บทที่ 1569 – พบเจอ
“เขาเป็นคนเช่นแหละ เจ้าอย่างได้โกรธเคืองเขาเลย” เธอยิ้ม
ดูเหมือนการที่ชิงสุ่ยกลับมาพร้อมเธอในครั้งนี้จะทำให้มีผู้คนไม่น้อยที่ไม่ชอบเขา “ไม่สำคัญว่าคนอื่นจะพูดอะไรกับข้าหรือพวกเขาจะมองข้าอย่างไร ข้าไม่สนใจ”
“เจี้ยนเก้อ?” จิตใจของชิงสุ่ยวุ่นวายขึ้นมาในทันทีเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังของเธอ
“นางยังทำการบ่มเพาะอยู่ ในเสถานที่ตรงนั้น เจ้าเข้าไปหานางสิ นางคงจะประหลาดใจไม่น้อยอย่างแน่นอน” มู่หยุนชิงเฉิงยิ้มขณะที่เธอชี้ไปทางอาคารทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
สถานที่แห่งนี้เป็นคฤหาสน์บนภูเขาที่ตั้งอยู่เป็นอิสระและห่างไกล แต่ถึงอย่างไรบริเวณแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายของฟ้าดิน ในตอนนี้ชิงสุ่ยค่อยๆลอยขึ้นและเหาะไปยังภูเขาลูกนั้น
มู่หยุน ชิงเฉิงยืนอยู่ตรงนั้นและมองดูเขาจากไปก่อนที่จะส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะเดินจากไป
“เจ้าเป็นใคร? หยุดที่นั่นเดี๋ยวนี้!”
ทางเข้าของคฤหาสน์ได้รับการดูแลโดยผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งสองคนที่ พวกเธอมีรูปร่างสูงใหญ่ นอกจากนี้ยังมีดวงตาสีฟ้าสว่าง
ในเวลานี้ชิงสุ่ยได้นำเอาสัญลักษณ์มู่หยุน ชิงเฉิงมอบให้เขาออกมาและยื่นให้พวกเธอ ก่อนที่พวกเธอจะปล่อยให้ชิงสุ่ยเข้าไป
ชิงสุ่ยสงสัยเกี่ยวกับทั้งสองอย่างมากพวกเธอเป็นผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่ง และมีอายุที่ยืนยาวอย่างมาก ชิงสุ่ยสงสัยว่าอายุไขของเผ่าเงือกจะแตกต่างกับมนุษย์มากมั้ยในตอนนี้
ถึงอย่างไรก็ตามความงามของทั้งสองก็ยังดูธรรมดาอย่างมากในสายตาของชิงสุ่ย ตามความคิดของชิงสุ่ย เดิมทีเขาคิดเอาไว้ว่าเผ่าเงือกจะมีความงามเป็นเลิศทั้งหมด แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะคิดผิด มีเพียงเผ่าเงือกชั้นสูงเท่านั้นที่จะได้รับความงามที่ตกทอดมา
ในตอนนี้ชิงสุ่ยค่อยๆเข้าไปในคฤหาสน์ คฤหาสน์แห่งนี้ไม่เล็กมากนัก และมันเต็มไปด้วยศาลาและโต๊ะหินอ่อนมากมาย พวกมันสวยงามอย่างมากราวกับว่าทำมาจากหยกเสียมากกว่า
ศิลาเมฆา!
ชิงสุ่ยเดินผ่านลานเข้า และตรงเข้าไปที่ศิลาเมฆาขนาดใหญ่ มันนั้นงดงามราวกับอำพันที่งดงาม นอกจากนี้มันยังถูกสลักออกมาเป็นรูปมังกรที่สง่างามอีกด้วย
ในขณะนี้สายตาของชิงสุ่ยก็จ้องมองไปที่ผู้หญิงที่อยู่บนยอดของมังกรศิลา บนนั้นมีหญิงสาวที่งดงาม ที่สวมเสื้อผ้าสีขาวหิมะ นอกจากนี้เธอยังมีผมสีดำเข้ม ภาพของเธอในตอนนี้ดูคล้ายกับเทพธิดาอย่างมาก
เจี้ยนเก้อ!
