บทที่ 1424 – เขตแดนของขั้นที่ 5 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจ รวมตัวกันที่ทางเข้าของซากโบราณสถาน
หมูป่านักล่าสมบัติเพิ่มพลังขึ้นอย่างมหาศาลหลังจากที่มันได้วิวัฒนาการขึ้นด้วยการกินไข่มุกปิศาจนิรันดร์ของมังกรสีครามเข้าไป ไม่ใช่สัตว์อสูรทุกตัวที่จะสามารถกินไข่มุกปิศาจนิรันดร์เข้าไปได้ ปกติแล้วมีเพียงสัตว์อสูรที่ทรงพลังมากกว่าเท่านั้นที่จะสามารถกินไข่มุกปิศาจนิรันดร์ของสัตว์อสูรที่อ่อนแอกว่าเข้าไปเพื่อเพิ่มพลังของมัน หากสัตว์อสูรที่อ่อนแอกว่าได้กินไข่มุกปิศาจนิรันดร์ของสัตว์อสูรที่ทรงพลังมากกว่าเข้าไป ร่างกายของมันนั้นอาจจะระเบิดออกมาเลยก็ได้
หลังจากกลืนกินเข้าไปก็จะดูดซับพลังของไข่มุกได้เพียงส่วนน้อยเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นการกินไข่มุกปิศาจนิรันดร์เข้าไปยังมีโอกาสที่จะได้รับความสามารถของสัตว์อสูรที่เป็นเจ้าของไข่มุกปิศาจนิรันดร์ แต่โอกาสนั้นมีเพียง 1 ใน 10,000 เท่านั้น
หมูป่านักล่าสมบัตินั้นเป็นสัตว์อสูรวิวัฒนาการแห่งสวรรค์และโลกและยังเป็นสัตว์อสูรสมบัติ ยากยิ่งนักที่จะพบเจอมันได้ มิฉะนั้นย่อมมีสัตว์อสูรมากมายที่พยายามช่วงชิงพลังของหมูป่านักล่าสมบัติ ซึ่งการที่มันได้กินไข่มุกปิศาจนิรันดร์เข้าไปนั้นทำให้พลังของมันเพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัว
เมื่อมองไปยังเจ้าหมูน้อยของเขาที่ได้วิวัฒนาการมาเป็นอสูรสยบมังกร ชิงสุ่ยก็รู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง จากนี้ไปหากเขาต้องปะทะกับพวกมังกรเขาจะสามารถสังหารพวกมันได้ง่ายดายยิ่งขึ้น อสูรสยบมังกรนั้นเป็นสัตว์อสูรที่หาได้ยากยิ่งนัก มันสามารถลดพลังของพวกมังกรลงไปได้ 20% นอกจากนี้ปราณจักรพรรดิของชิงสุ่ยยังสามารถลดพลังของศัตรูลงไปได้อีก 20% นี่ทำให้ศัตรูเหลือพลังอยู่เพียง 60% เท่านั้น
อสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณขั้นที่ 8 !
