั้งสองแล้วพูดขึ้น   แม้ว่าข้าจะไม่พอใจเช่นกัน แต่อย่าลืมว่า ไม่ว่ายังไงเรนไนก็มาจากทะเลโกลาหลเช่นกัน แม้ว่าเขาจะกลายเป็นจักรพรรดิของทะเลบรรพกาลไปแล้วแต่ก็ไม่อาจจะลบตัวตนจากทะเลโกลาหลของเขาได้ ยิ่งกว่านั้นเขาก็มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับหว่านเก่อ หากพวกเจ้าคิดจะมีเรื่องกับเขาจริงๆ งั้นพวกเจ้าก็ต้องเตรียมที่จะเผชิญหน้ากับหว่านเก่อด้วย 

  หากเรนไนไม่มีหว่านเก่อคอยหนุนหลัง พวกเขาก็ไม่รังเกียจที่จะสั่งสอนเรนไน แต่ด้วยการที่มีหว่านเก่ออยู่ พวกเขาก็จึงต้องคิดให้ดีๆก่อนจะตัดสินใจ

  พูดไปแล้วความสัมพันธ์ของพวกเขากับ หว่านเก่อนั้นก็ไม่ได้สู้ดีนัก อย่างมากก็อยู่ฝั่งเดียวกัน เมื่อเผชิญหน้ากับเผ่าเทียน พวกเขาก็เข้าโจมตีและถอยกลับมาด้วยกันแต่นั่นไม่ได้หมายความว่า หว่านเก่อจะฟังคำสั่งพวกเขาทุกอย่าง

  ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่เก็บความไม่พอใจนี้เอาไว้ในใจ พวกเขาไม่กล้าจะทำอะไรกับ เรนไน พวกเขาไม่อาจจะทำให้ หว่านเก่อกังวลได้ ไม่งั้นแล้ว หว่านเก่ออาจจะโยนพวกเขาเข้ากับดักของเผ่าเทียนรึอาจจะเป็นคนของเผ่าเทียนก็ได้

  เมื่อเห็นว่าทั้งสองสงบลง อู่หมิงก็พูดขึ้น   แทนที่จะสนใจท่าทีของเรนไน พวกเจ้าควรคิดดีกว่าว่าทำไมเรนไนถึงก้าวขึ้นเป็นจักรพรรดิได้ 

  เมื่อได้ยินแบบนั้น ซื่อเซียวก็แสดงสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา   เรนไนขึ้นเป็นจักรพรรดินั้นหมายความว่าที่ว่างของจักรพรรดิในทะเลบรรพกาลยังว่างอยู่อีกรึไม่ ? ทะเลบรรพกาลมีจักรพรรดิได้มากกว่านี้รึไม่ ? 

  พวกเขาไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนจนตอนที่เห็นเรนไนขึ้นเป็นจักรพรรดิ

  หากยังมีที่ว่างสำหรับจักรพรรดิ งั้นก็หมายความว่าพวกเขาก็สามารถบ่มเพาะคนของตนให้ขึ้นเป็นจักรพรรดิของทะเลบรรพกาลได้ไม่ใช่รึ ?

    ที่เขาพูดมานั้นจริงรึไม่ ?  เย่าหยางพูดขึ้นมา   การสละจิตและการภาวนานั้นจะทำให้จ้าวแห่งทะเลบรรพกาลรับรู้ได้จริงๆรึ ? เขาขึ้นเป็นจักรพรรดิได้เพราะแบบนั้นจริงๆรึ ? 