ความรู้สุกมากมายได้ถาโถมใส่ใจของเขา เธอเป็นทั้งอาจารย์ สหาย คนรักของเขา ความรู้สึกมากมายที่ไม่สามารถอธิบายได้ได้ปรากฏในใจของเขา
นับสิบปีที่เขาไม่ได้เจอกับเธอ นี่เป็นเรื่องที่เขาเสียใจสุดที่เขาไม่สามารถตามหาเธอได้ ในตอนนี้เจี้ยน้ก้อค่อยๆลืมตาขึ้น และมองไปที่ชิงสุ่ยโดยไม่เชื่อสายตา
เธอคือลอยลงมาและกล่าวว่า “เจ้าคือใคร?” เจี้ยนเก้อร้องไห้ออกมา
“อาจารย์จำข้าไม่ได้รึ?” ชิงสุ่ยยิ้มให้
“อ๊า เป็นเจ้าจริงๆด้วยข้าไม่ได้กำลังฝันไปใช่หรือไม่? … “เธอร้องออกมาและจับไปที่ใบหน้าของเธอ
“ในที่สุดข้าก็หาท่านเจอ” ชิงสุ่ยยิ้มออกมาและกอดเธอ ราวกับว่าเขากลัวว่าเธอจะหายไปอีกครั้ง เช่นเดียวกับเธอที่กอดเขากลับ
“ข้าได้รับมรดกแห่งพระเจ้าของที่นี่มาก และกลายเป็นผู้พิทักษ์พระราชวังเทพสมุทร จริงสิ ชิงสุ่ยเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?” เธอกล่าวออกมาด้วยความสงสัย
“มันค่อนข้างยาว เอาเถอะมาเดี๋ยวข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง” ชิงสุ่ยดึงเธอไปนั่งที่โต๊ะหินใกล้ ๆ
ในตอนนี้ชิงสุ่ยค่อยเล่าเรื่องต่างๆให้เธอฟังในขณะที่มือของเขายังคงกำมือของเธอเอาไว้
“ชิงสุ่ย เจ้าไม่ควรมาที่นี้ในตอนนี้ มันไปปลอดภัย” เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในตอนนี้เธอได้ถอนหายใจออกมา
บางทีการมาของข้าอาจทำให้เรื่องวุ่นวายนี้จบลง ยิ่งไปกว่านั้นข้าจะปล่อยให้เจ้าเสี่ยงอันตรายเพียงลำพังได้อย่างไร” ชิงสุ่ยกล่าวออกมาติดตลก
เธอคุ้นเคยกับเขาอย่างมาก และรู้ดีถึงความสามารถของชิงสุ่ย แม้ว่าเธอจะได้รับมรดกแห่งพระเจ้า และมีพลังที่น่ากลัวอย่างเหลือเชื่อ แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าหากต้องต่อสู้กับเขามันคงเป็นเรื่องยากที่จะเอาชนะเขา
เธอมองไปที่เขาและกล่าวว่า “เจ้าก้าวหน้าเร็วอย่างมาก แม้แต่ตอนนี้ข้าเองยังไม่รู้เลยว่าเจ้าอยู่ในระดับไหนกัน”
“ทำไมรึ ข้าแข็งแกร่งขึ้นแล้วเจ้าจะไม่รักข้าอย่างนั้นรึ?” ชิงสุ่ยจ้องไปในดวงตาของเธอ
“ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นเท่าไร คำพูดของเจ้านี้ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะหนีเจ้าไปอีกครั้งรึ?” เธอไม่ได้โกรธ แต่กลับยิ้มออกมา ชิงสุ่ยเป็นคนสำคัญอย่างมากในชีวิตของเธอ และเธอยังเป็นว่าที่ภรรยาของเข่อีกด้วย
“แม้ว่าเจ้าจะหนีไปที่สุดขอบโลก ข้าก็จะพาเจ้ากลับมา ชีวิตของข้าคงอยู่ต่อไปไม่ได้หากไม่มีเจ้า” ชิงสุ่ย กล่าวอย่างจริงจัง
“เห้อๆ เจ้าก็ยังเป็นเจ้าจริงๆ!” เจี้ยนเก้อหัวเราะและยิ้มออกมา
“แล้วตกลงเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไรรึ?”