ชิงสุ่ยคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาหลังจากปล่อยให้อสูรสยบมังกรได้ทำหน้าที่ของมันที่ดินแดนหยกยุพราชอมตะ เพราะร่างกายของมันมีขนาดใหญ่ขึ้นในตอนนี้ อสูรสยบมังกรจึงทำหน้าที่ของมันได้รวดเร็วยิ่งกว่าเดิม ชิงสุ่ยรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าสมุนไพรที่มันดูแลในตอนนี้นั้นมีคุณภาพดีขึ้นกว่าเดิม
อสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณขั้นที่ 8 นั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง แม้แต่ราชินีผึ้งหยกจักรพรรดิก็เป็นเพียงอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณขั้นที่ 4 ยากยิ่งนักที่มันจะยกระดับต่อไปได้ เรื่องของยาเสริมอสูรแห่งจิตวิญญาณนั้น เขามีอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณ 2 ตัวภายในดินแดนหยกยุพราชอมตะซึ่งก็ถือว่ามากพอแล้วสำหรับในตอนนี้
แต่ชิงสุ่ยก็ยังอยากได้มากกว่านี้ เขาต้องการอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณอีกหลายตัว เพื่อให้พวกมันยกระดับสมุนไพรและพวกปลาในสระน้ำของเขาให้มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น
เขายังคงต้องการสมุนไพรอีกมากเพื่อปรุงยาเสริมอสูรแห่งจิตวิญญาณ ตอนนี้เขามีอสูรโอสถแห่งจิตวิญญาณขั้นที่ 8 มันสามารถช่วยลดเวลาของเขาไปได้อีกมากมาย
ในวันต่อมาฮัว รูเหม่ยมาหาหมูป่านักล่าสมบัติแต่เมื่อชิงสุ่ยมอบอสูรสยบมังกรไปให้ ฮัว รูเหม่ยก็กล่าวด้วยความไม่พอใจทันที “ถ้ารู้แบบนี้ ข้าน่าจะเล่นกับมันตั้งแต่เมื่อวาน……”
……
เวลาได้ผ่านพ้นไปและมหาทวีปมังกรอหังกาลก็อยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นชิงสุ่ยและหญิงสาวทั้ง 2 คนยังได้ผ่านผู้คนของตำหนักยุทธ์และตำหนักอสูรเร้นลับด้วยเช่นกัน ผู้คนมากมายต่างรู้ตำแหน่งของซากโบราณสถานแต่พวกเขาก็ไม่ได้รวมตัวกันที่ทางเข้าของซากโบราณสถาน นอกจากนี้พวกเขายังต้องระมัดระวังตัวอย่างยิ่งเมื่อได้เข้ามายังมหาทวีปมังกรอหังกาล
ชิงสุ่ยเริ่มรู้สึกว่ามหาทวีปมังกรอหังกาลนั้นเหมือนกับมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ นี่มาจากการมองเพียงภายนอกของเขาเท่านั้น ความจริงแล้วเหล่ายอดฝีมือที่อยู่ภายในมหาทวีปมังกรอหังกาลนั้นล้วนทรงพลังยิ่งกว่ายอดฝีมือของมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรำ
ในตอนนี้ชิงสุ่ยรู้ว่าพลังที่แท้จริงของขั้นที่ 5 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจจากการได้พูดคุยกับประมุขอสูรและฮัว รูเหม่ย จุดสูงสุดของขั้นที่ 5 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจนั้นมีพลังอยู่ที่ 16 ล้านสุริยา จุดสูงสุดของขั้นที่ 6 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจนั้นมีพลังอยู่ที่ 32 ล้านสุริยา จุดสูงสุดของขั้นที่ 7 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจนั้นมีพลังอยู่ที่ 64 ล้านสุริยา จุดสูงสุดของขั้นที่ 8 และจุดสูงสุดของขั้นที่ 9 ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจนั้นมีพลังอยู่ที่ 128 ล้านสุริยาและ 256 ล้านสุริยาตามลำดับ
เมื่อได้รับรู้ถึงระดับพลังพวกนี้ชิงสุ่ยก็รู้สึกราวกับว่าเขาเป็นเพียงเศษฝุ่นที่อยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้เท่านั้น จุดสูงสุดของมนุษย์นั้นอยู่ที่ใดกัน? ระดับพลังปราณบัญชาสวรรค์พินาจยังเป็นเหมือนกับพระเจ้าในโลก 9 มหาทวีป เช่นนั้นแล้วระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ล่ะ?
มหาทวีปมังกรอหังกาล!
