AST
บทที่1817 – หอคอยระดับที่ 9 พยายามต้านทานพิษราคะอมตะ
เมื่อชิงสุ่ยได้ยินคำพูดของทั้งสองคนเขาก็แทบอยากจะสังหารทั้งสองคนถึงในทันที แต่ชิงสุ่ยจดจำได้ว่าจากการที่สัมผัสร่างกายของเฉินหวงครั้งล่าสุด เธอมีพลังร่างกายที่ลึกลับ ยากระตุ้นอารมณ์ธรรมดาคงใช้กับเธอไม่ได้ผล แต่ศัตรูใช้ยากระตุ้นอารมณ์ระดับธรรมดาหรือไหม?
ชิงสุ่ยยังคงไม่แสดงความเมตตากับทั้งสองคนเขาทำการทำลายเส้นลมปราณเพื่อให้ทั้งสองคนกลายเป็นคนพิการในทันที
ค่ายกลสังหารเก้าสวรรค์อมตะคือค่ายกลที่เต็มไปด้วยพลังอันน่าแปลกประหลาดมีโอกาสสูงมากที่เฉินหวงจะติดอยู่ในค่ายกลนี้จริงๆ แน่นอนว่าเขาเองก็ไม่รู้เรื่องค่ายกลชนิดนี้ แต่สิ่งที่เขาคาดเดาได้และพอจะรู้มาบ้างมันคือค่ายกลที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่โลกครั้งโบราณ และเป็นรูปแบบที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้อื่นสามารถนำไปใช้ได้
นี่คงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ชิงสุ่ยไม่ลงมือสังหารเขาในทันทีเพราะปรมาจารย์ค่ายกลยังคงมีประโยชน์ ชิงสุ่ยต้องการดูว่าเขาจะสามารถทำตามในสิ่งที่ชิงสุ่ยต้องการได้อีกหรือไม่ แต่ถ้าหากเขาล้มเหลวไม่มีประโยชน์ ชิงสุ่ยก็ไม่ลังเลที่จะฆ่าเขา
ชิงสุ่ยนำยาวิเศษออกมากรอกปากปรมจารย์ค่ายกลเพื่อทำให้เขาฟื้นพลังกลับมาเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ยาที่เขาใช้คือยาควบคุมหัวใจ
มันจะช่วยให้ผู้ที่ดื่มกินมันเข้าไปฟื้นตัวในสภาพสมบูรณ์แต่พลังที่ฟื้นตัวจะมีอายุได้เพียงแค่ 1 ชั่วโมง หลังจาก 1 ชั่วโมงผ่านไปผู้ที่กินจะเสียชีวิตจากอาการเลือดออกจากทวารทั้ง 7 แม้แต่ยาที่ทรงพลังก็ไม่สามารถช่วยชีวิตคนที่กินมันเข้าไปได้
ใครก็ตามที่กินยาควบคุมหัวใจจะถูกควบคุมและฟังคำสั่งจากผู้ให้
”รูปแบบค่ายกลที่เจ้าเห็นคือรูปแบบตายตัวไม่มีใครสามารถออกมาข้างนอกได้” เสียงแหบที่ดูต่ำคุ้มเหมือนเสียงเครื่องจักรดังขึ้นอย่างช้าๆ
ดวงตาของปรมาจารย์ค่ายกลแลดูไร้ชีวิตชีวาจากนั้นเขาก็นำสิ่งประหลาดบางอย่างออกมาจากถุงผ้าแพรมิติ และเริ่มดัดแปลงค่ายกลทีละส่วนอย่างช้าๆ
…………………
ชิงสุ่ยก้าวเข้าสู่ขอบเขตของค่ายกลทันทีที่เขาสัมผัสเขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าภายในรูปแบบให้คนเปรียบเสมือนโลกใบเล็กใบนึง มันแตกต่างจากโลกภายนอก และมีหอคอยลอยฟ้าที่มีความสูงในระดับที่แตกต่างกัน
หืม!!
