กู่หานผลักประตูเข้ามาด้วยเนื้อตัวเปียกปอน พูดเสียงต่ำ “บัดนี้จดหมายของท่านส่งถึงองค์ชายจี๋แล้ว องค์ชายตอบกลับมาว่าจะกลับฉินคืนนี้”
“อืม” ซ่งชูอีตอบรับเสียงหนึ่ง ขยี้ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง
“สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เป็นการทำให้ต้าฉินอับอายใหญ่หลวงนัก” แม้ว่ากู่หานจะตระหนักว่าเขาต้องปฏิบัติตามคำสั่งของซ่งชูอีโดยไม่มีเงื่อนไข แต่ก็อยู่บนพื้นฐานของการเสียสละเพื่อรัฐฉิน วันนี้สู่อ๋องได้พบกับท่านราชทูตฉินในลักษณะที่
หยาบคายเช่นนั้น ช่างเป็นการดูแคลนไม่น้อยจริงๆ
ซ่งชูอีอ้าปากต้องการจะกล่าวอะไรบางอย่าง จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านนอก คำพูดในปากนางกลายเป็นหาว จากนั้นก็เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ข้าเพียงรับปากฝ่าบาทให้มาคุยเรื่องการค้า ไม่เคยรับปากว่าจะปกป้องศักดิ์ศรีของรัฐฉิน”
“ท่าน…” เห็นได้ชัดว่ากู่หานรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของนาง การได้ยินของเขานั้นไวกว่าซ่งชูอีมาก ไม่ช้าเขาก็เข้าใจว่านี่เป็นการแสดงละคร จึงพ่นลมหายใจเย็นชาอย่างให้ความร่วมมือ “เสียแรงที่ฝ่าบาทเชื่อใจท่านเพียงนั้น! ที่แท้ท่านมันคนต่ำต้อย!”
พูดจบก็จากไปด้วยความโมโห วินาทีที่เขาหันหลังไปนั้นก็เห็นได้ชัดว่าซ่งชูอียิ้มกว้างให้เขาอย่างมีความสุข ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงเกิดขึ้นภายในใจ
กู่หานออกไปจากประตูแล้ว ก็พบกับขุนนางจูเหิงแห่งรัฐสู่และผู้ต้อนรับอวี๋เฉิง จึงประสานมือคารวะ “ท่านราชทูตเพิ่งจะตื่นนอน แต่งกายไม่เรียบร้อย เกรงว่าจะละเลยใต้เท้าทั้งสอง อย่างไรเสียเชิญรอที่ห้องโถงเถิด”
อวี๋เฉิงจะกล้าเทียบเคียงจูเหิงได้เยี่ยงไร ครั้นได้ยินกู่หานเรียกตนเช่นนี้ อดที่จะตกใจจนเหงื่อท่วมกายมิได้ พยายามลดการมีตัวตนของตนเองอยู่ข้างๆ อย่างสุดกำลัง
อย่างไรก็ดีความสนใจของจูเหิงมิได้อยู่ที่การเรียกขาน เมื่อครู่เขาก็ได้ยินบทสนทนาภายในห้อง บัดนี้เมื่อกู่หานกล่าวเช่นนี้ก็รู้สึกว่ามีความหมายแอบแฝงอยู่ภายใน ‘พวกท่านรัฐสู่ไม่รักษาขนมธรรมเนียมประเพณี ทว่าพวกข้าชาวฉินไม่รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีไม่ได้’ แต่เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ได้ชี้นำ เขาจึงได้แต่ตอบกลับไปเบาๆ และเข้าไปในห้องโถงหลักพร้อมกับอวี๋เฉิง
จูเหิงนั่งขัดสมาธิ “เจ้าก็นั่งเถิด”
อวี๋เฉิงที่ยืนอยู่ด้านหลังเขากล่าวขอบคุณ แล้วนั่งขัดสมาธิลงที่เดิม
รอไม่นาน ซ่งชูอีก็เดินเข้ามาพร้อมความรู้สึกผิดบนใบหน้า ประสานมือเอ่ย “ใต้เท้าเหิงรอนานแล้ว”
กู่หานไม่ทราบถึงสถานะของจูเหิงจึงเรียกออกไปว่า “ใต้เท้าทั้งสอง” ซ่งชูอีกลับรู้ดีกว่าอวี๋เฉิงเป็นเพียงผู้ต้อนรับคนหนึ่งไม่สามารถเทียบเคียงจูเหิงได้อยู่แล้ว
จูเหิงเป็นพระอนุชาต่างมารดาของสู่อ๋อง หากว่ากันตามกฎก็สามารถแต่งตั้งให้เป็นโหวหรือจวินได้ ทว่านับตั้งแต่สกุลไคหมิงแยกตัวออกไปเป็นรัฐจูตั้งแต่รุ่นที่ห้า สู่อ๋องในรุ่นหลังก็ระมัดระวังในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหลังจากรุ่นที่สิบ รัฐจูค่อยๆ อยู่เหนือการควบคุม เรื่องการแต่งตั้งจึงต้องยิ่งพิจารณาอย่างรอบคอบ ด้วยเหตุนี้จูเหิงในวัยสามสิบกว่าจึงยังคงเป็นเพียงขุนนางชั้นสูงที่ไร้อำนาจในหวังเฉิงแห่งนี้
“ไม่เป็นไร เห็นท่านราชทูตสุขสดใส ข้าก็วางใจแล้ว” จูเหิงยิ้มเอ่ยพร้อมคำนับกลับ
ซ่งชูอีเอ่ยถามหลังจากนั่งลงแล้ว “ใต้เท้าเหิงมาตอนค่ำ ไม่ทราบว่ามีเรื่องกระไร?”
