แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 55
“ไม่เพียงเท่านั้น นายยังสนิทกับเทพธิดาของบริษัทเราอีก ใครๆก็มองนายไม่ดีทั้งนั้น”
“เทพธิดา? พานหุ้ยหุ้ย?”
หานเวยพยักหน้า
ไป๋ยี่เฟยพูดออกมาหนึ่งคำ “ก็พอได้นะ”
“พอได้อะไร? รสนิยมนายสูงไปหรือเปล่า?” หานเวยก็ยังรู้สึกว่าพานหุ้ยหุ้ยสวยมาก
ไป๋ยี่เฟยหัวเราะขึ้นมา แต่ไม่ได้อธิบายอะไร
พานหุ้ยหุ้ยถือว่าไม่เลวจริงๆ ยิ้มขึ้นมาก็ดูสวยหวานมากขึ้นไปอีก น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะสวยขนาดไหนก็ยังเทียบไม่ได้กับหลี่เสว่
ไป๋ยี่เฟยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “ถ้าอย่างนั้นทำไมนายยังออกมาทานข้าวกับฉันอยู่?”
“เฮ้อ!” หานเวยส่ายหัว “ฉันก็เพิ่งมาไม่นานเหมือนกัน และผลงานการทำงานของฉันก็ไม่ค่อยดีมาโดยตลอด ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็คงต้องถูกปลด ก็เลยไม่อยากสนใจแล้ว”
ไป๋ยี่เฟยกินข้าวอย่างเงียบๆ เหมือนว่าไม่รู้จะปลอบใจอย่างไร
“ใช่สิ นายรู้จักซุนเฉิงไหม?”
“นายพูดถึงซุนเฉิง?” หานเวยตกตะลึงก่อนจะรีบสำรวจรอบด้าน แน่ใจว่าไม่มีคนแล้วถึงถอนหายใจออกมา
ไป๋ยี่เฟยรู้สึกประหลาดใจ กลัวซุนเฉิงขนาดนี้เชียว? ดูเหมือนว่าพื้นเพของซุนเฉิงจะไม่ธรรมดาทีเดียว
“ทำไมจู่ๆนายถึงพูดถึง ซุนเฉิง? นายเจอเขาแล้วเหรอ?”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า ก่อนจะเล่าเรื่องเมื่อครู่ให้หานเวยฟัง
หานเวยได้ยินแล้วก็เข้าใจขึ้น “มิน่าล่ะ เขาถึงไม่ได้ทำอะไรนาย แบบนี้ถือว่าโชคดี”
“ทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ?”
หานเวยรีบมองไปรอบตัวอีกที ก่อนจะพูดเสียงกระซิบ “ซุนเฉิงคนนี้เป็นลูกชายของท่านประธานซุน วางมาดอยู่ที่บริษัททุกวัน ไม่มีคนกล้ายุ่งกับเขาหรอก”
“นายก็รู้ ซุนเฉิงชอบพานหุ้ยหุ้ยมาโดยตลอด แต่ว่าพานหุ้ยหุ้ยกลับไม่ชอบซุนเฉิง ทุกครั้งที่มีคนมาสนิทกับพานหุ้ยหุ้ยก็จะทำร้ายอีกฝั่งจนเข้าโรงพยาบาล หรือไม่ก็ใช้ชื่อของประธานซุน ไล่คนออกจากบริษัท
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าเข้าใจ “อย่างนี้นี่เอง!”
หลังจากนั้นไป๋ยี่เฟยก็ยังแอบถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างซุนเฉิงกับผู้บริหาร หานเวยเป็นแค่พนักงานธรรมดาๆคนหนึ่ง ดังนั้นจึงรู้ไม่ค่อยมาก
พูดคุยกันไปสักพัก ไป๋ยี่เฟยไม่ต้องการให้คนอื่นเกิดความสงสัย ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาขึ้น เพื่อเป็นการดึงความสัมพันธ์ของทั้งสองให้สนิทกันขึ้นไปอีก
หลังทานข้าวเสร็จ กำลังเดินกลับไปยังหอพัก
“ช่วยด้วย!”
ไป๋ยี่เฟยหยุดฝีเท้าลง “นายได้ยินเสียงอะไรไหม?”
“หือ?” หานเวยแกล้งทำซื่อ “ไม่มีนะ!”
ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้ว อยากจะเดินเข้าไปดู หานเวยรีบดึงตัวเขาไว้ “น้องชาย อย่าไปยุ่งเรื่องของคนอื่นเลย รีบไปกันเถอะ!”
“ช่วยด้วย!”
