ในพระราชวังเสียนหยาง
ครั้นเทียบกับหลายวันก่อน เอกสารบนโต๊ะทำงานของอิ๋งซื่อที่ยังคงกองพะเนินเทินทึกเหมือนภูเขาล้วนเป็นเอกสารที่ยังอ่านไม่เสร็จในครึ่งเดือนที่ผ่านมา
“ฝ่าบาท จู้ซย่าสื่อ-ซ่งหวยจินมาเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ” เสียงของขันทีทูลรายงานแผ่วเบา
อิ๋งซื่ออ่านเอกสารอย่างรวดเร็ว กล่าวโดยมิได้เงยหน้า “เชิญให้เขาเข้ามา”
ขันทีออกไปครู่หนึ่ง อิ๋งซื่อก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอีกครั้ง เอ่ยปากว่า “มาได้เวลาพอดี มาช่วยข้าคัดเลือกเอกสารเกี่ยวข้องกับข้อโต้แย้งในการยกเลิกกฎหมายออกมา”
ซ่งชูอีกลืนคำถวายการคำนับลงไป ตอบว่า “พะย่ะค่ะ” จากนั้นก็คุกเข่าลงข้างโต๊ะ คัดเลือกเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการหารือกฎหมายของซางจวินออกมาจากด้านใน นางคัดเลือดพลางพูดอะไรไม่ออก ใบไผ่มีความหนาปานกลาง มันถูกขัดเรียบและสม่ำเสมอ การทำสมุดไผ่เช่นนี้ เริ่มตั้งแต่การแยกใบไผ่แล้วบดเป็นแผ่น จากนั้นจึงร้อยเรียงต่อกัน จำต้องใช้ความพยายามของหนึ่งคนในหนึ่งวันเต็ม สามารถจินตนาการได้ว่ามันมีค่าแค่ไหน เหล่าตระกูลเก่าแก่ใช้ม้วนไผ่เป็นร้อยเป็นพันเพียงต้องการเกลี้ยกล่อมให้ยกเลิกกฎหมายใหม่ ช่างเป็นการใช้จ่ายอย่างสิ้นเปลืองแท้ๆ!
“เป็นฝ่าบาทนี่ไม่ง่ายเลย” ซ่งชูอีกล่าว
ขันทีอู่ซานกล่าว “จู้ซย่าสื่อไม่รู้กระไร ยังมีอีกสามกล่องใหญ่เต็มในห้องเก็บของข้างๆ!”
“ไปเรียกจิ่งเจียนเข้ามา” อิ๋งซื่อสั่งอู่ซาน
“พะย่ะค่ะ”
อู่ซานถอยออกไป อิ๋งซื่อยกถ้วยชาขึ้นมาจิบสองสามคำก่อนเอ่ยขึ้น “มีเรื่องกระไร?”
ซ่งชูอีวางสมุดไผ่ลง ยืนตัวตรงเอ่ย “ฝ่าบาท กระหม่อมขอพระอนุญาตไปยังรัฐปาสู่”
“ไม่ได้” อิ๋งซื่อปฏิเสธอย่างเด็ดขาดโดยไม่คิด ดูจากการเน้นย้ำ “ทฏษฎีการโค่นรัฐ” แล้ว ซ่งชูอีไม่เพียงเก่งด้านการความสัมพันธ์ทางการทูต แต่ยังสามารถช่วยเหลือแม่ทัพใหญ่ในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ เขาจะปล่อยผู้มีพรสวรรค์แห่งต้าฉินไปได้เยี่ยงไร?
“ฝ่าบาท…”
อิ๋งซื่อตัดบทซ่งชูอี “กว่าเหรินพูดแล้วมิเคยคืนคำ”
ซ่งชูอีกัดฟัน หน้าตาหล่อเหลาเพียงนี้ทว่าใยจึงไร้ความเข้าอกเข้าใจนักนะ! นางสงบสติอารมณ์ เอ่ยว่า “กระหม่อมไม่ไปย่อมได้ ทว่าแม้นองค์ชายจี๋เก่งกาจด้านทหาร การทูตอาจจะลำบากอยู่บ้าง กระหม่อมจึงต้องการแนะนำคนคนหนึ่ง”
“ผู้ใด?” แววตาเย็นเยียบของอิ๋งซื่ออ่อนโยนลงเล็กน้อย
“จางอี๋!” ซ่งชูอีกล่าว
อิ๋งซื่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ไม่เคยได้ยิน”
“บุคคลนี้เป็นศิษย์สำนักกุ่ยกู๋จื่อ เล่าเรียนทฤษฎีจ้งเหิง เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ทางการทูตเป็นอย่างยิ่ง หากมีเขาไปรัฐปาสู่ เรื่องนี้ก็จะดำเนินไปอย่างปลอดภัย” ซ่งชูอีรู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจว่าแม้นางจะไปด้วยตัวเองก็อาจทำได้ไม่ดีเท่าจางอี๋
เนื่องด้วยอิ๋งซื่อเคยมีปมกับซางจวิน ฉะนั้นจึงค่อนข้างเป็นกังวลในการใช้งานคนต่างรัฐ ตอนนั้นหากมิใช่เพราะซ่งชูอีนำเสนอ “ทฤษฎีการโค่นรัฐ” ต่อหน้าเขาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า เขาก็คงไม่ใช้นางเช่นกัน
ครั้นพินิจว่าในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ รัฐฉินมีความวุ่นวายทั้งภายในและภายนอก ทว่าก็เป็นโอกาสที่ดีในการขยับขยายออกไป อิ๋งซื่อก็วางปมในใจนี้ลง “บุคคลผู้นี้ตอนนี้อยู่ที่ใด?”
