บทที่ 936 ความแข็งแกร่งทางจิตใจและร่างกาย
แต่แล้วก็คิดใหม่อีกครั้ง โอเค โอเค ผ่านไปสักพัก ฉันจะดูว่าคุณยังจะมีหน้าอยู่ไหม
รถสตาร์ทขึ้นอีกครั้งและค่อยๆขับเข้าไปในโรงจอดรถชั้นใต้ดิน
เธอเพิ่งจะจอดรถครึ่งคันหน้าเข้าไปในซอง ก็ได้ยินเสียงที่ขี้เกียจของเป่หมิงโม่
“คุณสามารถจอดรถที่ตำแหน่งเดิมของผม ผมไม่อยากเสียเวลาในการเดินไปที่ลิฟต์ ถ้าคุณไม่ไปจอดที่นั่นผมจะไม่ลงรถเด็ดขาด”
“จู้จี้จุกจิกแบบนี้ทำไมแต่ก่อนถึงไม่ทำให้คุณเหนื่อยตายไปเลย” กู้ฮอนสาปแช่งด้วยความโกรธ ไม่เคยเห็นผู้ชายที่งี่เง่าเรื่องเยอะอย่างเป่หมิงเอ้อแบบนี้เลย
เธอสามารถเพิกเฉยต่อคำร้องเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเป่หมิงโม่ได้อย่างสิ้นเชิง จอดรถที่นี่ต่อ แล้วแสร้งทำเป็นไม่สนใจเขา เดินเชิดหน้าไปที่ลิฟต์
แต่ตอนนี้เธอทำอย่างนั้นไม่ได้ จะต้องเก็บเป่หมิงเอ้อคนนี้ไว้ใช้งานในเรื่องอื่น ๆ อีก
ช่างเถอะอดทนกับเขาอีกครั้งหนึ่งล่ะกัน
กู้ฮอนถอนหายใจ และถอยรถออกมาใหม่ ขับรถไปทางโรงรถเฉพาะของเป่หมิงโม่
พื้นที่จอดรถของเป่หมิงโม่ คือ 80 ตารางเมตร
ล้อมรอบไปด้วยกำแพงที่เตี้ยเพื่อความสะดวกในการแยกออกจากที่จอดรถอื่น ๆ ยังแสดงความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
กระจกหนาบนผนังเตี้ยนำไปสู่ด้านบนโดยตรง ผ่านกระจก คุณสามารถมองเห็นการตกแต่งภายในได้อย่างชัดเจน
ทางเข้าเป็นประตูม้วนไม้ไผ่ ถ้าเป็นรถของเป่หมิงโม่ ประตูจะค่อยๆเปิดออกเมื่อรถกำลังจะเข้าใกล้
“เอี๊อดดดดด……”
เมื่อกู้ฮอนขับรถและกำลังจะเข้าใกล้ประตู บานประตูนั้นก็เปิดออกแล้ว สิ่งนี้ทำให้เธอประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเธอรู้ว่าประตูนั้นตอบสนองต่อสิ่งเร้า มีเพียงแค่เป่หมิงโม่เท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้
“อึ้งอะไร ทำไมไม่ขับเข้าไป”
ผู้ชายคนนี้ เหมือนมีตาดวงที่สามเลย แม้ในขณะที่หลับตา ก็สามารถรู้ได้ว่าในขณะนี้กู้ฮวนแสดงท่าทีอะไรออกมา
สำหรับเขา กู้ฮอนรู้สึกหมดหนทางเล็กน้อยแล้วจริง ๆ
หลังจากที่รถกลับขับเข้าไปแล้ว ประตูก็ค่อยๆปิดลงอีกครั้ง
ตามมาด้วยดับเครื่องยนต์
ในขณะที่ประตูปิดลง เสียงดังบางอย่างรอบ ๆ ก็หายไปทันที