ในขณะที่ชิงสุ่ยก้าวเข้าสู่พื้นที่เขตแดน
”แรงโน้มถ่วงที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้มากกว่าโลกภายนอกเกือบ10 เท่า” แรงโน้มถ่วงที่เกิดขึ้นถือเป็นลักษณะเด่นของค่ายกลสังหารเก้าสวรรค์อมตะพื้นที่ภายในกว้างขวางมากถึงขั้นที่ชิงสุ่ยไม่สามารถรับรู้ถึงพลังปราณของเฉินหวงหรือแม้กระทั่งคนอื่นได้เลย เขาพยายามขยายขอบเขตการรับรู้ทางจิตวิญญาณเพื่อตรวจสอบ และเริ่มออกเดินทางเพื่อสำรวจ
ชิงสุ่ยปลดปล่อยอสูรสยบมังกรและผึ้งหยกจักรพรรดิ์ออกมาเพื่อช่วยค้นหา
”ภาพลวงตา?ช่างเป็นค่ายกลที่น่าสนใจจริงๆ!!”
ทันใดนั้นชิงสุ่ยก็เริ่มสังเกตเห็นว่าทิวทัศน์รอบตัวของเขาได้เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้งสภาพอากาศเริ่มย่ำแย่ พื้นดินเต็มไปด้วยสัตว์อสูร และสัตว์พิษโบราณ ในไม่ช้าคลื่นแผ่นดินไหวจำนวนมากก็เริ่มปรากฏ
ชิงสุ่ยรู้ดีว่านี้คือภาพลวงตาแต่ภาพที่เกิดขึ้นสมจริงอย่างไม่น่าเชื่อ มันไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าถ้าหากอยู่นิ่งเฉยแต่ยังคงปลอดภัยเหมือนกับที่มันเป็นภาพลวงตาหรือไม่ ดูเหมือนว่าชิงสุ่ยจะตกอยู่ใต้มนต์สะกดของพลัง
ภายในมันสะกดทุกสิ่งจะเป็นของจริงทั้งๆที่เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาพวกมันถูกสร้างมาจากพลังปราณจิตที่ถูกสั่งสมเอาไว้ภายในค่ายกล พวกมันจะคอยต้านทานพลังของผู้ที่ติดอยู่ภายใน จนกระทั่งผู้ที่ติดอยู่ภายในอ่อนล้าและตายไปอย่างช้าๆช่วยตัวเอง
ค่ายกลนี้แข็งแกร่งในระดับสามารถทำให้ผู้ที่บรรลุระดับพลังปราณสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์หมดแรงจนอ่อนล้า
ชิงสุ่ยผายมือออกไปและพยายามต้านทานพลังของค่ายกลภาพบรรยากาศโดยรอบสับเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็วเหมือนกับว่าเขากำลังเคลื่อนที่ออกไปไกลแสนไกล สิ่งแวดล้อมทั้งหมดเต็มไปด้วยความลึกลับและดูสงบสุข
ชิงสุ่ยมีความเป็นห่วงเฉินหวงเขาไม่รู้ว่าหญิงสาวคนนี้รู้หรือเปล่าว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในค่ายกล ชิงสุ่ยเคลื่อนที่ผ่านระดับที่1 อย่างรวดเร็ว โดยไม่พบเจออะไรเลย เขาออกค้นหาทั่วทุกที่พร้อมกับการช่วยเหลือของสัตว์อสูร และในตอนนี้เขาก็ก้าวขึ้นสู่หอคอยระดับที่ 2 โดยไม่ลังเล
ทันทีที่ชิงสุ่ยเข้าไปข้างในหอคอยลอยฟ้าก็เต็มไปด้วยแสงจ้า แต่ก็ไม่ได้มีพลังที่แข็งแกร่งมากนัก หากจะสังหารก็คงสังหารได้เพียงแค่คนระดับทั่วไป และมันก็เหมาะสำหรับการสังหารคนหมู่มาก
เมื่อเทียบกับหอคอยระดับที่1 ชิงสุ่ยใช้เวลาในการค้นหาภายในระดับที่ 2 มากกว่าระดับที่ 1 เพียงเล็กน้อย เขากังวลทุกอย่างจึงทำให้ความสามารถในการค้นหาลดน้อยลง
หอคอยระดับที่2 มีแรงโน้มถ่วงเป็น 2 เท่าของระดับแรก
และเมื่อก้าวขึ้นสู่หอคอยระดับที่3 ชิงสุ่ยก็พบว่าแรงโน้มถ่วงเพิ่มขึ้นจากชั้นที่ 2 อีก 2 เท่า แต่ไม่มีค่ายกลแขวงใดซ่อนอยู่ภายใน ณ ตอนนี้ ความเร็วในการเคลื่อนที่ของชิงสุ่ยยังคงเรียกว่าน่ากลัว แม้ว่าหอคอยจะมีพื้นที่ขนาดใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ใหญ่มากเกินกว่าความเร็วของชิงสุ่ย
ระดับที่4!!