นี่เป็นครั้งแรกที่ชิงสุ่ยได้เข้ามาที่มหาทวีปมังกรอหังกาล ประมุขอสูรและฮัว รูเหม่ยนั้นต่างก็สวมหมวกไม่ไผ่เอาไว้แต่แม้ว่าพวกนางจะแต่งตัวอย่างมิดชิดก็ไม่อาจปกปิดความงามที่เย้ายวนของตนเองเอาไว้ได้ ผู้คนมากมายต่างก็มองตรงมาที่พวกนาง
ราวกับว่านางเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์มากที่สุดในโลกอันโสมมใบนี้ เพียงแค่นางก้าวเท้าหัวใจของชายทั้งโลกก็เหมือนถูกละลายลงไป ไม่มีผู้ใดกล้าคิดว่าหญิงสาวผู้นี้จะเป้นคนเดียวกับประมุขอสูรในตำนานที่สังหารผู้คนไปมากมาย
สภาพอากาศที่นี่อบอุ่นเหมือนกับกลางฤดูใบไม้ร่วง มีลมแผ่วเบาพัดมาเรื่อยๆ แม้ว่าเขาจะมีอายุหลายสิบปีแล้วก็ตามแต่ชิงสุ่ยก็ยังคงชื่นชอบบรรยากาศเช่นนี้ เขาก้าวเดินไปรอบเมืองแห่งนี้ด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง
เขารู้สึกมีความสุขในตอนนี้ เขารู้สึกมีความสุขกับความมีชิตชีวารอบข้าง มันเหมือนกับคนที่เฝ้าดูท้องถนนอันวุ่นวายจากตึกสูง เมื่อเขาได้เดินไปท่ามกลางฝูงชนก็เหมือนได้หลอมรวมไปกับผู้คนรอบข้างด้วย ขณะที่เขาเฝ้ามองคนอื่นๆก็มีคนที่เฝ้ามองเขาจากเบื้องบนเช่นกัน
สภาพจิตใจ!
นี่เป็นสภาพจิตใจประเภทหนึ่ง กระบวนการคิดของมนุษย์และสภาพจิตใจนั้นจะเป็นตัวตัดสินว่าคนๆนั้นจะทำอะไร ผู้ที่เป็นเหมือนกบที่อยู่ในบ่อน้ำย่อมมีประสบการณ์และสภาพจิตใจที่จำกัดเพราะสามารถเห็นโลกได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากพวกเขาไม่อาจผ่านพ้นมันไปได้ก็จะไม่อาจยกระดับต่อไปได้ เพื่อที่จะยกระดับสภาพจิตใจพวกเขาจะต้องกระโดดออกจากบ่อน้ำที่ตนเองอยู่ แต่มันยากลำบากยิ่งนัก
มนุษย์ก็เช่นกันการที่จะยกระดับสภาพจิตใจนั้นก้ต้องพึ่งพาโชคด้วยเช่นกัน ก็เหมือนกบที่ต้องพึ่งพาโชคชะตาของมันในการกระโดดออกจากบ่อน้ำ
“เจ้าคิดอะไรอยู่กัน? สีหน้าของเจ้าดูแปลกประหลาดอย่างยิ่ง” น้ำเสียงของฮัว รูเหม่ยนั้นดูเป็นห่วง
“ข้ากำลังคิดว่าเมื่อไหร่กันที่ข้าจะสามารถใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเช่นนี้ได้” ชิงสุ่ยส่ายศีรษะของเขา
“ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าจึงคิด เจ้ายังอายุน้อย แต่ความคิดของเจ้านั้นดูเป็นผู้ใหญ่” ฮัว รูเหม่ยรู้สึกตกตะลึงแต่นางก็ยิ้มออกมา