ไม่คาดคิดเลยจริง ๆ ว่าข้างในนี้จะเป็นอย่างนี้ นี่ก็ยังเป็นครั้งแรกที่เธอเข้ามาในนี้ แต่ก่อนเธอเคยเห็นแค่ด้านนอกของที่โรงรถนี้ เนื่องจากในโรงรถมักจะมีผ้าม่านแขวนอยู่เสมอ
กู้ฮอนหันไปสังเกตการจัดวางและการตกแต่งของทุกชิ้นที่นี่
ด้านหน้ารถของพวกเขาคือลิฟต์เฉพาะที่ไปสู่ห้องทำงานโดยตรง ชั้นวางขนาดใหญ่ถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยใกล้กับผนังกระจกทั้งสองด้านของรถ ด้านนอกของมันทาสีเดียวกัน จึงมองไม่เห็นว่าทำมาจากวัสดุอะไร และแต่ละชั้นก็มีประตูกระจก ซึ่งดูแล้วมีความปะณีตมาก
ผ่านประตูกระจก สามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ภายในได้อย่างชัดเจน
มีเครื่องมือ หนังสือ นอกจากนี้ยังมีเครื่องจักรแปลก ๆ ที่ไม่รู้ไว้ใช้ทำอะไร
มันไม่ได้เป็นโรงรถมากนัก แต่มันเป็นเหมือนร้านซ่อมรถยนต์มากกว่า
***
“อย่าลงจากรถ ไม่งั้นคุณจะเสียใจ ที่นี่ไม่มีเสื้อผ้าสำหรับให้คุณเปลี่ยน”
เมื่อกู้ฮอนกำลังจะเปิดประตูลงจากรถ แต่ถูกเป่หมิงโม่หยุดไว้ก่อนแล้ว
เธอรีบดึงมือกลับมา จากนั้นมองไปที่เป่หมิงโม่อย่างสงสัย ผู้ชายคนนี้พูดไร้สาระอะไรอยู่ หรือจะบอกว่าถ้าตัวเองลงจากรถแล้วจะตกลงไปในบ่อน้ำหรอ
เมื่อกู้ฮอนรู้สึกตัว ก็ได้ยินเสียงน้ำที่หยดลงมาบนหลังคารถ จากนั้นก็มีน้ำไหลมาปกคลุมนอกหน้าต่างแล้ว
มันเหมือนกับความรู้สึกที่อยู่ท่ามกลางสายฝนเลย
“โรงรถของคุณเจ๋งมากเลยนะ สมกับที่เป็นคนรวยจริง ๆ” กู้ฮอนมองดูกระจกที่กันลมถูกชำชะล้าง ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
“มีเงินแล้วยังไง?พวกนี้ไม่ใช่ของที่ขโมยหรือแย่งมา มีอะไรที่ทนดูไม่ได้” เป่หมิงโม่ไม่พอใจอย่างมากกับการประเมินตัวเองของกู้ฮอน
“ทำไม คุณโกรธหรอ?ไม่อยากฟัง?จะบอกอะไรคุณให้นะ พวกคุณล้วนเป็นนายทุนรายใหญ่ แม้ว่าจะไม่ได้ขโมยหรือปล้น แต่เป็นการบีบเลือดและหยาดเหงื่อของคนทำงาน นี่เรียกว่าการเอารัดเอาเปรียบ”