“ฝ่าบาทต้องการพบท่าน สั่งให้ข้ามารับท่านเข้าวัง” จูเหิงจำต้องพินิจพิจารณาซ่งชูอีใหม่อีกครั้ง เขามักจะเล่าข้อมูลน่าสนใจให้สู่อ๋องฟังในครั้งแรก เมื่อวานเป็นเพียงการเล่าเรื่องขำขันเท่านั้น และก็เข้าใจว่าสู่อ๋องเพียงต้องการรับชมความสนุกสนาน ใครจะรู้ว่าเด็กน้อยอมมือผู้นี้จะมีความสามารถได้รับความโปรดปรานจากสู่อ๋องรวดเร็วปานนั้น
สิ่งที่ทำให้จูเหิงไม่สบายใจยิ่งกว่าก็คือ เมื่อก่อนหากสู่อ๋องต้องการตามหาหญิงงาม ก็จะเรียกเขาไปชื่นชมก่อนทุกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับแกล้งพูดอย่างลึกลับว่าราชทูตรัฐฉินส่งเทพธิดาโฉมงามองค์หนึ่งมาให้เขา แต่มิได้เปิดเผยข้อมูลใดๆ อีก
มันช่างแปลกประหลาดแท้
“ในเมื่อฝ่าบาทเรียกพบ จะชักช้าไมได้ ไปเถิด” ซ่งชูอีกล่าวพลางลุกขึ้น
จูเหิงกับนางเดินออกจากห้องโถงหลักด้วยกันและมีสาวใช้สามนางเข้ามากางร่มให้ทันที
ฝนตกหนักกว่าเมื่อวานเล็กน้อย ฝนที่ตกกระทบร่มนั้นส่งเสียงเปาะแปะเบาๆ เดินไปเพียงไม่กี่ก้าว จูเหิงก็อดไม่ไหวที่จะเอ่ยถาม “ได้ยินว่าท่านจะถวายเทพธิดาโฉมงามองค์หนึ่งให้ฝ่าบาทเช่นนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว” ซ่งชูอีตอบอย่างมีมารยาทพร้อมกับรอยยิ้ม ไม่มีท่าทีจะกล่าวอะไรมากอีก
จูเหิงเห็นดังนี้ก็ไม่ได้ถามต่อ
ต่างคนต่างขึ้นรถแล้วมุ่งหน้าไปยังพระราชวัง
มันยังคงเป็นท้องพระโรงเมื่อวาน แต่ดูเคร่งขรึมกว่าตอนต้อนรับซ่งชูอีเมื่อวานเล็กน้อย อย่างน้อยก็ไม่ได้มีกลุ่มหญิงสาวเปลื้องผ้าที่เกี่ยวพันกันเหมือนงู
ซ่งชูอีเพิ่งจะย่ำเท้าเข้าท้องพระโรง พลันได้ยินเสียงมีความสุขของสู่อ๋อง “หวยจิน รีบเข้ามา”
จากการสนทนาเมื่อคืน เนื่องจากซ่งชูอีกับสู่อ๋องมี “ความชอบที่คล้ายคลึง” ความสัมพันธ์จึงแน่นแฟ้นขึ้นมากเพียงชั่วพริบตา สู่อ๋องยังละทิ้งกิจการของรัฐและเรียกนางว่า “หวยจิน” อย่างสนิทสนม
ซ่งชูอียิ้มพลางมองไปยังพระที่นั่งหลัก ภายใต้แสงไฟอ่อนโยนนั้น นอกเหนือจากสู่อ๋องแล้วยังมีชายวัยกลางคนอายุย่างสี่สิบผู้หนึ่งอยู่ด้วย ชุดสีน้ำเงินเทานั้นถูกซักอย่างสะอาดสะอ้าน ร่างกายซูบผอมทว่าไม่มีความอ่อนแอให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ขมับสองข้างมีหงอกแซม ดวงหน้าสดใส แววตาชัดเจนดุจเมฆบนท้องนภา อีกทั้งยังเจือปนความโดดเดี่ยวอันเป็นอิสระ ผ่อนคลายและลึกลับอีกด้วย
รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งชูอีจางหายไปอย่างควบคุมไม่ได้ ทว่าดวงตาทั้งคู่ยังคงสดใส
ชายวัยกลางก็มองซ่งชูอีเช่นกัน บนใบหน้ามีรอยยิ้มเป็นมิตร พยักหน้าน้อยๆ
“จวงจื่อ นี่ก็คือซ่งหวยจินที่กว่าเหรินเล่าให้ท่านฟัง” สู่อ๋องเอ่ย
คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะได้พบเจออย่างกะทันหัน มิได้ให้นางได้เตรียมใจเลย
ซ่งชูอีลดสายตาลงเพื่อปกปิดความเปียกชื้นในดวงตา สะบัดแขนเสื้อและโค้งคำนับต่ำให้จวงจื่อด้วยความนอบน้อม
“กว่าเหรินมิได้มีความสนใจในบทสนทนาของเต๋า ไว้ข้าทำธุระเสร็จแล้วจะกลับมา” สู่อ๋องตบๆ ไหล่ของซ่งชูอี ทิ้งพวกเขาไว้สองคนแล้วจากไปจริงๆ
ในท้องพระโรงอันกว้างใหญ่ เหลือเพียงสาวใช้ที่ยืนอยู่เงียบๆ เหมือนกับเสา กับคนที่เพิ่ง “พบกันครั้งแรก”
“หวยจินว่ออวี๋ ชื่อดีจริงๆ” จวงจื่อเอ่ยปากทำลายความเงียบก่อน จากนั้นก็ถามต่อ “คำว่าชูอีมีความหมายใด?”
“เพื่อระลึกถึงบิดาผู้ล่วงลับ” ซ่งชูอีสำลักเล็กน้อย
“ประเสริฐนัก ความกตัญญูเป็นรากฐานความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่พึงปฏิบัติตาม” แม้ว่าจวงจื่อจะหมกมุ่นอยู่กับการสำรวจวัฏจักรของสวรรค์และโลกแต่เขาก็ไม่เคยลืมรากฐาน
“ข้าเคยฝันถึงเรื่องหนึ่ง ทว่าบัดนี้กลับแยกระหว่างความจริงกับความฝันมิออกแล้ว ข้าต้องการให้ชื่อนี้เป็นผู้ไขความสับสนของข้าอยู่เสมอ” ซ่งชูอีกล่าว
จวงจื่อประหลาดใจเล็กน้อย ไม่ช้าก็พยักหน้า “เยี่ยม”
เขาก็เคยฝันว่าตนกลายเป็นผีเสื้อซึ่งสมจริงอย่างหาที่เปรียบมิได้ หลังจากตื่นขึ้นมาแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงความฝันหนึ่งของผีเสื้อเท่านั้น เขาเองก็ล่องลอยอยู่ระหว่างความฝันและความจริงในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
“ข้าฝันถึงชีวิตหนึ่ง” ซ่งชูอีมองจวงจื่อ “บิดาที่กำลังจะสิ้นใจได้ฝากฝังลูกคนเล็กของตัวเองให้กับบุคคลที่มีนามว่าจวงจื่อ”
ซ่งชูอีเห็นว่าสีหน้าของจวงจื่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าปฏิกิริยาของเขามิใช่ความประหลาดใจ ความสงสัยหรือว่าความอยากรู้อยากเห็นเช่นปกติทั่วไป แต่กลายเป็นความเคร่งขรึม การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นไปตามการคาดเดาของซ่งชูอี
“จวงจื่อเลี้ยงเขาตั้งแต่เล็กจนโต เปลี่ยนชื่อให้เขาเป็นหวยจินว่ออวี๋ หลังจากซ่งหวยจินเติบโตแล้วก็ท่องเที่ยวทั่วหล้า ทว่าสุดท้ายก็ไม่พบโอกาส ในที่สุดจึงเพียงถวายตัวรับใช้รัฐเล็กๆ แห่งหนึ่ง…”
ซ่งชูอีสรุปเส้นทางชีวิตก่อนหน้านี้ของตนเอง
……
“หลังจากข้าตื่นขึ้นมาแล้ว รู้สึกอยู่เสมอตนคือความฝันของเขาในวันที่เมืองแตก เพราะว่าทุกอย่างที่อยู่ตรงนั้นเหมือนจริงเหลือเกิน” ซ่งชูอีจับจ้องไปที่จวงจื่อ
เมื่อจวงจื่อฟังจบ สีหน้าก็ดูเคร่งขรึม สอดมือไว้แขนเสื้อเงยหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง ถอนหายใจเอ่ย “วิถีของเต๋าคือธรรมชาติ!”