“อิอิ สาวงามทั้งสองท่าน ไม่ต้องรีบร้อน พี่ชายมาแล้ว!”
ชายขี้เมาโงนเงนไปมา ในมือถือวิสกี้ที่เหลืออีกครึ่งขวด เดินโซเซไปมาไม่มั่นคงเข้ามาทางพวกเธอสองคน
ซูย้าวกับโม่หว่านหว่านตะลึงค้างไปในทันที พวกเธอเห็นชายขี้เมาโผเข้ามา เขากระชากโม่หว่านหว่านให้ลุกขึ้นอย่างแรงในคราเดียว
เขาดึงเธอไปอีกด้าน กดโม่หว่านหว่านที่ถูกมัดเอาไว้บนกำแพง ลงมือบีบปากเธอให้อ้าออก “มาเถอะ ให้พี่ได้รู้สึกถึงปากเล็กๆนี้สักหน่อยนะจ๊ะ”
ชายขี้เมาเอ่ย และเริ่มปลดเข็มขัดหนังบริเวณเอวของตัวเอง
โม่หว่านหว่านตื่นตระหนกจนนัยน์ตาหดวูบ “นาย…นาย…”
เธอถูกเหตุการณ์ตรงหน้าทำให้ตะลึงค้างไปแล้ว นี่จะทำอะไรกัน นี่แทบจะเป็นเรื่องที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงประสบการณ์อะไรนั่นเลย!
ซูย้าวเห็นแล้วก็ร้อนใจ พยายามกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน แต่เป็นเพราะถูกมัดมือและเท้าเอาไว้ ดังนั้นจึงเคลื่อนไหวได้ไม่คล่องแคล่ว จนถึงขั้นพูดได้ว่างุ่มง่ามเงอะงะ เธอทำได้เพียงแค่ใช้วิธีการกระโดดเข้าไปทีละเล็กทีละน้อย ปากก็เอ่ยว่า “นายปล่อยเธอนะ! อย่าแตะต้องเธอ!”
แต่ชายขี้เมาที่เมาหัวราน้ำอยู่จะฟังเข้าหูได้อย่างไรกัน
เขาปลดเข็มขัดของตัวเองออก หลังจากนั้นก็กดโม่หว่านหว่านให้นั่งลงตรงหน้าตัวเอง กระชากเส้นผมยาวของเธอ ยึดศีรษะเธอเอาไว้ พยายามบีบปากเธอให้อ้าออก…
เมื่อเห็นการกระทำทั้งหมดตรงหน้านี้ ซูย้าวก็สูดลมหายใจลึกด้วยความหวาดกลัว “หยุดมือนะ! นายห้ามแตะต้องเธอ!”
โม่หว่านหว่านก็ส่ายหน้าดิ้นรนไปมา แต่แรงของชายคนนี้มีมากจริงๆ เธอเขยิบหนีไม่พ้น ตอนที่เห็นว่าเขากำลังจะประสบความสำเร็จ ด้านนอกก็มีคนบุกเขามาอีก
คนที่เข้ามาอีกเป็นผู้ชาย ก็คือชายที่จับซูย้าวกับโม่หว่านหว่านมากักขังไว้ที่นี่ก่อนหน้านี้ ยังหนุ่มอยู่มาก มองดูแล้วอายุน่าจะประมาณสามสิบเห็นจะได้
ชายหนุ่มเข้ามาก็เห็นภาพเบื้องหน้า จึงถีบชายขี้เมาปลิวออกไปทันทีโดยไม่ต้องคิดพิจารณาใดๆ
“แม่มึงเถอะ มึงเป็นบ้ารึไง!” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ สีหน้าก็โหดเหี้ยมขึ้นมา “ดื่มเหล้าเมาแล้วก็เหลวไหล ทำตัวเอาถ่านหน่อยได้ไหม”
พูดแล้ว ชายหนุ่มก็ฉุดกระชากชายขี้เมาออกไปอย่างหยาบคาย ตอนที่ออกไปก็ไม่ลืมที่จะปิดประตูห้องด้วย
โม่หว่านหว่านที่รู้สึกว่ารอดพ้นจากหายนะมาได้ ก็หมดแรงอยู่บนพื้น หอบหายใจไม่หยุด สีหน้าขาวซีดดูแย่อยู่หลายส่วน
ซูย้าวทุ่มเทแรงกายแรงใจเขยิบไปข้างเธอ “เป็นอย่างไรบ้าง ตกใจแย่เลยสินะ!”