เป่หมิงโม่ยืดตัวขึ้นอีกครั้งและยิ้มอย่างเย็นชาไปทางกู้ฮอน “เอารัดเอาเปรียบ?นี่เป็นการปรักปรำผมเกินไปแล้วมั้ง ในสังคมนี้มีคนหาเงินอยู่ 2 ประเภท ประเภทที่หนึ่งหาเงินด้วยกำลังกาย และอีกประเภทหนึ่งคือหาเงินด้วยสมอง คนที่หาเงินด้วยสมองไม่จำเป็นต้องเลวเสมอไป แต่หาเงินด้วยกำลังกายก็ไม่ใช่ว่าจะดีเสมอไป ผมจ่ายเงิน พวกเขาออกแรงนี่เป็นข้อตกลงที่ยุติธรรม ถ้าพวกเขารู้สึกว่าไม่ยุติธรรม สามารถไม่ทำก็ได้ ในเมื่อทำแล้ว ก็เท่ากับว่าพวกเขายอมรับมันแล้ว เพราะฉะนั้น จากมุมมองนี้ไม่ถือว่าเป็นการ ‘เอารัดเอาเปรียบ’หรือเป็นการบีบให้ไม่มีที่ยืน”
“เป็นคำพูดที่ไร้สาระจริง ๆ เป่หมิงโม่ ฉันรู้สึกว่าตอนนี้ในสมองคุณมีแต่ตรรกะของนายทุนเต็มไปหมด ยังมีอะไรใช้สมองไม่จำเป็นต้องเลว ใช้กำลังไม่จำเป็นต้องดีอีก อีกอย่างการเอารัดเอาเปรียบก็คือการเอารัดเอาเปรียบ ไม่ต้องหาข้ออ้างและเหตุผลให้ตัวเอง” กู้ฮอนยิ่งพูดยิ่งโกรธ มือทั้งสองข้างกอดไว้ตรงหน้าอก ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นตึงแน่น และไม่ได้มองไปทางเป่หมิงโม่เลย
เมื่อมองไปที่รูปร่างเล็ก ๆ ของเธอ เป่หมิงโม่ก็รู้สึกมีบางอย่างที่น่าสนใจ สิ่งที่เรียกว่า “ได้แกล้งคนแล้วมีความสุข” ตอนนี้มันเป็นแบบนี้เลย
“กู้ฮอน เนื่องจากคุณไม่เห็นด้วยกับมุมมองของผม งั้นผมจะบอกอะไรให้คุณฟัง ก่อนอื่นคือคุณทำผิดพลาดไปอย่างหนึ่ง นั่นคือคุณละเลยไปว่า คุณก็เป็นคนที่ทำงานด้วยสมอง หรือคุณจะปฏิเสธว่าคุณไม่ใช่?”
“ฉัน……” กู้ฮอนที่ถูกคำพูดโจมตี พูดไม่ออกไปชั่วขณะ โดนไอ้เหี้ยนี่ทำให้โมโหจริง ๆ เลย และฉันก็เข้าข่ายในสิ่งที่เข้าพูดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ได้ ถือว่าเมื่อกี้ฉันพูดอะไรที่ผิดไป มากสุดฉันก็ผิดแค่ครึ่งหนึ่ง คนที่ทำงานใช้แรงงานก็ไม่ใช่คนเลวเสมอไปป่ะ” กู้ฮอนยังคงเรียกศักดิ์ศรีตัวเองกลับคืนมา
เป่หมิงโม่เหลือบมองเธอ แล้วก็หัวเราะเยาะ “อย่าคิดว่าผมไม่ค่อยดูทีวี ข่าวที่รายงานเรื่องความปลอดภัยของอาหาร คุณคิดว่ามีกี่อย่างที่ไม่ได้ทำโดยคนงาน?พวกเขาทำเพื่อเพิ่มการผลิตและรายได้ เพิกเฉยต่อความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไปเท่าไหร่แล้ว การเติมสารปรุงแต่งต่าง ๆ อย่างผิดกฎหมาย ทำให้ผู้บริสุทธิ์จำนวนมากได้รับผลกระทบ และพวกโจรที่เจอในช่วงเช้าวันนี้ ก็ถือว่าพวกเขาออกแรงเพื่อแลกข้าว คุณคิดว่าพวกเขาเป็นคนดีหรือไม่?”