“ข้าออกจากบ้านเมื่อตอนข้าอายุ 16 เวลาส่วนใหญ่นั้นข้าต้องห่างจากครอบครัว แม้ชีวิตของข้าจะต้องดิ้นรนมามากมายแต่ข้าก็ยังมีหลายเรื่องที่ต้องทำ มันไม่ได้ลดน้อยลงไปเลยข้าทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองเท่านั้น……” ชิงสุ่ยกล่าวเบาๆและเสียงของเขามีร่องรอยของความเหนื่อยล้า
ฮัว รูเหม่ยยังคงเงียบและมองไปที่แผ่นหลังของชายผู้นี้ มันเป็นแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยความเหงาและความโดดเดี่ยวแต่ก็ไม่ได้มีความย่อท้อแต่อย่างใด นางกล่าวเบาๆ “เจ้าช่วยชีวิตของพี่สาวเอาไว้ หากเจ้ามีปัญหาอะไรในอนาคตข้าจะช่วยเหลือเจ้าเอง เว้นแต่เจ้าจะไม่ต้องการข้าอีกต่อไปหรือเจ้าเกลียดข้า”
“พี่สาว เหตุใดท่านท่านจึงคิดว่าข้าจะไม่รักษาความสัมพันธ์กับทานเอาไว้? ท่านคิดว่าข้าเป็นสหายที่ดีหรือไม่? ไม่ต้องพูดถึงว่าเราเป็นพี่น้องกันหรือไม่ในตอนนี้” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าจะไม่พูดเช่นนี้อีกในอนาคต”
ประมุขอสูรยืนอยู่ข้างๆ เขาไม่เห็นสีหน้าของนางแต่เห็นเพียงว่านางกำลังมองออกไประยะไกล
หลังจากที่เดินทางมาช่วงเวลาหนึ่งพวกเขาก็ได้มาถึงมหาทวีปมังกรอหังกาล เขาเริ่มตรวจสอบที่แห่งนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ชิงสุ่ยได้มาที่นี่ดังนั้นเขาจึงเดินไปรอบๆ หญิงสาวทั้ง 2 คนไม่ได้คัดค้านอยู่อย่างใดเพราะพวกเขายังมีเวลาอยุ่ ทักษะย่างก้าว 9เทวาช่วยให้พวกนางประหยัดเวลาไปได้เยอะ
“ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนเฝ้ามองพวกเราอยู่” การรับรู้ทางจิตวิญญาณของชิงสุ่ยตรวจสอบเรื่องนี้ได้ เขาจึงกล่าวออกมาเบาๆ
“มีใครบางคนจับตามองพวกเราอยู่ตั้งแต่พวกเราได้มาถึงมหาทวีปมังกรอหังกาล มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะพวกเราถือว่าเป็นคนนอก การที่พวกเขาจะมาจับตามองคงไม่แปลก” ประมุขอสูรกล่าวออกมาเบาๆ
การรับรู้ทางจิตวิญญาณของชิงสุ่ยนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง แต่ดูเหมือนว่าการรับรู้ทางจิตวิญญาณของประมุขอสูรนั้นทรงพลังยิ่งกว่า
“ท่านจะจัดการกับเรื่องนี้เช่นไร?” ชิงสุ่ยถามเบาๆ
“นี่น่าจะเป็นนิกายจันทราอสูร พวกเขาเชี่ยวชาญด้านการซ่อนตัวและการใช้ยาพิษ”
“พวกเขาจะโจมตีเราหรือไม่?”