โม่หว่านหว่านดิ้นรนลุกขึ้น ซุกหน้าอยู่ในอ้อมแขนของซูย้าว หยาดน้ำตารินไหลออกมา “ซูย้าว ฉันตกใจแทบตาย คนคนนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว!”
ในชีวิตเธอ นอกจากลู่ส้าวหลิง ก็ไม่มีผู้ชายคนไหนอีก ยิ่งไม่มีเวลาและประสบการณ์ในการคบหาสมาคมกับเพศตรงข้าม จู่ๆก็มีชายขี้เมาคนหนึ่งทำแบบนี้กับเธอ จะไม่ตกใจได้หรือ
ซูย้าวถูกเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ตกใจไม่น้อย ทั้งสองคนปลอบประโลมใจซึ่งกันและกัน
ส่วนทางเดินด้านนอก ชายหนุ่มรุ่นเยาว์ลากชายขี้เมาเข้าไปในห้องน้ำ กดศีรษะเขาลงในชักโครก และดึงฝักบัวมา น้ำเย็นเฉียบราดลงบนตัวชายขี้เมาที่สำลักน้ำไปไม่น้อย เขาดิ้นรนสุดชีวิตราวกับปลาที่เกยตื้น
เมื่อเห็นว่าถึงโอกาสที่เหมาะแล้ว ชายหนุ่มถึงได้ปิดฝักบัว และสะบัดร่างชายขี้เมาออกไป พลางยกเท้าถีบเขาไปอย่างแรงด้วยความรังเกียจไปอีกหลายครั้ง หลังจากนั้นก็โค้งตัวเล็กน้อย จิกผมชายขี้เมา ออกแรงกระชากอย่างดุดัน บังคับให้เขาหันมาสบตาตัวเอง “มึงรู้ไหมว่าผู้หญิงสองคนนั้นเป็นใคร?”
“มึงกินดีหมีหัวใจเสือมาหรือ คนหนึ่งคือผู้หญิงที่ประธานอานต้องการ อีกคนก็ใช้ประโยชน์ได้ แม่มึงให้มึงแตะหรอ? มึงแตะต้องได้หรือไง”
ชายหนุ่มยกมือสะบัดฟาดลงบนใบหน้าของหนุ่มขี้เมาไปหลายฝ่ามือ ฟาดจนหนุ่มขี้เมาอาเจียนออกมาเป็นเลือด นอนแผ่ร้องครวญครางอยู่บนพื้น
ไม่ง่ายเลยที่หนุ่มขี้เมาจะอดกลั้นต่อความเจ็บปวดได้ เขาดันตัวลุกขึ้นมา โผเข้าไปกอดขาของชายหนุ่มเอาไว้ “ผมผิดไปแล้ว ผมผิดไปแล้วจริงๆ! ผมดื่มเหล้าไปสองสามแก้วก็หมดสติไปแล้ว ขอร้องคุณล่ะ อย่าบอกเรื่องนี้กับประธานอานเด็ดขาดนะครับ ไม่อย่างนั้น…”
ถึงเขาจะดื่มจนเมา แต่ในตอนนี้ก็มีสติไม่น้อย ล่วงเกินอานเจียเย้น ทั้งยังฝันว่าจะปลอดภัยไร้อันตรายใดๆ ไม่อธิษฐานขอพรให้ตายแล้วไม่เหลือแม้แต่กระดูกก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว!
“ขอร้องคุณล่ะครับ ขอร้องคุณล่ะ ผมผิดไปแล้วจริงๆ!” ชายขี้เมาหมอบอยู่บนพื้น โขกศีรษะยอมรับความผิดไม่หยุดอย่างไม่สนใจสิ่งใด
ชายหนุ่มเหลือบมองเขานิ่งๆ ยกเท้าถีบเขาออกไป “ไสหัวไป!”