สองต่อศูนย์!ในครั้งนี้เป่หมิงโม่ชนะกู้ฮอน
***
เป่หมิงโม่มองไปที่ท่าทางที่โกรธเล็กน้อยของกู้ฮอน แสดงสีหน้าทำอะไรไม่ถูกและส่ายหัว เขายังต้องการไล่ตามชัยชนะอีกครั้ง “เนื่องจากข้อสรุปสองข้อแรกใช้ไม่ได้อีกต่อไป งั้นการ ‘เอารัดเอาเปรียบ’นี้ ก็ไม่มีน้ำหนักแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมปัจจุบัน สิ่งที่เรียกว่า การ ‘เอารัดเอาเปรียบ’ มีอยู่ทั่วไป แต่ทำไมหลายคนถึงไม่เรียกร้องเพื่อมัน?นั่นเป็นเพราะพฤติกรรมดังกล่าวได้รับการยอมรับจากสาธารณชนแล้วไง ที่ผ่านมานั้น เป็นเพียงเพราะมีบางคนอิจฉาชีวิตของคนที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุดบนยอดตึก ดังนั้นจึงทำตัวเป็น ‘มีเหตุมีผลออกกอง’ใช้คำพูด ‘ต่อต้านการเอารัดเอาเปรียบ ต่อต้านการกดขี่’แต่หลังจากที่ตัวเองมีชื่อเสียง……คุณดูสิ พวกเขากลับกลายเป็นคนที่พวกเขาเคยต้องการต่อต้าน”
“เป่หมิงโม่ ฉันคิดว่าคุณคงอึดอัดมากที่ต้องอยู่เฉย ๆ ในตอนนี้” แน่นอนว่าสิ่งที่กู้ฮอนพูดเป็นเพียงการประชด แม้ว่าเธอจะเห็นด้วยกับคำพูดนี้ก็ตาม
เป่หมิงโม่ก็รู้ว่าเธอกำลังประชดตัวเอง ปีศาจน้อยในใจของเขากำลังเริ่มตามหลอกหลอนอีกครั้ง
ใบหน้าของเขาจมลงเล็กน้อย และบทสนทนาก็เปลี่ยนไปทันที “เมื่อกี้คุณเรียกผมว่า ‘ลุง’มันทำให้ผมไม่พอใจมาก ผมอยากให้คุณอธิบายให้ผมฟัง”
ผู้ชายที่คิดเล็กคิดน้อยคนนี้ ยังจำเรื่องนี้ได้อยู่อีกหรอ ฉันคิดว่าเขาคงลืมไปแล้วเสียอีก
หลังจากที่กู้ฮอนถูก‘สายตาพิฆาต’ของเป่หมิงโม่ เธอจะไม่หยุดเพียงแค่นั้น เธอจะกลับไปเล่นเกมหากเธอคว้าโอกาสได้
“เรียกคุณว่า ‘ลุง’แล้วเป็นอะไร”
ใบหน้าของเป่ยหมิงโม่เย็นชาอีกครั้ง เมื่อกี้เป็นเพียงเพราะรถอยู่บนท้องถนน และที่นี่…บนพื้นที่หนึ่งในสามของเขา ไม่น่าจะมีอะไรที่ต้องเกรงใจแล้ว
เขาเหมือนเสือชีตาห์ที่จ้องมองกวางตัวหนึ่ง และเริ่มเข้าใกล้เธอทีละเล็ก ทีละน้อย
ความภาคภูมิใจนั้นของกู้ฮอน เริ่มมีความกลัวเล็กน้อย เมื่อเขาเข้าใกล้เธอมากขึ้น
พื้นที่ในรถก็ไม่ได้ใหญ่มาก ถึงแม้จะหลบก็ไม่มีที่ให้หลบได้เลย
ลมหายใจของเธอเร็วขึ้นทีละนิด ทีละนิด หัวใจสูบฉีดเลือดไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว
ระบบจัดการภายนอกรถยังคงทำงานได้อย่างราบรื่น เต็มไปด้วยความชุ่มชื้น