ระดับที่5!!
………………………
ทุกครั้งที่ชิงสุ่ยก้าวขึ้นสู่ระดับถัดไปแรงโน้มถ่วงจะทวีคูณขึ้นอีกหลายเท่าตัว นอกจากนี้บรรยากาศก็เต็มไปด้วยแก๊สพิษ สิ่งที่ทรงพลังที่สุดน่าจะเป็นค่ายกลสะกดจิต ถ้าหากเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องหลงเข้ามาข้างใน โอกาสที่พวกเขาจะหนีรอดภัยพิบัติเท่ากับศูนย์
หอคอยระดับที่8
ใบหน้าของเฉินหวงกำลังแดงระเรื่อเธอกำลังทุกข์ทนกับยาที่เธอได้รับ และยังต้องรับมือกับสัตว์อสูรที่ทรงพลัง นอกจากนี้ยังมีคนที่เธอเกลียดซึ่งพยายามขัดขวางหนทางของเธอ จินเฟิงคือ1 ใน 4 คนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังมีชายร่างสูง 7 ฟุต สีผิวของเขาไม่ดำมากขณะที่เขาถือกระบี่ยักษ์ความยาว 5 เมตรเอาไว้ในมือ เขากำลังฟาดฟันกระบี่ด้วยแรงเข้าหาเฉินหวงด้วยทั้งหมดของเขา
พละกำลังที่ถูกขับออกมาจากร่างกายรุนแรงมากพอจะแบ่งแยกสวรรค์และโลกที่ขาดออกจากกัน
นอกจากนี้ยังมีชายชราอีก2 คน ทุกๆครั้งที่เกิดการโจมตี ทั้งสองคนจะขยับปากพึมพำเหมือนกำลังท่องคาถาอะไรบางอย่าง ทันทีที่พวกเขาขยับปาก จินเฟิงและชายร่างยักษ์จะกระโดดหลบไปด้านข้าง ก่อนที่กลุ่มสัตว์อสูรกลุ่มใหญ่จะปรากฏตัวขึ้น
”หวงเอ่อเจ้าเป็นคนที่แข็งแกร่งจริงๆ แต่ต่อให้เจ้ามีความสามารถบินทะลุฟ้า สุดท้ายจุดจบของเจ้าจะต้องอยู่ที่นี่ ยิ่งเจ้าต่อต้านมากขึ้นเท่าไหร่ พิษราคะอมตะจะยิ่งแพร่กระจายในร่างกายของเจ้า ตอนนี้เจ้ายังบริสุทธิ์ แต่อีกไม่นานเจ้าจะรู้ว่าโสเภณีที่ควบคุมตัวเองไม่ได้นั้นเป็นเช่นไร” สายตาของจินเฟิงที่กำลังจ้องมองเฉินหวงเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน
”จินเฟิงเจ้าควรเล่นผู้หญิงคนนี้ให้สนุก แต่จงจำไว้ว่าการเก็บรักษาเธอในร่างที่ยังมีชีวิตถือเป็นเรื่องที่อันตรายเกินไป”ชายร่างใหญ่กล่าว
”ข้ารู้แล้วทำไมเราไม่ทำร้ายวรยุทธเธอทิ้งแทนละ? มันคงไม่ดีนะถ้าหากเราต้องสังหารหญิงสาวโฉมงามเช่นนี้ไป พวกเจ้าไม่อยากลิ้มลองรสชาติของนางบ้างเลยหรือไง?”จินเฟิงกล่าว
”แน่นอนข้าเองก็ต้องการ แต่ข้าขอเล่นสนุกกับร่างกายของนางสัก 2 ปีก็พอแล้ว”
”ไอ้สารเลว!!”เฉินหวงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาซึ่งคำพูดของเธอทำให้จินเฟิงรู้สึกเสียใจ
”ข้าคงเสียใจแน่ๆถ้าหากไม่ได้เล่นกับร่างกายที่งดงามของหญิงสาวผู้นี้”ชายผิวสีเกือบดำอีกคนนึงกล่าวด้วยท่าทางจริงจังในตอนนี้ร่างกายของเฉินหวงถูกยอมไปด้วยสีเลือด ไม่มีใครรู้ว่าคราบเลือดที่อยู่บนร่างกายของเธอคือเรื่องของเธอหรือเลือดของสัตว์อสูรที่พยายามโจมตีเธอ