ทั้ง 3 รู้สึกว่าเป่ยเฟิงเป็นเพียงเด็กรุ่นใหม่และไม่มีเหตุผลที่มากล้าพูดแบบนี้ใส่พวกเขา !
“ฮึ่ม !”
หลิงวู่เค้นเสียงอย่างเย็นชาก่อนจะหันไปมองทั้ง 3
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้พูดคุยเรื่องอายุ ? เขาเด็กกว่าเจ้าแต่เขากลับโตกว่าเจ้า มันช่างสวนทางกันดีจริง ๆ !”
หลิงวู่หันไปต่อว่าทั้ง 3 ด้วยความหงุดหงิด
“อายุของมันน้อยกว่าเราหลายเท่า นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของมันก็เทียบกับพวกเราไม่ได้ซักคน !” อีกคนเถียงกลับ
อีก 2 คนก็ไม่ได้พูดอะไร เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็เห็นด้วย พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมหลิงวู่ถึงออกตัวแทนคนนอก
“พวกเจ้าคิดแบบนั้นจริง ๆ งั้นรึ ? ถึงแม้พวกเราจะไม่เคยได้ประมือกับเป่ยเฟิง แต่ข้ารู้สึกได้ว่าพลังของเขาไม่ได้น้อยไปกว่าพวกเราทุกคน นอกจากนี้เรายังเห็นพลังของเขาเมื่อ 3 เดือนที่แล้วเท่านั้น แต่แม้ว่าจะเป็นตอนนั้นข้าก็บอกได้เลยว่าเมื่อข้าสู้กับเขา โอกาศที่จะชนะคือ 40-60 !”
คำพูดของหลิงวู่หนักแน่นและจริงจัง การพัฒนาของเป่ยเฟิงนั้นเร็วเกินไป แม้แต่หลิงวู่ที่มีอายุมานานหลายร้อยปีก้รู้สึกตกใจ
“แล้วไง สุดท้ายมันก็อ่อนแออยู่ดีไม่ใช่รึ ? ถึงแม้จะเป็น 40-60 แต่หากเพิ่มพวกเราเข้าไป มันก็ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้หนี !” อีกคนตะโกนด้วยความไม่เต็มใจ เขารู้ว่าหลิงวู่ไม่เคยพูดโกหก
“ข้าหมายถึงข้าที่เป็น 40 % ส่วนอีก 60 % นั่นคือเขาจะเป็นผู้ชนะ ! และอย่าลืมว่าเขาเองก็มีลูกศิษย์อยู่ด้วยเช่นกัน ต่อให้พวกเราทุกคนร่วมมือกันและปะทะกับอีกฝ่าย สุดท้ายก็บาดเจ็บหนักกันทั้งคู่ และผลลัพธ์ที่ข้ารู้สึกได้ก็คือเป็นพวกเราที่ถูกฆ่าทั้งหมด !”
หลิงวู่ไม่คิดจะพูดออกมาทั้งหมด แต่เขากลัวว่าหากเขาไม่พูดให้ชัดเจนให้ดีและปล่อยให้ทั้ง 3 คนไปยุ่งกับเป่ยเฟิง ในเวลานั้นสุดท้ายพวกเขาคงไม่รู้ว่าตัวเองตายได้อย่างไร !
ความเงียบเข้าครอบงำ นอกจากหลิงวู่แล้ว อีก 11 คนเต็มไปด้วยความตกใจ
หลิงวู่เติบโตมาทำให้เป็นคนจริงจังและพูดตรงไปตรงมา เขาจะไม่มีทางยอมรับสิ่งต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ และหากไม่ใช่เพราะเกี่ยวกับภัยพิบัติจริง ๆ หลิงวู่ก็คงไม่พูดอะไรออกมา
“เอาล่ะ พวกเราเข้าใจแล้ว ถ้าเจอเขาครั้งต่อไป พวกเราทั้ง 3 จะขอโทษเขาด้วยตัวเอง”
ทั้ง 3 ได้แต่กลืนคำพูดลงไปในคอ พวกเขามีชีวิตมานานหลายปี แต่สุดท้ายก็อ่อนแอกว่าเด็กน้อยคนหนึ่ง มันทำให้พวกเขารู้สึกว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาของตนนั้นช่างไร้ความหมายสิ้นดี
30 ปีที่ผ่านมา เป่ยเฟิงได้เดินทางไปบนเส้นทางที่คนส่วนใหญ่อยากจะเดินเพื่อไปให้ถึงยอดเขา !