    เรนไนนั้นเย่อหยิ่ง เขาไม่จำเป็นต้องโกหก   อู่หมิงพูดขึ้นมา   เมื่อเขาบอกมาเช่นนั้น งั้นก็น่าจะเป็นความจริง 

  แม้ว่าพวกเขาจะไม่พอใจเรนไน แต่พวกเขาก็ต้องยอมรับว่าเรนไนนั้นเป็นคนที่เชื่อใจได้

    หากเราให้แม่ทัพเราทำแบบนี้บ้าง พวกนั้นจะมีโอกาสขึ้นเป็นจักรพรรดิรึไม่ ?  เย่าหยางเริ่มหวั่นไหว

  เมื่อได้ยินแบบนั้นซื่อเซียวและอู่หมิงก็พากันมองหน้ากันพร้อมกับสายตาที่เป็นประกาย

  พวกเขาจำได้ว่าตอนที่พวกเขาได้ดูดซับลูกปัดจักรพรรดิ พวกเขาเป็นแค่แม่ทัพทั่วไป คนที่แกร่งที่สุดคืออู่หมิง แต่ก็ยังด้อยกว่าแม่ทัพสูงสุดอย่างมาก มันแสดงให้เห็นแล้วว่าตราบใดที่พวกเขาบ่มเพาะเป็นแม่ทัพได้ งั้นก็มีโอกาสขึ้นเป็นจักรพรรดิและทนพลังของลูกปัดจักรพรรดิได้  พวกเขาไม่รู้เงื่อนไขของทะเลบรรพกาล แต่หากคิดดีๆแล้วแม้ว่าจะต่างกันแต่ก็ไม่น่าจะแย่กว่ากันมากไม่ใชรึ ?

    เจ้าจะลองดูก็ได้  ซื่อเซียวพูดขึ้น   แม้ว่าจะอันตรายแต่ก็คุ้มค่า ! 

  พวกเขาไม่ได้ถามความเห็นของเหล่าแม่ทัพเลยแม้แต่น้อย พวกเขารู้ว่าคงไม่มีใครปฏิเสธโอกาสที่จะขึ้นเป็นจักรพรรดิ

  เย่าหยางคิดทบทวนแล้วพูดขึ้น   ไปหาแม่ทัพระดับต่ำสุดเพื่อทดสอบกันดีกว่า ถึงล้มเหลวแต่ก็ไม่ได้เสียหายอะไร…  เขาไม่ลืมก้อนแก่น หากแม่ทัพทั้งหมดตายไปที่นี่ งั้นพวกเขาก็หมดหวังเรื่องก้อนแก่นได้เลย

  อู่หมิงพยักหน้าและมองไปที่ซื่อเซียว   ข้าจำได้ว่าเจ้าแต่งตั้งแม่ทัพคนใหม่ของกองกำลังสังเกตการณ์ไม่ใช่รึ ? รึว่าเรา.. 

  ซื่อเซียวส่ายหน้าและปฏิเสธทันที   ไม่ ไม่ ข้ามีแม่ทัพแค่ 3 คน หากได้รับบาดเจ็บไปสักคนก็จะส่งผลเสียต่อเขตของข้าอย่างมาก เจ้าต่างหากที่ควรใช้แม่ทัพของเจ้า เจ้ามีแม่ทัพหลายคน หากเจ้าอยากทดสอบก็ควรทดสอบกับคนของเจ้า… 

  เขาไม่ได้ห่วงเสียเทียน แต่เขาห่วงเขตซื่อเซียวและหน้าตาของตัวเองมากกว่า

  เมื่อเห็นว่าซื่อเซียวยืนกราน อู่หมิงก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเลือกแม่ทัพของตัวเองออกมา

  หลังจากที่ได้ตัวแทนแล้ว อู่หมิงก็ได้เรียกแม่ทัพทั้งหมดมา รวมถึงแม่ทัพจากเขตหว่านเก่อด้วย

  ตอนนั้นหว่านเก่อและเรนไนก็ได้กลับมาแล้ว เมื่อเห็นท่าทีของพวกนั้น หว่านเก่อก็ได้รีบเข้ามาหาทันที   ซื่อเซียว พวกเจ้าเรียกพวกนี้มาทำไมกัน ? 

    เจ้ามาพอดี  ซื่อเซียวพูดขึ้น  เราจะลองสร้างจักรพรรดิขึ้นมาด้วยวิธีเหมือนกับเรนไน  

  เมื่อเหล่าแม่ทัพได้ยินแบบนั้น พวกเขาก็พากันมองไปที่เรนไนด้วยสีหน้าตะลึง   จักรพรรดิรึ ? เรนไน เขา…ขึ้นเป็นจักรพรรดิแล้วงั้นรึ ? 