กู้ฮอนอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองออกไปนอกรถอย่างรวดเร็ว เธอรู้สึกว่าตัวเองควรออกไปจากที่นี่ก่อน แม้ว่าจะเปียกโชกเป็นซุปไก่ก็ไม่มีความลังเล ตราบเท่าที่สามารถหลบหนีจากกรงเล็บของปีศาจอย่างเป่หมิงเอ้อได้
แต่ดูเหมือนว่าเป่หมิงโม่จะเร็วกว่าเธอก้าวหนึ่ง เขารีบหยิบกุญแจรถในช่องเก็บของข้างเกียร์มาไว้ในมือ จากนั้นก็กดปุ่มล็อครถแล้ว
“พรึบ……” หลังจากเสียงนี้ดังขึ้น ดูเหมือนว่ากู้ฮอนรู้ว่าตัวเองไม่มีที่ให้หลบหนีแล้ว
“เป่หมิง เป่หมิงโม่คุณคิดจะทำอะไร ขอบอกคุณให้นะ นี่คือโรงจอดรถชั้นใต้ดิน มีคนผ่านไปมาไม่น้อย และฉันก็จะร้องเรียกคนมาด้วย” กู้ฮอนแสดงสีหน้าประหม่าและจ้องไปที่ชายผู้เย็นชาด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
ร่างของเธอแนบกับประตูด้านข้างอย่างแน่น แต่ไม่มีอะไรในมือที่สามารถใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวได้เลย
ในที่สุด ระยะห่างระหว่างเป่หมิงโม่กับเธอก็ไม่ถึงสิบเซนติเมตรแล้ว ใบหน้าของเธอรู้สึกได้ถึงความร้อนที่พุ่งเข้ามาอย่างชัดเจน
เป่หมิงโม่มองเธอด้วยสีหน้าพอใจ ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความเย้ยหยัน จากนั้นก็พูดอย่างช้า ๆ ว่า “อยู่ที่นี่ ไม่มีใครกล้ามอง”
***
คำพูดของเป่หมิงโม่ทำให้กู้ฮอนถึงกับตกตะลึงเลย
ไม่มีใครกล้ามอง……
ความหมายที่ซ่อนอยู่ของประโยคนี้คือ เขาสามารถทำอะไรกับตัวเองก็ได้!
อารมณ์ของเธอในตอนนี้ก็ยิ่งลุกลี้ลุกลนขึ้นแล้ว
“เป่หมิง เป่หมิงโม่ ฉันบอกคุณว่า วันนี้ฉันยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก คุณ……” ยังไม่รอให้เธอพูดประโยคหลังจบ ผู้ชายคนนี้ก็ปิดปากของเธอให้แล้ว
จากนั้นก็รู้สึกถึงพลังอันทรงพลังที่โจมตีตัวเอง……
กู้ฮอนเริ่มต่อต้าน
เหมือนว่าจะใช้แรงทั้งหมดที่มี ต้องการที่จะเอาร่างที่ดูใหญ่นี้ออกจากร่างกายของตัวเอง
แต่มันมีผลเพียงแค่มดเขย่าต้นไม้เท่านั้น
เธอหายใจตามไม่ทันแล้ว ริมฝีปากทั้งสองของเธอถูกครอบครองไว้แล้ว และที่เดียวที่เหลือให้หายใจได้ ดูเหมือนว่าจะอ่อนแอลงเล็กน้อยภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
หัวใจพยายามอย่างเต็มที่ในการลำเลียงเลือดไปยังที่ที่จำเป็นที่สุดในขณะนี้อย่างรวดเร็วนั่นคือ…สมอง
ในเวลานี้ สิ่งที่ต้องการมากกว่านั้นคือจิตใจที่ชัดเจนและเจตจำนงที่แน่วแน่ที่จะต่อสู้กับ ‘ศัตรู’ จนถึงที่สุด