บนภูเขาจิตวิญญาณสีฟ้า เป่ยเฟิงเดินออกมาจากห้องจากห้องที่เต็มไปด้วยเหล็กพร้อมกับเหงื่อบนร่าง เรื่องก่อนหน้านี้ถือว่าเขาได้เตือนอีกฝ่ายไปแล้ว
หากเป็นเมื่อหนึ่งปีครึ่งก่อน เป่ยเฟิงคงกังวลเกี่ยวกับ 12 ปีศาจคุนหลุน แต่ตอนนี้เขามีความเชื่อมั่นว่าสามารถเอาชนะทุกคนได้ !
แม้ว่าระดับพลังของเขาจะอยู่เพียงระดับสวรรค์ขั้นสูงสุด แต่ร่างกายของเขาได้เหนือร่างกายของผู้เชี่ยวชาญระดับสวรรค์ไปแล้ว !
แม้ว่าจะไม่มีสายรุ้งทะยาน แต่เป่ยฟิงมั่นใจว่าสามารถทำให้หลิงวู่ต้องคุกเข่าตรงหน้าได้ภายในการเคลื่อนไหว 100 ครั้ง !
หลังจากเดินออกมาจากห้องเหล็กแล้ว เป่ยเฟิงรู้สึกตัวเบาขึ้นราวกับน้ำหนักที่แบกรับมานานหายไปทำให้น้ำหนักตัวเบาลงมาก
ตัวเลขกระพริบอยู่ด้านนอกห้องตรงประตูห้องเหล็กแสดงเลข 10 !
นี่ไม่ใช่ห้องธรรมดา แต่มันเป็นห้องฝึกแรงโน้มถ่วง แรงโน้มถ่วงมันจะช่วยทำให้การฝึกของคน ๆ นั้นเพิ่มพูนมากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการฝึกอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายด้วย !
เป่ยเฟิงเพิ่งฝึกด้วยแรงโน้มถ่วง 10 เท่าเมื่อไม่นานมานี้ แม้ว่าพลังฝึกตนของเขาจะไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ร่างกายภายนอกและอวัยวะภายในของเขาก็แข็งแกร่งมากขึ้น !
อวัยวะภายในจะถูกกลั่นได้ก็ต่อเมื่อมีพลังระดับว่างเปล่าเท่านั้น เมื่ออวัยวะภายในถูกกลั่นจนสมบูรณ์มันจะได้รับการผสมผสานเข้ากับพลังงานในร่าง และจากนั้นมันก็จะค่อย ๆ เพิ่มพลังไปจนถึงขีดจำกัดและรอคอยเวลาในการทำลายโซ่ที่ขังร่างกายเอาไว้เพื่อที่จะทะยานก้าวไปยังระดับหลุดพ้น !
ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเป่ยเฟิงเพิ่มสูงขึ้นมาหลายเท่าตั้งแต่เขาทะลวงระดับมายังระดับสวรรค์ !
นอกจากนี้ร่างกายของเขาในตอนนี้ก็พร้อมที่จะทะลวงไปยังระดับต่อไป แต่เพราะเขาผนึกพลังตัวเองเอาไว้เพราะไม่กล้าที่จะทะลวงระดับต่อไป พลังจิตของเขาในตอนนี้อยู่ที่ระดับ 1 จันทรา แต่เขายังคงรู้สึกได้ถึงอันตรายมหาศาลที่ยังคงส่งมาถึงเขาเสมอ !
