ทันใดนั้น ลี่เฉินซีถึงกับพูดไม่ออกเพราะคำพูดของหญิงสาว
ถ้าจะให้ถูก คือไม่ใช่ว่าพูดไม่ออกแต่เขาไม่สามารถพูดอะไรได้ต่างหาก
ชายหนุ่มครุ่นคิดเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจให้ตระกูลซูต้องกลายมาเป็นอย่างเช่นทุกวันนี้ แต่มันก็มีปัจจัยและสาเหตุอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเขาไม่มากก็น้อยรวมอยู่ด้วย อีกอย่าง เรื่องทั้งหมดก็เกิดขึ้นหลังจากที่เขาแต่งงานกับเธอจริง ๆ ดังนั้น เรื่องที่เขาไม่ได้ทำ แต่มันเกิดขึ้นเพราะเขา จึงค่อย ๆ กระจายออกไป
แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุด คือซูย้าวไม่ได้ใส่ใจว่าตระกูลซูจะเป็นอย่างไร เพราะตอนที่เธอยังอยู่ในตระกูลซู ชีวิตเธอต้องพบเจอกับความยากลำบากมากมาย และแทบจะไม่มีใครเป็นที่พึ่งให้เธอได้เลย
แต่สิ่งที่เธอใส่ใจมากที่สุด คืออานโล๋
ช่วงที่อานโล๋เสียชีวิต เป็นช่วงที่พวกเขาแต่งงานและกำลังจะหย่ากันพอดี ซึ่งมันก็มีร่องรอยบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับลี่เฉินซีอยู่ด้วย
ดังนั้น คำถามของเธอในตอนนี้ ทำให้เขารู้สึกพูดไม่ออก และไม่รู้จะเผชิญหน้าได้อย่างไรจริง ๆ
“ใช่ไหมล่ะ ฉันพูดไม่มีผิดเลยใช่ไหม?” ซูย้าวมองมาที่เขา นัยน์ตาคู่สวยถูกย้อมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากมาย “คุณอาจจะไม่ใช่กาลกิณี แต่ฉันคงเป็นคนที่ไม่เคยมีสมองเลยนี่คือเรื่องจริง!”
หญิงสาวแค่คิดว่าตัวเองเคยหลงรักผู้ชายคนนี้หัวปักหัวปำ ยอมแต่งงานกับเขาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด เสียสละตัวเองให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า ยอมแม้กระทั่งมีลูกให้เขาตั้งสามคน ก่อนหน้านี้ก็ยอมยกไตตัวเองให้แม่ของเขา เพียงแค่นี้ในใจซูย้าวก็ไม่ต่างจากถูกไฟสุมแล้ว
ถ้าหากว่าความทรงจำของเธอฟื้นกลับมาเร็วกว่านี้ จากนั้นก็รู้ว่าเจี่ยงเวินอี๋เคยรังเกียจเดียดฉันท์เธอเพียงใด เธอคงจะไม่มีวันมอบอวัยวะอันล้ำค่าของตัวเองให้หล่อนเป็นแน่!
เธอรู้สึกเสียใจทีหลังกับตัวเองจริง ๆ
ลี่เฉินซีมองเธอเงียบ ๆ ดวงตาเฉี่ยวคมราวกับนกฟีนิกซ์ของเขาจ้องเธออย่างลึกซึ้ง ริมฝีปากบางโค้งสวยอย่างมีเสน่ห์ “ความทรงจำของคุณยังฟื้นกลับมาไม่หมดเสียหน่อย”
ชายหนุ่มไม่ได้ใช้เป็นประโยคคำถาม น้ำเสียงของเขาแน่วแน่ ไร้ซึ่งความลังเล
ซูย้าวชะงักไป เขาดูออกได้อย่างไร?!