“ไม่แน่ใจ แต่โอกาสที่จะได้สู้กันนั้นคงไม่มากนัก มิฉะนั้นตำแหน่งของพวกเราอาจเปิดเผยออกไปได้” ประมุขอสูรกล่าวออกมาเบาๆ
“ไม่ต้องกลัว เราจะรอคอยพวกเขาอยู่ที่นี่ จากนั้นเราก็จะเดินทางตรงไปที่นั่นทันที แม้ว่าพวกเขาต้องการจะตามเราไปก็คงไม่รู้ว่าพวกเรานั้นจะไปที่ใด” ทักษะย่างก้าว 9เทวาของชิงสุ่ยนั้นใช้ตัวเขาเป็นจุดศูนย์กลาง เขาสามารถพาผู้คนมากมายที่อยู่รอบตัวเขาไปด้วยได้
“เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน”
……
หลายวันหลังจากนั้นผู้คนของตำหนักยุทธ์และตำหนักอสูรเร้นลับก็ได้มาถึง ในวันนี้ชิงสุ่ยใช้ทักษะย่างก้าว 9เทวาเพื่อทำให้กลุ่มของเขาหายไปในอากาศทันที นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงจากการถูกติดตาม แน่นอนว่าหากพวกเขาต้องการค้นหาว่าพระราชวังจอมอสูรนั้นอยู่ที่ใดจริงๆ พวกเขาก้อาจจะค้นหาต่อไปเรื่อยๆจนสามารถค้นพบได้
แต่เขาคิดว่าคนพวกนี้คงไม่ทราบถึงความน่ากลัวของทักษะย่างก้าว 9เทวาของเขา เขาสามารถใช้มันเดินทางได้อย่างต่อเนื่อง ระยะทางในการใช้แต่ละครั้งนั้นกว้างไกลจนไม่อาจจินตนาการได้ ผู้คนที่ต้องการติดตามพวกเขากลับพบได้เพียงอากาศเท่านั้น
ซากโบราณสถานนั้นอยู่ไม่ไกลจากจุดตัดกันของทั้ง 3 มหาทวีป พวกเขาสามารถไปถึงที่นั่นได้ภายใน 3 วัน ที่แห่งนี้นั้นคล้ายคลึงกันกับแดนลี้ลับแห่งจักรวาลและอาณาเขตของมันเหมือนเป็นกลุ่มหมอก มีเพียงผู้ที่เหนือกว่าระดับพลังปราณจักรพรรดิเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นมันยังไม่ได้จำกัดจำนวน มันสามารถเข้าไปได้ตลอดเวลาในทุกๆวัน แต่ภายในนั้นอันตรายอย่างยิ่ง หากโชคร้ายก็อาจจะโดนสัตว์อสูรที่อยู่ภายในนั้นกลืนกินเข้าไปได้
ทางเข้าของซากโบราณสถานนั้นอยู่ใจกลางเทือกเขาขนาดใหญ่—เทือกเขามังกรกู่ร้อง
เหตุผลที่ทำไมพระราชวังจอมอสูรและพระราชวังมังกรต้องต่อสู้กันภายในซากโบราณสถานนั้นก็เพราะมีคนกล่าวว่าพวกเขาได้พบวิหารศักดิ์สิทธิ์โบราณภายในซากโบราณสถานนี้ ดังนั้นผู้คนมากมายจึงมาอยู่ที่นี่ ทั้ง ‘ผู้ที่ชอบธรรม’ และ ‘ผู้ที่ชั่วร้ายl’ ต่างก็มาอยู่ที่นี่
ไม่สำคัญว่าจะเป็นใครพวกเขาก็ต่างต่อสู้เพื่อสิ่งนี้กันทั้งนั้น ครั้งนี้จะต้องเป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
เทือกเขามังกรกู่ร้องนั้นเหมือนกับมังกรยักษ์ที่กำลังขดตัวอยู่ ประตูของซากโบราณสถานนั้นตั้งอยุ่ที่ใจกลางของเทือกเขามังกรกู่ร้อง บริเวณเกล็ดที่ย้อนกลับของมังกร
ด้วยผลึกแสงที่ส่องประกายแวววาวภายในที่แห่งนี้มีขนาดใหญ่อย่างยิ่ง มันสูงและกว้าง ทอดยาวไปไม่น้อยกว่าหมื่นเมตร