  ตอนนั้นสายตาที่ทุกคนมองมาที่เรนไนก็เปลี่ยนไปทันที บางคนก็อิจฉา บางคนก็อึ้ง แต่พวกเขาสงสัยมากกว่าว่าซื่อเซียวกำลังพูดถึงอะไร ? แม่ทัพเหล่านี้มีโอกาสขึ้นเป็นจักรพรรดิงั้นรึ ?

  ทุกคนอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น สายตาของพวกเขาเป็นประกายขึ้นมาทันที

    ไม่ มันอันตรายเกินไป !  หว่านเก่อขัดขึ้นมาทันที

    อันตรายงั้นรึ ? เมื่อเรนไนขึ้นเป็นจักรพรรดิได้ ทำไมพวกเขาจะทำไม่ได้บ้าง ?  ซื่อเซียวค้านขึ้นมา   ในด้านความแข็งแกร่งแล้วพวกเขาด้อยกว่าแม่ทัพสูงสุดก็จริง แต่ใครบอกว่ามีแค่แม่ทัพสูงสุดเท่านั้นที่จะขึ้นเป็นจักรพรรดิได้ ? ตอนที่เราดูดซับลูกปัดจักรพรรดิ ความแข็งแกร่งของเราก็ไม่ได้แกร่งกว่าพวกนี้มาก…. 

  หว่านเก่อถอนหายใจออกมาและพูดขึ้น กฎของทะเลโกลาหลกับทะเลบรรพกาลนั้นต่างกัน มันไม่อาจจะนำมาเทียบกันได้ ตอนที่เราดูดซับลูกปัดจักรพรรดิ มันมีเกณฑ์ต่ำกว่าเพราะตัวลูกปัดจักรพรรดิเองก็มีพลังของมัน แล้วทำให้เราได้พลังมาง่ายกว่า …แต่ในทะเลบรรพกาลแห่งนี้ไม่ได้มีลูกปัดจักรพรรดิ พวกเขาต้องต้านทานพลังจิตที่ระเบิดออกมาเอง ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาแล้วข้เกรงว่าคงยากจะรับไหว 

  แม้แต่เรนไน แม่ทัพสูงสุดก็ยังแทบตายก่อนจะทนรับพลังจิตมาได้ งั้นแม่ทัพทั่วไปจะทนไหวได้ยังไง ?

    หากเป็นจักรพรรดิได้ งั้นทำไมถึงไม่ลองเสี่ยง ?  ซื่อเซียวไม่ได้ปฏิเสธ เขามองไปที่เหล่าแม่ทัพแล้วพูดขึ้น  ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ไม่ได้บังคับใคร มันขึ้นกับตัวพวกเขาเองว่าจะสมัครใจหรือไม่ 

  เหล่าแม่ทัพจะเลือกอะไร ?

  ไม่ต้องถามหว่านเก่อก็รู้คำตอบได้

    หากเจ้ายังยืนกรานเช่นนั้นข้าคงไม่อาจจะควบคุมได้ แต่คนในเขตหว่านเก่อห้ามเข้าร่วมการทดสอบนี้  ถึงหว่านเก่อจะยอมแต่เรื่องแบบนี้นางก็ให้แต่คนฝั่งซื่อเซียวลองก็พอ

  ซื่อเซียวพูดขึ้น   สบายใจได้ แม้ว่าเราจะรีบร้อนแต่เราไม่ได้โง่ เราไม่คิดจะให้ใครทดสอบจนกว่าเราจะมั่นใจ  หลังจากที่เงียบสักพักซื่อเซียวก็มองไปที่อู่หมิง   ก่อนอื่นเราตัดสินจะเลือกแม่ทัพของเขตอู่หมิงมาทดสอบก่อน 

  เรนไนไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย เมื่อซื่อเซียวและคนอื่นๆยืนกรานเช่นนี้ เขาก็ไม่คิดจะห้าม