ชายหนุ่มเอื้อมมือออกไปเชยคางเธอขึ้น ก่อนจะมองเธอด้วยแววตาครุ่นคิด “คุณจำได้แค่ก่อนหน้านี้เราแต่งงานกันอย่างไร แต่ตอนที่เราหย่ากันล่ะ คุณจำได้ไหม?”
“ฉัน…..” ซูย้าวชะงักไปเมื่อถูกถาม เธอมีสีหน้าประหม่าเล็กน้อยแต่ยังยั้งปากไว้ทัน ก่อนที่เธอจะย้อนถามชายหนุ่มกลับว่า “คุณต้องการจะพูดอะไร?”
“ที่ผมอยากจะพูดก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลซู มีส่วนเกี่ยวข้องกับผมไม่มาก เรื่องการตายของคุณแม่คุณ ก็ไม่ได้เกิดจากคุณแม่ผมเช่นกัน” เขาอธิบายออกมา
เจี่ยงเวินอี๋ในตอนนั้นถือว่าเป็น “ตัวซวย” จริง ๆ หล่อนพบกับคนขับรถผู้ก่อเหตุ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าการถามทาง ด้วยความใจดีเธอจึงบอกทางเขาไป แต่กลับถูกกล้องวงจรปิดบันทึกภาพไว้ได้ ซึ่งในบันทึกนั้นก็มีใครบางคนลงมือไว้ก่อนแล้ว จนนำพาไปสู่การตั้งทฤษฎีและการคาดเดาต่าง ๆ ในอนาคต
ซูย้าวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “เรื่องนี้ฉันรู้อยู่ก่อนแล้ว”
จากการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของคนขับรถผู้ก่อเหตุในคุก เธอก็สามารถเดาได้แล้วว่าเรื่องนี้มันไม่ง่ายแน่
หากเจี่ยงเวินอี๋เป็นคนลงมือฆ่าจริง ๆ และไม่มีเรื่องอะไรผิดพลาด หล่อนคงไม่ต้องโผล่หน้าออกมาด้วยตัวเองแบบนี้ หรือต่อให้หล่อนต้องออกมา ก็คงไม่ไปโผล่ที่จุดพักรถบนทางด่วน จนมีกล้องวงจรปิดบันทึกภาพไว้ได้พอดีหรอก
พฤติกรรมการฆ่าคนนั้นมีอยู่หลายรูปแบบ แต่โดนส่วนใหญ่ ก็มีแค่แบบอารมณ์ชั่ววูบและแบบเจตนาไว้ก่อนแล้ว หากเป็นอารมณ์ชั่ววูบ คนที่ทำก็จะทิ้งหลักฐานไว้มากมาย เพราะถึงอย่างไรคนที่ใช้อารมณ์ตัดสิน ก็มักจะไม่ค่อยพิจารณาอะไรไว้ก่อนอยู่แล้ว
แต่ถ้าหากเป็นแบบเจตนาไว้ก่อนล่ะ?
ในเมื่อเป็นการเจตนาและวางแผนไว้ก่อน ยังต้องมาแสร้งทำให้เกิดเรื่องบังเอิญอีก ถ้าอย่างนั้น ทำไมไม่เตรียมการให้ดีไว้ตั้งแต่แรก
เจี่ยงเวินอี๋เป็นถึงนายหญิงแห่งบริษัทลี่ซื่อ สมัยยังสาวถึงกับเคยทุบห้างสรรพสินค้า เธอไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ที่จะตัดสินใจทำอะไรด้วยความประมาทแบบนี้แน่
บวกกับการที่เธอส่งคนไปตรวจสอบเพิ่ม ทำให้ซูย้าวต้องตัดความสงสัยในตัวเจี่ยงเวินอี๋ไป ไม่อย่างนั้น ไม่กี่เดือนต่อมาหลังจากที่ซูย้าวหนีการแต่งงาน คงไม่ต้องให้เจี่ยงเวินอี๋แสดงละครแกล้งตายต่อหน้าอานเจียเย้นหรอก
ลี่เฉินซีหรี่ตามองเธออย่างเคร่งขรึม “ในเมื่อคุณรู้แล้วว่าเรื่องพวกนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผมไม่ใช่เหรอ? งั้นนี่ก็คงไม่ใช่เหตุผลที่คุณจะปฏิเสธการคบกันของเรา”
เธอเหลือบมองเขาพร้อมกับเม้มปากเบา ๆ ผู้ชายคนนี้ขัดไม่ได้เลย เห็นได้ชัดว่าคนอย่างเขาไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริง ๆ
“ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง ถ้างั้นคุณเชื่อเรื่องโชคชะตารึเปล่าล่ะ?” อยู่ ๆ ซูย้าวก็เริ่มพูดเรื่องไร้สาระขึ้นมา
ลี่เฉินซีขมวดคิ้วแน่น “อะไรนะ?”