…….
ห้องเดี่ยวภายในท้องเรือ ชายหนุ่มออกไปแล้วกลับมา ในมือมีโซ่เหล็กที่ยาวและหนักมากสองเส้น หลังจากเข้าประตูมา ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจว่า “เมื่อครู่เป็นเหตุการณ์ผิดพลาดเล็กน้อย คุณอาน คุณโม่ ขอโทษด้วยครับ ผมขอโทษพวกคุณแทนเขาด้วย!”
หลังจากขอโทษแล้ว เขาก็ให้การรับรองเป็นพิเศษ “หลังจากนี้จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก ทั้งสองท่านโปรดวางใจ!”
เอ่ยจบแล้วก็นำโซ่เหล็กในมือไปติดยึดกับบริเวณที่แขวนตรงกำแพงในห้องแห่งหนึ่ง หลังจากนั้นก็นำมาล่ามไว้ที่คอของซูย้าวกับโม่หว่านหว่าน เมื่อจัดการล่ามโซ่เหล็กเสร็จแล้ว เขาก็ลงมือตัดเชือกที่มัดข้อมือและข้อเท้าของทั้งสองคนให้ขาด
ซูย้าวมองโซ่เหล็กบนลำคอตัวเองด้วยความตกใจ สายตาสงสัยและเกรี้ยวกราดเพิ่งจะปรากฏขึ้น ก็ได้ยินชายหนุ่มเอ่ยว่า “ขอโทษด้วยครับ คุณอาน คุณก็รู้ว่าพวกเรารับคำสั่งมา ถ้าหากไม่สามารถพาพวกคุณกลับไปได้ พวกเราก็ลำบากเช่นกัน ดังนั้น จึงต้องให้คุณได้รับความไม่เป็นธรรมแล้ว!”
ฝ่ายตรงข้ามพูดแบบนี้แล้ว ซูย้าวยังจะพูดอะไรได้อีก?
เธอขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเฉยเมย ถามกลับประโยคหนึ่งว่า “สรุปว่าจะไปที่ไหนกันแน่ ยังอีกนานไหม?”
“คือว่า…” ชายหนุ่มลังเลเล็กน้อย ไม่ได้รีบร้อนตอบคำถามเธอ
อาจจะเป็นเพราะได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับซูย้าวมาก่อน จึงไม่กล้าบอกตามตรง แต่เอ่ยเพียงแค่ว่า “สี่ห้าวันประมาณนี้ ส่วนที่ไหนนั้นก็พูดยากครับ”
หลังจากนั้นก็ไม่ให้โอกาสซูย้าวได้ถามอะไรอีก หมุนตัวเดินตรงออกไปทันที
ทิ้งโม่หว่านหว่านกับซูย้าวเอาไว้สองคน ทั้งสองคนหลุบตาลงนวดข้อมือที่มีรอยแดงจากการถูกเชือกมัด มีบางจุดที่ถูกเสียดสีจนถลอก เจ็บจนต้องขมวดคิ้ว
โม่หว่านหว่านขยับโซ่เหล็กที่อยู่บนลำคออย่างไม่พอใจ “นี่ดูเหมือนกับการล่ามสุนัข สุนัขที่เป็นสัตว์เลี้ยงยังไม่ต้องเจอกับการปฏิบัติแบบนี้เลย!”
“เธอมีความสัมพันธ์อะไรกับอานเจียเย้นกันแน่ เมื่อก่อนคงจะทำให้เขาโมโหไม่น้อยเลยสินะ ไม่อย่างนั้นจะปฏิบัติแบบนี้กับพวกเราได้อย่างไร!”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของโม่หว่านหว่าน ซูย้าวก็แสดงท่าทางหมดคำบรรยายออกมา
โม่หว่านหว่านเห็นเธอไม่พูดอะไรสักคำ ก็ว่างไม่มีอะไรทำเช่นกัน ไม่สู้หาเรื่องสนุกทำสักหน่อย จะได้สามารถทำให้บรรยากาศที่ชวนให้ผู้คนตกตะลึงนี้มีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อย จึงเอ่ยต่อว่า “ฉันนึกมาตลอดว่าเขาชอบเธอ แต่ตอนนี้ดูท่า เขาไม่เพียงแต่ไม่ชอบเธอ แต่ยังเกลียดจนอยากจะจัดการเธอให้ตายด้วย!”