ในตอนนี้ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ในความจริงแล้วผู้คนต่างก็มารวมตัวกันที่นี่ในทุกๆวัน มีทั้งผู้ที่สามารถเข้าไปได้และผู้ที่ไม่อาจเข้าไปได้ การที่จะฝ่าเข้าไปภายในนั้นต้องใช้พลังกายมากมาย ผู้ที่ไม่อาจเข้าไปได้จึงปักหลักรออยู่ที่เทือกเขามังกรกู่ร้องเพื่อเตรียมล่าสมบัติจกาคนที่ออกมา
ส่วนใหญ่ผู้ที่เข้าไปนั้นจะเข้าไปกันเป็นกลุ่ม
ทันใดนั้นชิงสุ่ยเห็นกลุ่มพลังที่คุ้นเคย พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่มาจาก นิกายเสียงสวรรค์กัมปนาท นิกายสาปอสูร และหุบเขากระชากวิญญาณ นอกเหนือจากนี้ยังมีขุมพลังอื่นๆแต่พวกเขาทั้งหมดก็อ้างตัวว่ามาที่นี่เพื่อความถูกต้อง
เครื่องแต่งกายของนิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทนั้นง่ายที่จะจดจำอย่างยิ่งขณะที่เครื่องแต่งกายของนิกายสาปอสูรนั้นเป็นชุดที่ทำขึ้นจากหนังสัตว์อสูร ยิ่งไปกว่านั้นหุบเขากระชากวิญญาณก็มาที่นี่ด้วยเช่นกัน เขาถามกลับฮัว รูเหม่ยเพื่อยืนยันให้แน่ชัด
“พวกเราควรเดินออกไป ไม่ว่ายังไงพวกเราก็ถือเป็นฝ่ายเดียวกับคนพวกนี้” ประมุขอสูรกล่าวขณะที่นางมองตรงไปที่คนพวกนี้
นิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทนั้นมีผู้คนจำนวนมาก นิกายสาปอสูรรวมไปถึงหุบเขากระชากวิญญาณก็มีคนจำนวนมากที่เดินออกมา แน่นอนว่าพระราชวังจอมอสูรนั้นทรงพลังที่สุดในหมู่พวกเขา
นิกายเสียงสวรรค์กัมปนาทมีเพียงหญิงสาวเท่านั้น มีหญิงชราสองคนที่ดูชาญฉลาดเดินออกมา พวกนางเหี่ยวย่นราวกับผลไม้ที่สุกจัด ชิงสุ่ยยังได้เห็นเฉินหลิงเมื่อเฉินหลิงเดินออกมาอย่างยินดี
“พวกเราได้พบกันอีกครั้งแล้ว”
“ใช่ บังเอิญอะไรเช่นนี้” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แล้วพระราชวังจอมอสูรล่ะ?” เฉินหลิงไม่ได้สนใจคน นางตรงเข้ามาหาชิงสุ่ยราวกับว่าพวกเขานั้นสนิทสนมกันอย่างยิ่ง บางทีอาจเป็นเพราะชิงสุ่ยนั้นเป็นผู้มีพระคุณของนาง แต่นางก็เชื่อในตัวเขาและรู้สึกสนิทสนมกับเขาอยู่แล้ว
“ก็ดี เหตุใดพวกเจ้ายังไม่เข้าไป?” ชิงสุ่ยถามขึ้น เพราะเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
“พวกเรากำลังรอท่านอยู่ ท่านเห็นผู้คนที่อยู่โดยรอบนี้หรือไม่? พวกเขาทั้งหมดต่างก็เป็นศัตรู หากไม่ใช่เพราะว่าพวกเราไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่นๆ พวกเขาก็คงกำจัดเราไปแล้ว ผู้คนมากมายต่างก็เข้าไปแล้วแต่พวกเรายังรอคอยให้พระราชวังจอมอสูรเข้าไปก่อน มิฉะนั้นพวกเราทั้งหมดคงจะถูกกำจัดไปในครั้งเดียว” เฉินหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านต้องเป็นชิงสุ่ยอย่างแน่นอน ขอบคุณที่ช่วยเหลือหลิงเอ๋อ”
หลังจากได้ยินเสียงทักทายก็มีหญิงสาวเดินออกมาจากด้านหลังของเฉินหลิงและยิ้มขึ้น