  แม่ทัพจากเขตหว่านเก่อนั้นรู้สึกสับสนขึ้นมา พวกเขาซาบซึ้งบุญคุณที่หว่านเก่อเป็นห่วงพวกเขา แต่ก็ผิดหวัง ยังไงซะจำนวนจักรพรรดิของทะเลบรรพกาลก็อาจจะมีจำกัดเหมือนทะเลจักรวาล หากตำแหน่งจักรพรรดิโดนจับจองไปหมด งั้นพวกเขาก็จะหมดโอกาส แต่พวกเขาก็ไม่อาจจะบ่นอะไรออกมาได้เพราะหว่านเก่อนั้นทำเพื่อพวกเขาเอง  แม่ทัพของเขตซื่อเซียว, เย่าหยางและหว่านเก่อพากันมองไปที่แม่ทัพจากเขตอู่หมิงด้วยความอิจฉา

   หยงซิว  อู่หมิงกวาดตามองเหล่าแม่ทัพตรงหน้าแล้วประกาศชื่อออกมา   เจ้านั่นแหละ 

  หยงซิวตื่นเต้นขึ้นมาและพูดขึ้น   จักรพรรดิ ! 

  ทุกคนพากันมองหยงซิวด้วยความอิจฉา

    ทุกคนคอยดูดีๆ หากหยงซิวทำสำเร็จ งั้นพวกเจ้าก็ยังมีโอกาส  อู่หมิงบอกกับทุกคน

    ได้ จักรพรรดิ !  เเม่ทัพทุกคนพากันตอบกลับ

  ไม่นานเหล่าแม่ทัพก็พากันกระจายตัวออกไปโดยมีหยงซิวยืนอยู่ตรงกลางภายใต้สายตากังวลและคาดหวังของทุกคน

  หลังจากที่หยงซิวก็รวบรวมสติ อู่หมิงก็พูดขึ้น   ก่อนอื่นเจ้าต้องสละจิตให้กับจ้าวแห่งทะเลบรรพกาล ก่อนจะภาวนาขอพลัง..    หยงซิวสูดหายใจเข้าลึกๆและทำตามที่อู่หมิงบอกมา เขาดึงเศษเสี้ยวจิตออกมาสละให้กับจ้าวแห่งทะเลบรรพกาลก่อนจะหลับตาแล้วภาวนา

  จักรพรรดิทั้งห้ารวมถึงแม่ทัพต่างก็พากันกลั้นหายใจและมองไปที่หยงซิวไม่ละสายตา

 

ระบบเจ้าสำนัก

ระบบเจ้าสำนัก

จางหยู ชายหนุ่มจากมนุษย์โลก ได้บังเอิญทะลุมิติมายังทวีปป่า  ดินแดนแห่งการบ่มเพาะที่เกรียงไกร
มิหนำซ้ำยังได้เป็นเจ้าสำนักที่ใกล้จะเจ๊งอยู่รอมร่อ
      ทั้งสำนักมีเพียงสุนัขหนึ่งตัว ดังนั้นเขาต้องพึ่งวิธีหลอกลวงเพื่อรับสมัครลูกศิษย์
หลังจากลำบากลำบนกับการรับสมัครลูกศิษย์คนแรก จางหยูก็ได้รับความสามารถมองทะลุจาก “ระบบเจ้าสำนัก”
     เมื่อเปิดใช้ความสามารถมองทะลุ จางหยูก็สามารถมองเห็นคุณสมบัติของคนอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นเพศ อายุ พรสวรรค์ หรือแม้แต่การบ่มเพาะ
ด้วยความสามารถนี้ จางหยูจึงมองเห็นข้อผิดพลาดในทักษะและเคล็ดวิชาต่างๆ ทำให้เขาสามารถแก้ไขทักษะและเคล็ดวิชาเหล่านั้นให้สมบูรณ์แบบได้
    ด้วยความสามารถมองทะลุ จางหยูจึงมองเห็นข้อบกพร่องของทักษะและเคล็ดวิชาที่ศัตรูฝึกฝน รวมไปถึงจุดอ่อนของศัตรู
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โชคชะตาของจางหยูก็มาถึงจุดเปลี่ยน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท