ในคืนวันนั้น ตอนที่โม่หว่านหว่านมาถึงโรงแรมและเห็นภาพเบื้องหน้าก็ตะลึงไปเล็กน้อย
ภายในห้องรับแขกขนาดใหญ่มีเด็กสองคนที่สวมเสื้อผ้าชุดใหม่กำลังนั่งเล่นของเล่นต่างๆอยู่บนพรมขนปุกปุย
เมื่อโม่หว่านหว่านมา เตียวเตียวกับซีซีก็รีบลุกขึ้นเข้ามาวนรอบตัวเธอด้วยความกระตือรือร้น “คุณน้าโม่ พวกนี้ล้วนเป็นของขวัญที่คุณน้านำกลับมา แล้วก็มีของพวกนี้ล้วนนำฝากคุณน้าครับ!”
เตียวเตียวชี้นิ้วไปบนถุงช็อปปิ้งกองหนึ่งที่อยู่บนโซฟา ล้วนเป็นพวกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและขนมขบเคี้ยวที่โม่หว่านหว่านชอบมากที่สุด
เธอกวาดตามองคร่าวๆ และลูบศีรษะของเตียวเตียว “เตียวเตียวจ๊ะ คุณน้าล่ะ?”
“คุณน้าอยู่ในห้องหนังสือครับ ดูเหมือนว่าจะยุ่งกับอะไรบางอย่างอยู่…” เตียวเตียวเอ่ย
โม่หว่านหว่านพยักหน้า ปล่อยให้เตียวเตียวกับซีซีเล่นกันต่อไป ส่วนตัวเองก็ลุกขึ้นเดินไปห้องหนังสือ
เมื่อผลักประตูห้องหนังสือเข้าไป โม่หว่านหว่านก็เอ่ยว่า “ซูย้าว เธอไปครั้งนี้ก็ไปเกือบเดือน เพิ่งจะกลับมา ไม่อยู่เป็นเพื่อนเด็กๆให้มากหน่อยก็เริ่มทำงานทันที จู้สือให้เงินเดือนเธอเท่าไรกันถึงทำให้เธอสู้สุดชีวิตขนาดนี้…”
เพิ่งจะสิ้นเสียง พูดสรุปง่ายๆได้ว่ายังไม่ทันจะเอ่ยจบ โม่หว่านหว่านก็ถูกภาพเบื้องหน้าที่เห็นทำให้ตะลึงค้างไปแล้ว
ซูย้าวไม่ได้กำลังทำงาน
กลับกัน เธอนั่งอยู่บนโซฟา ในอ้อมแขนมีโน้ตบุ๊กเครื่องหนึ่ง รอบด้านมีเอกสารกองโตวางกระจัดกระจายอยู่ ยังมีปากกาไวท์บอร์ดต่างๆที่เธอใช้ทำสัญลักษณ์ รวมไปถึงโพสอิทที่แปะอยู่รอบๆ ท่าทางดูเหมือนว่าจะยุ่งมานานมากแล้ว
“เอ่อ นี่เธอกำลังทำอะไรน่ะ”
โม่หว่านหว่านที่รู้สึกว่าตัวเองโผล่เข้ามากะทันหัน ทั้งยังเอ่ยพูดจาเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะรบกวนการทำงานของเธอ จึงรู้สึกผิดอยู่บ้าง
แต่หลังจากที่ซูย้าวเห็นเธอแล้วก็รีบกวักมือเรียก พลางเอ่ยว่า “มาเร็ว นั่งลงแล้วช่วยฉันดูหน่อย…”
“อืม!”
โม่หว่านหว่านวิ่งเข้าไปหาด้วยความอยากรู้อยากเห็นแล้วเบียดอยู่ข้างเธอ พร้อมกับยื่นศีรษะไปมองสิ่งที่อยู่บนหน้าจอโน้ตบุ๊ก พลิกเอกสารกองโตที่วางอยู่ด้านข้าง และเอ่ยอย่างตะลึงงันว่า “ทำไมล้วนเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสถานสงเคราะห์และเด็กกำพร้าอะไรเทือกนี้กัน”
“ใช่แล้ว ฉันอยากจะตรวจสอบเรื่องในอดีตของเตียวเตียว…”
ซูย้าวยังคงก้มหน้าทำงานด้วยท่าทางตั้งใจ แค่มองดูเพียงครั้งเดียวก็เข้าใจหมด
โม่หว่านหว่านกลับมีท่าทีตกตะลึงอยู่ด้านข้าง “ตอนนี้เธอเพิ่งจะคิดตรวจสอบ? สายเกินไปแล้วมั้ง!”