“พระราชวังทับทิม ที่เจ้าเคยเห็นเมื่อครั้งก่อนนั้นเป็นทางเชื่อมกับพระราชวังเทพสมุทรแห่งนี้ นอกจากนี้มันจึงทำให้ข้าได้รับมรดกแห่งพระเจ้าของราชินีคนก่อนของที่นี่มา “
“จริงๆสิ ตอนนี้มู่หยุนชิงเฉิงคือราชินีของที่นี่อย่างนั้นรึ?” แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้ว ชิงสุ่ยก็ยังถามออกมา
“ใช่ นางคือราชินีของที่นี่” แม้ชิงสุ่ยรู้ว่าเธอเป็นผู้มีอำนาจในพระราชวังเทพสมุทร แต่เขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเธอจะเป็นราชินีของที่นี่
ในตอนนี้ทั้งคู่ได้ใช้เวลาที่เหลือพูดค่อยถึงเรื่องราวต่างๆมาก………..
“ที่บ้านของเราเป็นอย่างไรบ้าง?” ในตอนนี้เธอก็ไม่ต่างอะไรกับครอบครัวของชิงสุ่ยแล้ว ดังนั้นเธอจึงได้กล่าเช่นนี้ออกมา
“พวกเขาทั้งหมดสบายดี เพียงแค่ทุกคนนั้นคิดถึงเจ้าอย่างมาก” ชิงสุ่ยหัวเราะ
“แล้วเจ้าละคิดถึงข้ามั้ย?” เธอถามออกมาอย่างซุกซน ใบหน้าที่ทรงเสน่ห์และหน้าคลั่งไคล้ ที่เต็มไปด้วยความสุภาพและอ่อนโยนได้แสดงออกมา
“มาก มากเหลือเกิน ข้าแทบจะรู้สึกขาดใจทุกๆครั้งที่คิดถึงเจ้า ไม่ว่าทำอะไรก็ตามข้าก็เห็นเพียงหน้าของเจ้าเท่านั้น รวมไปถึง……” คำพูดทั้งหมดของชิงสุ่ยเป็นเรื่องจริง ทุกอย่างออกมาจากใจของเขา
“หยุดพูดได้แล้ว เจ้านี่มัน?” เธอหยุดเขา ด้วยใบหน้าเขินอาย ถึงแม้จะรู้สึกอายแต่เธอก็มีความสุขที่ได้ยินมัน
“อาจารย์คิดถึงข้าหรือไม่?” ชิงสุ่ยมองไปที่เธอ
“นี่เจ้าพยายามที่จะทำให้ข้าโกรธใช่รึไม่?”
“ทำไมข้าต้องทำเช่นนั่นละ เห้อเอาจริงๆแล้ว ก็ดูเจ้าสิ เจ้าก็ยังไม่เคยเรียกข้าว่าท่านพี่เลยสักครั้งและจะมาโทษข้าได้อย่างไร? ชิงสุ่ยกล่าวออกมาก่อนมองไปที่หน้าของเธอ
“เจ้าเด็กนี่ เจ้าต้องถูกทำโทษ!” เธอเอื้อมมือออกไปโขกหัวของเขา
“ข้ามีความสุขจริงๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อจนได้พบเจ้าอีกครั้ง … “
หลังจากที่กล่าวจบชิงสุยค่อยๆกอดเธออีกครั้ง ขณะที่เขาดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอดของเขา ในขณะที่เจ้าจ้องมองไปที่ใบหน้าที่งดงามของเธอโดยปราศจากแรงต่อต้านใดๆ
ในตอนนี้ชิงสุ่ยค่อยๆก้มลงและบรรจงจูบลงไปที่ริมฝีปากของเธอ
มันนั้นช่างนุ่ม ละเอียดอ่อนและหวาน เช่นเดียวกับตอนนี้เจี้ยนเก้อค่อยๆปิดตาลง หัวใจของเธอกำลังเต้นถี่ขึ้นจนชิงสุ่ยสามารถสัมผัสได้
“หวานจริงๆ”ชิงสุ่ยหัวเราะจริงๆ
ในตอนนี้เธอได้ซุกหน้าอยู่อ้อมแขนของเขา ในขณะที่ใบหน้าของเธอนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม “ไปตายซะ!”
ในไม่ช้าหลังจากนั้นไม่นานมู่หยุนชิงเฉิงได้เดินเข้ามาและกล่าวว่า “งานเลี้ยงใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว พวกเจ้าจะไม่กันรึ?”
“ในตอนนี้ข้าอยากอยู่กับชิงสุ่ยมากกว่า”เจี้ยนเก้อกว่าออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เห้อ ข้าเองก็ไม่อยากไปเช่นเดียวกัน”มู่หยุน ชิงเฉิงกล่าวออกมาและถอนหายใจ