ไม่อย่างนั้นใครจะสั่งให้คนเอาโซ่มาล่ามคนที่ยังมีชีวิตอยู่กัน?!
ซูย้าวหมดคำบรรยายอีกครั้ง ขมวดคิ้วอย่างทำอะไรไม่ถูก “เขาคนนั้นก็เป็นแบบนี้ เธออย่ามองว่าเขาดีเกินไปก็พอแล้ว อย่างไรครั้งนี้ก็ท่าจะไม่ดี พวกเราล้วนต้องขอพรให้ตัวเองโชคดีแล้ว!”
โม่หว่านหว่าน “…….”
ซูย้าวมองสีหน้าที่ค่อยๆตึงเครียดของเธอแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเบาๆอย่างอดไม่อยู่ หลังจากนั้นก็กวาดตามองไปยังของกินที่อยู่ไม่ไกลพวกนั้น และเอ่ยว่า “คราวนี้กินอาหารได้แล้ว เธอน่าจะหิวแล้วเช่นกัน กินกันเถอะ!”
โม่หว่านหว่านคล้ายกับถูกเตือนอย่างไรอย่างนั้น รีบเขยิบร่างไปหยิบถุงอาหารมา แต่น่าเสียดายเป็นอย่างมากที่ โซ่เหล็กมีระยะจำกัด โม่หว่านหว่าน
ละเลยปัญหานี้ไป ดังนั้นเธอขยับแล้วขยับอีก เขยิบแล้วเขยิบอีก สุดท้ายก็ทนโซ่เหล็กที่ล่ามอยู่ที่คอเอาไว้ไม่ไหว ท้ายที่สุดก็ถูกตรึงเอาไว้
เธอเกือบจะขาดอากาศหายใจ ประคองโซ่ที่เหล็กล่ามอยู่บริเวณลำคอด้วยความกระอักกระอ่วน มองไปทางซูย้าวด้วยสายตาที่รู้สึกว่าไร้ประโยชน์
แต่ถึงซูย้าวจะเขยิบไปช่วยเธอ สภาพก็คงจะเหมือนกันอยู่ดี ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงแค่แสดงออกว่าไม่สามารถช่วยเหลือได้จริงๆ และเอ่ยว่า “เกี่ยวมาได้ก็พอแล้ว มาเถอะ!”
โม่หว่านหว่านแสดงความดื้อดึงของตัวเองออกมา อย่างไรก็ไม่ยอมแพ้ต่อโซ่เหล็กเส้นนี้ ดังนั้น เธอจึงทำทุกอย่างสุดความสามารถ ในที่สุดตอนที่ตาเห็นว่าปลายเท้าสามารถเกี่ยวเอาถุงอาหารถุงนั้นมาได้ เสียงประตูห้องก็ดังขึ้น
ชายหนุ่มกลับมาที่ห้องอีกครั้ง ครั้งนี้ในมือเขาถือถาดมาใบหนึ่ง ด้านบนมีอาหารอุ่นร้อนอยู่หลายจาน
เขาเพิ่งจะเดินเข้ามา ก็เห็นภาพกระอักกระอ่วนของโม่หว่านหว่านที่กำลังยืดเท้าอย่างเปลืองแรงอยู่ ชายหนุ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย ใช้สายตาซับซ้อนมองไปทางเธอ หลังจากนั้นก็ขยับริมฝีปากเล็กน้อย คล้ายยิ้ม คล้ายไม่ยิ้ม เมื่อวางถาดในมือลงแล้ว ก็เดินไปหยิบถุงอาหารมาวางใกล้พวกเธอสองคน