“หมายความว่าอะไร”
“จะหมายความว่าอะไรล่ะ ตอนแรกที่เธอดำเนินขั้นตอนการรับบุตรบุญธรรม คิดอะไรอยู่กัน? พูดไปแล้วว่าเด็กพวกนี้ไม่ใช่ตัวเองเป็นผู้ให้กำเนิด เธอก็อย่ารับมาเลี้ยงเลย แม้ว่าจะมีเงื่อนไขความเป็นอยู่ที่ดี มีความสามารถนี้ ดูแลสักหน่อยก็ได้แล้ว ทำไมจะต้องนำกลับมาด้วยกัน ทั้งยังดำเนินการตามขั้นตอน กระทั่งแซ่ก็ยังใช้แซ่ของเธอ…”
เมื่อเอ่ยถึงหัวข้อสนทนานี้ โม่หว่านหว่านก็บ่นจู้จี้ไม่หยุด ราวกับว่าซูย้าวได้ทำเรื่องผิดพลาดที่ไม่สามารถให้อภัยได้อย่างไรอย่างนั้น
ซูย้าวกลับเงยศีรษะขึ้นมาและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหน้าประตูโรงเรียนอนุบาลในตอนเย็นทั้งหมดให้เธอฟัง
รอเธอเอ่ยจบแล้ว โม่หว่านหว่านก็เอ่ยขึ้นทันทีว่า “ผู้หญิงคนนั้น? คงจะไม่ได้เป็นแม่บุญธรรมคนก่อนของเตียวเตียวหรอกนะ”
ประโยคนี้พูดได้ตรงประเด็นจริงๆ
ซูย้าวรีบหยิบเอกสารในการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมของผู้หญิงคนนั้นและสามีของเธอออกมาทันที ในนั้นมีข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวทั้งหมด ความจริงแล้วสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเอกสารที่เก็บเอาไว้เป็นความลับ แต่เนื่องจากซูย้าวเป็นผู้ให้การสนับสนุนด้านเงินทุนกับทางสถานสงเคราะห์มาตลอด ทั้งยังมุ่งมั่นทำการกุศล ยิ่งไปกว่านั้นการที่เธอตรวจสอบก็ไม่ได้มีเน้าหมายอื่นใด เพียงแค่อยากจะยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงคนนั้นกับเตียวเตียวเท่านั้นเอง ทางด้านสถานสงเคราะห์ถึงได้ส่งข้อมูลเอกสารทั้งหมดนี้ให้กับเธอ
แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น ซูย้าวก็ยังคงลงนามในเอกสารกับทางสถานสงเคราะห์ เพื่อรับประกันว่าจะไม่ใช้เอกสารเหล่านี้ไปทำประโยชน์อย่างอื่น เพียงแต่ดูเองเท่านั้น
“สวรรค์! เตียวเตียว เด็กคนนี้คงจะไม่ได้หนีออกมาจากครอบครัวที่อุปการะเขาก่อนหน้านี้หรอกนะ! ผู้อื่นยังไม่ได้ทอดทิ้ง เป็นเขาเองที่เป็นฝ่ายทอดทิ้งพ่อแม่ที่รับเลี้ยงเขา!” โม่หว่านหว่านร้องเสียงหลง คล้ายกับว่ามีมุมมองอื่นๆต่อเด็กคนนี้
ซูย้าวสูดหายใจลึก “ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ฉันลองตรวจสอบดูแล้ว ครอบครัวที่รับอุปการะเขาก่อนหน้านี้หลายครอบครัว ดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนี้…”
“อะไรนะ”
โม่หว่านหว่านร้องเสียงหลง หยิบเอกสารฉบับอื่นมาอ่านดูคร่าวๆ “ไอ้หยา อ่านพวกนี้แล้วปวดหัว เธอยังจะรับเผือกร้อนกลับมาลูกหนึ่ง! อย่าก่อเรื่องวุ่นวายอะไรเพราะเจ้าเด็กคนนี้ก็พอแล้ว!”