นัยน์ตาของเธอเป็นประกายจริงจัง “ชะตาของเราไม่เหมาะสมกัน ดวงคุณพิชิตฉัน เพราะงั้นตระกูลซูของเราถึงได้กลายเป็นแบบนี้ หากเรายังจะฝืนต่อไป ฉัน…..”
ซูย้าวพูดไปพูดมา อยู่ ๆ เสียงเธอก็หายไป
เธอครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะคิดขึ้นได้ว่า ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดตระกูลซูก็ไม่เหลือใครแล้ว “ดูเหมือนว่านอกจากฉันตระกูลซูก็ไม่เหลือใครแล้วสินะ”
ซูย้าวร่อนเร่อยู่ข้างนอกมาโดยตลอด ไร้ซึ่งข่าวคราว ไม่ต่างอะไรกับการหายสาบสูญ
ลี่เฉินซียกมือขึ้นลูบแก้มเธอเบา ๆ อย่างหมดหนทาง “คุณพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้มันจะมีประโยชน์อะไร? เป็นเด็กดีหน่อย มาคบกันดี ๆ แล้วก็เป็นแฟนสาวของผมอย่างจริงจัง ตกลงไหม?”
เธอเอนตัวไปข้างหลังอย่างรังเกียจ “ฉันยังไม่ได้รับปากคุณ แต่ฉันจะเก็บไปพิจารณา ซึ่งในตอนนี้ เรามาทำเงื่อนไขข้อตกลงกันก่อน”
นัยน์ตาของลี่เฉินซีเย็นชาขึ้นมาทันที “เอาอีกแล้ว?”
หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างเหลืออด “ถ้าคุณไม่ตกลง งั้นก็ถือว่าสิ่งที่คุณลี่ทำมาก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น…..”
เธอยังไม่ทันได้พูดต่อจนจบ ก็ถูกลี่เฉินซีรีบตัดบททันที “ตกลง ตกลง พูดมาสิ เงื่อนไขอะไร?”
เธอยิ้มออกมาเล็กน้อย “ยังเป็นกฎเดิม ก็คือห้ามแตะต้องฉัน ห้ามยุ่งกับฉัน ห้ามแอบดูฉัน ให้อิสระ ให้ช่องว่าง และให้เวลากับฉัน”
ลี่เฉินซี “……”
ซูย้าวมองไปที่เขา รอยยิ้มแห่งชัยชนะปรากฏขึ้น สองแขนกอดอกเบา ๆ “ว่าไง? ตกลงไหม?”
ชายหนุ่มพิงพนักโซฟา กวาดสายตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า “คุณไม่ใช่ซูย้าวจริง ๆ”
“หืม?” หญิงสาวชะงักไป “หมายความว่าอย่างไร?”
ถึงแม้เธอจะมีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกับซูย้าวไม่มีผิด แต่ในด้านบุคลิกนั้น ซูย้าวไม่ใช่คนที่จะมีชีวิตชีวาขนาดนี้ และยิ่งไม่มีทางเลยที่เธอจะมาต่อรองแบบ “ได้คืบจะเอาศอก” แบบนี้
ลี่เฉินซีหลับตาลงอย่างหมดหนทาง “คุณรู้จักนิสัยของตัวเองดี งั้นคุณแยกคนทั้งสองคนออกจากกันได้รึยัง?”