เสียงตะโกนดังลงมาจากตึกของบริษัท
หานเวยเห็นสถานการณ์ไม่ดีรีบเอ่ย “น้องชาย สังคมสมัยนี้ ยุ่งแต่เรื่องของตัวเองดีกว่า ยุ่งเรื่องคนอื่นนอกจากจะไม่ได้ประโยชน์อะไรแล้ว ยังจะทำให้ตนเองมีปัญหามากขึ้นไปอีก”
ไป๋ยี่เฟยถอนหายใจออกมา
หานเวยพูดถูก ตอนนี้ควรจะจัดการเรื่องของตนให้ดี ใครจะอยากยุ่งเรื่องของคนอื่นและหาปัญหามาใส่หัวกัน?
แต่ว่าไป๋ยี่เฟยกลับนิ่งนอนใจไม่ได้ ถ้าหากมีอันตรายเกิดขึ้นล่ะ?
ทั้งๆที่เขารู้อยู่แก่ใจ แต่กลับทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ถ้าหากคนอื่นได้รับอันตรายขึ้นมา เขาคงรู้สึกละอายใจมาก ก่อนจะเปลี่ยนความคิดขึ้นมา ถ้าหากเสียงที่ตะโกนขอความช่วยเหลือเป็นเสียงของหลี่เสว่ล่ะ?
หรือว่าอาจจะเป็นเสียงของคนที่เขารู้จักสักคน?
ถ้าหากไม่ช่วย คงจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
และเรื่องแบบนี้ถ้าหากเขาไม่ช่วย อย่างน้อยก็ควรจะมีคนเข้าไปช่วย
คิดถึงตรงนี้ ไป๋ยี่เฟยพูดกับหานเวย “นายกลับไปก่อนเถอะ!” พูดจบก็รีบวิ่งไปทางที่จอดรถใต้ดิน
หานเวยตะโกนรั้งไว้สุดเสียง ก่อนจะถอนหายใจและเดินจากไป
ตกดึกสองสามทุ่ม บริเวณรอบบริษัทนั้นแทบจะร้างซึ่งผู้คน ยามที่คอยเฝ้าลาดตระเวนนั้นก็ไม่ได้ยินเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือจากโรงจอดรถใต้ดินนี้
ไป๋ยี่เฟยพุ่งเข้าไป ก็เห็นชายร่างท้วมสองคนกำลังลากหญิงคนหนึ่งไปยังมุมลับตาของลานจอดรถ หญิงคนนั้นสวมชุดยูนิฟอร์มของบริษัทอยู่ แต่ตอนนี้กลับดูยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ ขาทั้งสองพยายามยันรั้งไว้กับพื้น ก่อนที่รองเท้าส้นสูงข้างหนึ่งจะหลุดออกไป
หญิงสาวอยากจะร้องตะโกนขอความช่วยเหลืออีกทีหนึ่ง แต่โดนชายคนหนึ่งยกมือขึ้นปิดปากทำให้เธอได้เพียงแต่ร้องเสียงอู้อี้ดังอยู่ในลำคอ เสียงนั้นรู้สึกได้ว่าหญิงสาวกำลังหมดหวังแล้ว
ไป๋ยี่เฟยเห็นสถานการณ์นี้แล้วก็รีบหลบเข้ามาที่ด้านหลังของเสาใหญ่ หัวใจเต้นเร็วไม่หยุด
ชายทั้งสองนั้นร่างกายกำยำ กล้ามเป็นมัดๆ และยังสวมใส่หน้ากากผีอีก ดูก็รู้ว่าเป็นลูกน้องของใครแน่ เขาน่าจะสู้ไม่ไหว
ตอนนี้จะมาเสียใจภายหลังก็คงไม่ทันแล้ว?
ไป๋ยี่เฟยพิงหลังแนบกับเสาใหญ่ ตอนนี้จะเข้าไปช่วยหรือไม่ช่วยดี?