“จะก่อเรื่องอะไรได้กัน ฉันดำเนินการแต่ละขั้นตอนเสร็จหมดแล้ว เพียงแค่ต้องพูดคุยกับสามีภรรยาคู่นี้ดีๆสักหน่อย ให้พวกเขาเป็นฝ่ายยินยอมก็ไม่เป็นอะไรแล้ว!” ซูย้าวยิ้มน้อยๆ การที่เธอตรวจสอบนั้นไม่ได้มีมุมมองอื่นใดต่อเตียวเตียว เพียงแค่อยากจะยืนยันความสัมพันธ์เท่านั้นเอง
เพียงแต่เมื่อเอ่ยถึงหัวข้อนี้ ในสมองของโม่หว่านหว่านก็คิดถึงชาร์ลีขึ้นมาทันที
ลูกที่ซูย้าวให้กำเนิดเองในปีนั้น ถูกคนอุ้มไปเมื่อห้าปีก่อน ตอนนี้อยู่ด้านหน้าเธอ แทบจะทุกวันที่ไปโรงเรียนอนุบาลล้วนสามารถพบเจอได้ ในเมื่อแอบตรวจสอบ DNA เงียบๆแล้ว เช่นนั้น เรื่องที่จะประกาศออกไปก็เป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็วแล้ว…
“ซูย้าว เธอคิดว่าชาร์ลีเด็กคนนี้เป็นอย่างไร” จู่ๆโม่หว่านหว่านก็ถามขึ้นมา
เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ตอบออกไปประโยคหนึ่ง “ก็ดีนะ ทำไมหรือ”
“ไม่ ไม่มีอะไร…”
หรือว่าจะเป็นสัญชาตญาณระหว่างแม่ลูกกัน โม่หว่านหว่านสังเกตเธอ และความคิดนี้ก็ถูกทำลายลงทันที ซูย้าวผู้หญิงคนนี้ ไม่มีแรงต้านทานต่อเด็กคนไหนทั้งนั้น คาดว่าคงจะไม่นับว่าเป็นสัญชาตญาณระหว่างแม่ลูกหรอก…
“ทำไมจู่ๆถึงเอ่ยถึงชาร์ลีล่ะ? คือชาร์ลีในโรงเรียนอนุบาลของซีซีกับเตียวเตียวเรียนอยู่…”
ความกังวลของซูย้าว โม่หว่านหว่านเข้าใจได้ในทันที จึงรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ใช่ เธอเข้าใจผิดแล้ว! ฉันเพียงแค่คิดว่าชาร์ลี เด็กคนนี้ดีมาก ทั้งรู้ความและน่ารัก ฉลาดและร่าเริง ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างมีมารยาท ไม่ใช่ประเภทเดียวกันกับหานฉ่ายหลิงเลย เธอว่า พวกเขาจะเป็นแม่ลูกแท้ๆกันหรือเปล่า”
ประโยคเดียวก็ทำให้ในใจของซูย้าวตะลึงอย่างคาดไม่ถึง
เธอค่อยๆเงยหน้ามองไปทางโม่หว่านหว่าน “เธอหมายความว่าอะไร”
“ไม่มีอะไรนิ เพียงแต่รู้สึกแปลกๆ หานฉ่ายหลิงเป็นผู้หญิงประเภทที่ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง จะให้กำเนิดชาร์ลีที่ดีขนาดนี้ได้อย่างไรกัน” โม่หว่านหว่านเอ่ยส่งเดช
ซูย้าวหรี่ตา “ไม่สามารถพูดแบบนี้ได้นะ! ชาร์ลีเพิ่งจะอายุห้าขวบเท่านั้นเอง มนุษย์แรกเกิดนั้นบริสุทธิ์โดยเนื้อแท้ จะสามารถมองอะไรออกจากเด็กอายุห้าขวบคนหนึ่งได้หรือ”
“…ก็ถูกนะ!” โม่หว่านหว่านยิ้มหว่าน ในใจก็คิดว่า อาศัยเพียงแค่การแอบตรวจ DNA นั้นยังไม่สามารถทำอะไรได้ ในทางกฎหมายก็ไม่นับว่าเป็นหลักฐาน เธอยังต้องคิดหาวิธีอื่นอีก