เธอกะพริบตาเบา ๆ ด้วยความประหม่า ทั้งยังไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด “มันเกี่ยวอะไรด้วยเหรอ?”
ชายหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่เกี่ยวหรอก ผมรับปากคุณ แต่หากไม่แตะต้องคุณ คุณ…..”
ลี่เฉินซียกมือขึ้นคลายเนกไทเบา ๆ อย่างหมดคำจะพูด นี่เธอต้องการจะทำให้เขาคลั่งใช้ไหม!
“นอกจากฉันจะยินยอมด้วยความเต็มใจ หรือช่วงเวลาที่มีความสุข ไม่อย่างนั้นก็ห้ามเข้าใกล้ และห้ามสัมผัสร่างกายเกินความจำเป็น คุณควรจะอยู่ห่างฉันอย่างน้อยสองเมตร” เธอพูดต่อ
ลี่เฉินซีจ้องไปที่เธอ “คุณกลัวผมเหรอ?”
ชายหนุ่มเอนตัวเข้าไปใกล้หญิงสาว ระหว่างโต๊ะที่กั้นไว้มือเรียวของชายหนุ่มกุมมือบางเธอแน่น ก่อนจะค่อย ๆ ลูบไล้เธอทีละนิดทีละนิดขึ้นไปเรื่อย ๆ “กลัวว่าถ้าสัมผัสมากไป คุณจะทนไม่ไหวตกหลุมรักผมอีกรอบเหรอ? หรือว่า ตกหลุมรักไปแล้วกันแน่?”
ซูย้าวปฏิเสธไม่ได้เลย ว่าในเรื่องของความเร่าร้อน ผู้ชายคนนี้ถือเป็นขั้นเทพจริง ๆ หากไม่ระวังตัวสักนิดล่ะก็ คงคล้อยตามเขาไปได้อย่างง่ายดายแน่ ๆ
เธอก้มหน้าลงเล็กน้อย ค่อย ๆ ปัดมือหนาของเขาออก “ฉันยังไม่ทันได้รับปากคุณ หรือต่อให้รับปากแล้ว ก็ต้องรักษาระยะห่างกันด้วย มันคือการให้เกียรติ”
“อีกอย่าง คุณลี่ คุณจะมีความมั่นใจก็ได้ แต่ถ้ามั่นใจเกินไป คุณก็ต้องรับผิดชอบเอาเองนะ เพราะนั่นถือว่าคุณทำตัวเองทั้งนั้น!”
ลี่เฉินซีหัวเราะออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะเอนหลังพิงโซฟา “สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือความเย็นชาสินะ”
เธอชะงักด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ยังฟังเขาพูดต่อ “แต่ก็ไม่เป็นไร พวกเราค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป เดี๋ยวผมจะสอนคุณทีละนิดเองว่าความรักก็ไม่ต่างจากไฟ ความชุ่มชื้นบนผ้าปูที่นอนนั่น…. ”
ทันทีที่ซูย้าวได้ยินคำพูดสองแง่สองง่ามหลุดออกมาจากปากเขา ใบหน้าของเธอก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที หญิงสาวยืดตัวขึ้นเพื่อกลบความเขินอายเอาไว้ “คุณนี่มันไร้ยางอายจริง ๆ ช่วยระวังคำพูดของคุณไว้หน่อยเถอะ!”
พูดจบ เธอก็หันหลังกลับด้วยความรีบร้อนพร้อมกับวิ่งตรงไปทางห้องพักทันที ทิ้งให้ลี่เฉินซีนั่งอยู่เพียงลำพัง ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มสะท้อนอยู่บนหน้าจอโน๊ตบุ๊ค มุมปากค่อย ๆ ยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว…..