แต่ถ้าหากไม่ช่วยล่ะก็ เขา……
แต่ก่อนไป๋ยี่เฟยขี้ขลาดมาก ไม่ใช่ว่าเขาหวาดกลัว แต่เป็นเพราะเขาไร้ซึ่งความสามารถ ไม่มีเงิน และยังไม่มีความสามารถหาเงินด้วย ดังนั้นเลยไม่มีโอกาสเงยหน้าอ้าปาก แล้วก็ไม่กล้าไปแข่งขันอะไรกับใคร
แต่ว่าในสังคมสมัยนี้ คุณธรรมที่ควรจะมีก็ยังคงต้องคงไว้อยู่
แต่เกรงว่าถ้าตนพุ่งเข้าไปตรงๆคงจะโดนทำร้ายสาหัส
ลังเลอยู่สักพัก ไป๋ยี่เฟยกัดฟันแน่น ก่อนจะใช้มือมาปิดหน้าของตน เหลือเพียงแต่ดวงตาทั้งสองข้างเพื่อมองทาง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ไป๋ยี่เฟยตะโกนห้ามชายทั้งสอง
ชายทั้งสองได้ยินแล้ว สบสายตากันก่อนจะหยิบมีดพบที่พับไว้ขึ้นมา
ไป๋ยี่เฟยหายใจเข้าลึกๆก่อนจะหมุนตัววิ่งหนีไป
ชายที่ถือมีดนั้นชะงักไป ก่อนจะวิ่งตามไปติดๆ
เมื่อเห็นว่าไป๋ยี่เฟยวิ่งไปจนถึงมุมของลานจอดรถแล้ว ชายคนนั้นรีบเร่งฝีเท้าตามไปติดๆ
ตอนที่ชายคนนั้นคิดว่าตนกำลังจะตามไป๋ยี่เฟยทันแล้ว ฟิ้ว ตัวของเขาลอยขึ้นมา
ก่อนจะ ตุบ หล่นลงกระแทกพื้น
ชายสวมหน้ากากอีกฝั่งยังไม่ทันรู้ตัว เพียงแต่ได้ยินเสียงดังขึ้นเท่านั้น
ชายหน้ากากที่ล้มลงอยู่ที่พื้นนั้นยืนขึ้นด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะพูดกับพรรคพวกตน “รีบหนีไป!”
ตนเองนั้นก็วิ่งหนีไปด้วย ตะโกนไปด้วยเช่นกัน
ชายผู้นั้นได้ยินแล้วก็รีบปล่อยผู้หญิงในมือออก ก่อนจะวิ่งหนีไป
ไป๋ยี่เฟยเห็นแบบนี้แล้วก็ถอนหายใจออกมา ไม่มีเวลาไปสนใจชายทั้งสองคนนั้นแล้ว แต่กลับเผชิญหน้ากลับไป๋หู่ชายร่างใหญ่ตรงหน้า “วิธีของนายไม่เลวเลยนะ รับลูกศิษย์ไหม?”
“ไม่รับ”
ไป๋ยี่เฟยยักไหล่แสดงถึงความไม่สนใจ
ไป๋หู่หมุนตัวกลับ ก่อนจะทิ้งท้ายไว้หนึ่งคำ “ถึงรับศิษย์นายก็เรียนไม่รู้เรื่องหรอก”
“……”
ไป๋ยี่เฟยเดินไปที่มุมของลานจอดรถก่อนจะเห็นผู้หญิงที่คุ้นตาคนนั้น “พานหุ้ยหุ้ย?”
อีกฝั่งหนึ่ง พานหุ้ยหุ้ยที่ตอนแรกหมดหวังแล้วแต่กลับเห็นชายปิดหน้าคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น……
พานหุ้ยหุ้ยซาบซึ้งใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา
นี่เหมือนฉากในละครเลย นางเอกได้รับความช่วยเหลือจากพระเอก ทั้งสองได้พบกัน รู้จักกัน และรักกัน
ตอนแรกพานหุ้ยหุ้ยมองเห็นไม่ชัดว่าเป็นใครที่เข้ามาช่วย แต่ท่าทางของคนผู้นั้นเธอสังเกตเห็นแล้ว เธอเริ่มจินตนาการต่อในหัวของตน จินตนาการว่าผู้ที่มาช่วยมีใบหน้าที่หล่อเหลาเหมือนกับเจ้าชาย ส่วนตนเองนั้นก็คือเจ้าหญิงที่ถูกคนร้ายลักพาตัวไป
แต่เมื่อเธอเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆเสร็จแล้วก็ยืนขึ้นมา แต่กลับไม่เห็นเจ้าชายในดวงใจของเธอ “นี่นาย ยังอยู่ไหม?”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินเสียงเรียกแล้ว แต่ไม่ได้เดินออกไปหา เขาเพียงแค่มาดูเฉยๆ ไม่อยากก่อความวุ่นวายมากขึ้นไปอีก
“ขอบคุณมากนะ!” พานหุ้ยหุ้ยตะโกนขึ้นมาหนึ่งคำ
ไป๋ยี่เฟยก็ยังคงไม่ตอบอะไรกลับไป เตรียมตัวจะเดินจากไป
“ไป๋ยี่เฟย!” พานหุ้ยหุ้ยตะโกนต่อมาอีกหนึ่งประโยค