“แต่ว่านะ ย้าวย้าว เธอรู้สึกไหมว่าชาร์ลีคล้ายกับลี่เจิ้งในสมัยเด็กมากเลย” ทันใดนั้นโม่หว่านหว่านก็เอ่ยออกมาอีกประโยค
“เจิ้งเอ๋อหรือ”
ซูย้าวหัวใจเต้นตึกตักเล็กน้อย เธอไม่ได้ไปเยี่ยมลี่เจิ้งนานมากแล้ว นับตั้งแต่ที่โรงพยาบาลเซ็นเดอร์เกิดเหตุไฟไหม้ ลี่เจิ้งถูกย้ายไปโรงพยาบาลอื่น เธอก็ไม่ได้ไปเยี่ยมอีกเลย
ทุกครั้งที่เห็นลูกชายนอนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อน และอาศัยเพียงแค่อุปกรณ์ยื้อชีวิต เธอก็เหมือนกับถูกลูกธนูนับหมื่นทะลวงหัวใจ แทบอยากจะให้คนที่นอนอยู่ตรงนั้นเป็นตัวเอง
โม่หว่านหว่านคล้ายกับว่าเดาความคิดของเธอออก ก็รีบเปลี่ยนคำพูด “ฉันก็แค่พูดไปแบบนั้นเอง เธออย่าเอามาใส่ใจเลย เด็กๆน่ะ หน้าตาเหมือนหรือว่ามีนิสัยเหมือนกันเยอะแยะจะตายไป! ชาร์ลีกับซีซีก็คล้ายกันนะ!”
“ซีซี…”
ซูย้าวพึมพำเสียงเบา ความจริงแล้วในใจโม่หว่านหว่านกระสับกระส่ายยากจะสงบลงได้ อยากจะพูดออกไปแต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร เธอรู้ชัดเจนดีว่า ห้าปีก่อนเธอให้กำเนิดเด็กสองคน
ฝาแฝดคู่หนึ่ง
ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง
หลังจากที่คลอดเด็กออกมาแล้ว เธอก็จำได้อย่างชัดเจนว่าพยาบาลพูดกับคุณหมอว่าเป็นเด็กทารกสองคน
แต่รอจนตัวเองฟื้นขึ้นมาจากการหลับใหลแล้ว คนทั้งหมดก็เปลี่ยนคำพูด
คนรอบด้านทุกคนรวมไปถึงโม่หว่านหว่านและหลินโม่ป่ายแทบจะเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่ามีเพียงแค่คนเดียว นั่นก็คือซีซี
จะเป็นไปได้อย่างไรกัน
เห็นอยู่ชัดๆว่ายังมีเด็กอีกคนหนึ่ง!
เธอไม่ได้สูญเสียความทรงจำ ระหว่างที่ตั้งครรภ์ แม้ว่าจะตรวจครรภ์ไม่กี่ครั้ง แต่ก็มีสองครั้งที่คุณหมอยืนยันอย่างชัดเจนว่าเป็นเด็กสองคน
จะมีแค่คนเดียวได้อย่างไรกัน
เช่นนั้นก็มีแค่ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว
ทำหายไปคนหนึ่ง
พวกเขาเป็นกังวลว่าเธอจะได้รับความกระทบกระเทือนใจ รับไม่ไหว ดังนั้นถึงได้โกหกเธอด้วยความปรารถนาดี แต่เบื้องหลัง หลายปีมานี้หลินโม่ป่ายและโม่หว่านหว่านตามหาไปทั่วไม่หยุด แทบจะทุกโรงพยาบาลนรีเวชวิทยาทั่วเมืองMทุกแห่งแล้ว ทั้งยังตรวจสอบสถานสงเคราะห์ทุกแห่งภายในประเทศอย่างชัดเจน สำหรับทุกอย่างนี้เธอก็รู้เช่นกัน
เพียงแต่บางครั้ง รู้ทั้งรู้ว่าเป็นคำโกหกอันปรารถนาดีแล้วจะแทงใจไปทำไมกัน แม้ว่าจะเปิดเผยออกมาแล้ว เด็กก็กลับมาไม่ได้ชั่วคราวเช่นกัน
“อืม เด็กอายุไม่กี่ขวบ โดยทั่วไปล้วนพอๆกัน เหมือนใครก็เป็นเรื่องปกติ!” ซูย้าวมองเธอ ฉีกยิ้มน้อยๆบนใบหน้าซีดเซียว