“ครึ่งปีก่อน กระหม่อมพบเขาในรัฐเว่ย์ บัดนั้นได้ยินว่าเขามีความตั้งใจจะเข้าสู่รัฐฉิน ฝ่าบาทสามารถสั่งให้คนตามหาเขาในรัฐฉินก่อนได้พะย่ะค่ะ” ซ่งชูอีเอ่ย
“เยี่ยม” อิ๋งซื่อพยักหน้า
ซ่งชูอีกล่าวด้วยความเคารพ “เรื่องนี้ฝ่าบาทต้องเร่งมือแล้ว ดินแดนปาสู่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อรัฐฉิน เชื่อว่าในใจฝ่าบาทคงรู้ดีกว่าใครทั้งหมด หากไม่พบจางจื่อ ได้โปรดฝ่าบาทประทานอนุญาตส่งกระหม่อมเข้าปาสู่ด้วยพะย่ะค่ะ สำหรับฉินแล้ว เอาซ่งหวยจินสักสองสามคนไปแลกกับดินแดนปาสู่ก็คุ้มค่า!”
คิ้วของอิ๋งซื่อกระตุกเล็กน้อย เมื่อครู่เขาบอกแล้วว่าวาจาที่เขาพูดออกไปก็เหมือนสายนทีไม่ไหลย้อนกลับ ไม่มีวันคืนคำอย่างเด็ดขาด ทว่าซ่งชูอีกลับเอ่ยคำขอนี้อีกครั้ง แม้นจะรู้ว่ามิใช่คำพูดที่จงใจท้าทายเขา แต่เป็นใครก็ไม่พอใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สายตาทั้งสองคู่ประสานกัน ทั้งสองคนล้วนสามารถมองเห็นความดื้อรั้นในสายตาของกันและกัน บรรยากาศตึงเครียดขึ้นกะทันหัน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เสียงของอู่ซานทำลายความตึงเครียด “ฝ่าบาท ใต้เท้าจิ่งเจียนมาถึงแล้วพะย่ะค่ะ”
อิ๋งซื่อละสายตา เอ่ยเรียบๆ “ให้เขาเข้ามา”
ซ่งชูอีก็เก็บอาการเช่นกัน คัดแยกเอกสารต่อไป
“ถวายบังคมฝ่าบาท” เสียงที่อ่อนโยนและซื่อสัตย์เสียงหนึ่งดังขึ้น
จิ่งเจียนเป็นขันทีฝ่ายในคนสนิทของจวินองค์ก่อน ได้รับความไว้วางใจจากจวินองค์ก่อนค่อนข้างมาก อีกยังเคยไปเยือนต่างแดนในฐานะราชทูตรัฐฉินอีกด้วย แม้ว่าบัดนี้เขามิได้ดูแลกิจการภายในแล้ว ทว่าอิ๋งซื่อกลับวางใจเขาเป็นอย่างยิ่งดุจ
จวินองค์ก่อน อีกทั้งว่ากันว่าบัดนั้น เขาเป็นคนแนะนำซางจวินให้กับจวินองค์ก่อนครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รัฐฉินมิได้สูญเสียผู้มีพรสวรรค์ไป
ซ่งชูอีมีความสนใจในตัวจิ่งเจียนมาก จึงเงยหน้าขึ้นมาดู
จิ่งเจียนเสื้อคลุมแขนกว้างสีดำ ใบหน้าขาวนวลไร้ที่ติ แม้นอายุจะย่างห้าสิบแล้ว แต่ยังดูอ่อนเยาว์มาก ภาพลักษณ์แตกต่างจากชาวฉินผู้มีชั้นผิวหนาและหยาบกร้านเป็นอย่างมาก
“ไม่ต้องมากพิธี” เดิมทีอิ๋งซื่อเรียกเข้ามาเพราะต้องการให้เขาช่วยคัดแยกเอกสาร ทว่าตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว “นั่งเถิด”
“พะย่ะค่ะ” จิ่งเจียนเห็นว่าซ่งชูอีมองมาก็ยิ้มน้อยๆ ให้นาง
ซ่งชูอีก็ยิ้มกลับ ถือเป็นการทักทาย
“จู้ซย่าสื่อเรามาพูดถึงจางอี๋กันเถิด” อิ๋งซื่อเอ่ย
ซ่งชูอีรู้ว่าอิ๋งซื่อต้องการให้จิ่งเจียนตามหาจางอี๋ จึงหันไปพูดกับเขา “จางอี๋เป็นศิษย์สำนักกุ๋ยกู่และสำนักจ้งเหิง อายุราวๆ ยี่สิบหกยี่สิบเจ็ด สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกนั้น ข้าจะวาดภาพเหมือนให้ในภายหลัง”
แม้นทักษะของวาดภาพของนางจะไม่เท่าไร บวกกับคำอธิบาย ก็ยังมีความจำเพาะเจาะจงกว่าการพูดปากเปล่าขึ้นมาหน่อยหนึ่ง
จิ่งเจียนพยักหน้า หันไปพูดกับอิ๋งซื่อ “ฝ่าบาทต้องการตามหาบุคคลนี้หรือ?”
“อืม นำข่าวมาให้กว่าเหรินภายในห้าวัน” อิ๋งซื่อกล่าว
เขาสั่งได้อย่างผ่อนคลายมาก ไม่รู้ว่าต้องมีกี่คนที่อดตาหลับขับตานอนในห้าวันห้าคืนนี้
“พะย่ะค่ะ” จิ่งเจียนตอบรับอย่างมีความสุข จนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังมีเครือข่ายของข่าวสารขนาดใหญ่อยู่ในมือ “กระหม่อมจะดำเนินการเดี๋ยวนี้”
“ไปเถิด” อิ๋งซื่อกล่าว
ซ่งชูอีก็เอ่ยขึ้นทันที “บัดนี้กระหม่อมทูลรายงานเสร็จแล้ว ขออนุญาตทูลลา”
เดิมทีอิ๋งซื่อต้องการจะลงโทษนาง ทว่าครั้นได้เห็นใบหน้าที่ยิ้มกรุ้มกริ่มนั้นก็อดที่จะรู้สึกปวดหัวมิได้ ในใจคิดว่าหากเพียงให้นางคัดแยกเอกสารเป็นการลงโทษก็จะเป็นการดูถูกนางเกินไป ดังนั้นจึงโบกๆ มือ ถือเสียว่าหากมองไม่เห็นก็จะไม่รำคาญใจ
“กระหม่อมทูลลา” ซ่งชูอีลุกขึ้น ถอยออกไปด้วยความนอบน้อม
นางเห็นคนในชุดดำบนทางเดิน จึงเรียกเสียงหนึ่ง “ใต้เท้าจิ่งเจียน”
จิ่งเจียนหันมามองนาง ประสานมือคำนับ “จู้ซย่าสื่อ”
“ใต้เท้าจิ่งเจียนมิต้องมากพิธี” ซ่งชูอีคำนับกลับ เดินเคียงข้างกับเขา
จิ่งเจียนเอ่ย “หลังจากกลับจวนแล้ว จู้ซย่าสื่อได้โปรดร่างภาพเหมือนโดยเร็ว คืนนี้ข้าน้อยจะสั่งคนไปรับ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ซ่งชูอีกล่าว “จางจื่อมีความปรารถนาที่จะรับใช้รัฐฉินนานแล้ว คิดว่าจะต้องเข้ารัฐฉินมานานเช่นกัน เพียงแต่จนบัดนี้ยังมิได้พบ เกรงว่าเขาจะเจอทางตัน ข้าขอแนะนำให้ใต้เท้าจิ่งเจียนเสาะหาในเสียนหยางเป็นพอ ตามที่ข้าน้อยรู้จักเขา หากสวามิภักด์ต่อรัฐฉินมิสำเร็จ เขาจะไม่พำนักที่นครอื่นในรัฐฉิน”
“ขอบคุณจู่ซยาสสื่อที่เตือนสติ” จิ่งเจียนประสานมือคำนับ
ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “มันสมควรอยู่แล้ว”
ทั้งสองคนคุยกันสองสามคำ จากนั้นก็แยกกันก่อนถึงประตูประราชวัง ซ่งชูอีค่อนข้างมีความสนใจในจิ่งเจียนอย่างแท้จริง ทว่าสถานะของจิ่งเจียนนั้นบอบบางมาก หลังจากรัฐฉินยกเลิกการฝังคนเป็นไปพร้อมกับคนตายแล้ว จิ่งเจียนก็ควรปกป้องวิญญาณของเซี่ยวกงในฐานะขันทีคนสนิท ทว่าเขากลับเป็นคนแนะนำซางยาง อีกทั้งยังเคยติดตามซางยางในช่วงเวลาหนึ่ง เหล่าตระกูลเก่าเรียกได้ว่าเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ การที่อิ๋งซือเก็บเขาไว้ในพระราชวัง ด้านหนึ่งก็เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เหล่าตระกูลเก่าแก่แก้แค้นเขา