รากฐานปัจจุบันของเขาในตอนนี้มาถึงระดับสวรรค์ขั้นกลางแล้ว แต่เขาก็ยังคงไม่กล้าไปยังระดับสวรรค์ขั้นสูงเพราะเขารู้สึกได้ถึงสิ่งที่เรียกว่าเป็นไปไม่ได้ !
“วิถีการต่อสู้ของฉันยังอ่อนแอเกินไป นอกจากนี้มันยังต้องรอคอยให้มีประสบการณ์เพียงพอด้วย ซึ้งตัวฉันเองไม่ต้องพูดถึง” เป่ยเฟิงพึมพำถอนหายใจเบา ๆ ประสบการณ์ในการต่อสู้ของเขายังอ่อนแอเกินไป นอกจากนี้รากฐานพลังของเขาก็ยังอ่อนแอเช่นกันเพราะมันยังผ่านมาไม่กี่ปีเท่านั้น
เป่ยเฟิงได้อ่านหนังสือและบันทึกจำนวนมาก แต่เขาก็ไม่ค้นพบอะไรเพิ่มเติม
วิถีการต่อสู้ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนก็มุ่งมั่นในวิถีป้องกัน บางคนมุ่งมั่นในวิถีความคมและบางคนมุ่งมั่นในผลบางอย่าง แม้ว่าจะเจอเรื่องเลวร้ายมามาก แต่เป่ยเฟิงก็ยังไม่ค้นพบวิถีของเขา แม้ว่าจะค้นหามันด้วยวิถีใด ๆ แต่ก็ยากที่จะรู้ถึงวิถีตัวเองมันราวกับงมเข็มในมหาสมุทร !
“มิ้ว มิ้ว !”
จิ้งจอกน้อยวิ่งเหยาะ ๆ มาด้านข้างก่อนจะเกี่ยวขากางเกงเป่ยเฟิง ไม่ใช่ว่ามันไม่ต้องการกระโดดขึ้นไปบนไหล่ของเขา แต่เพราะมันไม่ได้แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปต่างหาก
ขนของจิ้งจอกน้อยหลุดลอยออกไปจนเผยให้เห็นผิวที่ว่างเปล่า ดวงตาของมันเองก็ดูหนักและเมื่อยล้า
เมื่อมองมันจะรู้สึกราวกับกำลังมองคนแก่ที่ใกล้ลงโลงได้ทุกเมื่อ
เป่ยเฟิงเจ็บปวดหัวใจอย่างมาก เขายกจิ้งจอกน้อยขึ้นมาบนไหล่และลูบหน้าผากมันเบา ๆ
เป่ยเฟิงยิ้มและถามเสียงเบา ๆ “ฉันบอกให้เธอพักผ่อนอยู่ข้างในไม่ใช่หรอ ? ออกมาวิ่งแถวนี้อีกทำไม ?”
“มิ้ว !”
จิ้งจอกน้อยคลานไปที่ลำคอของเขาจากนั้นก็เงยหน้ามองเขาราวกับต้องการจดจำใบหน้าของเป่ยเฟิงไว้ในใจ
เป่ยเฟิงรู้สึกหดหู่จนไม่สามารถพูดออกมาได้ จิ้งจอกน้อยดูเหมือนจะมีชีวิตได้อีกไม่นาน ที่มันมีชีวิตได้ถึงทุกวันนี้ก็เพราะได้เลือดและฉีของเป่ยเฟิงพยุงเอาไว้
นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมจิ้งจอกน้อยถึงเป็นสัตว์อสูรระดับ 5 ที่ถูกจัดโดยระบบตกปลาแม้ว่ามันจะทรงพลังมากก็ตาม
จิ้งจอกน้อยอ่อนแอเกินไป ถึงพลังมันจะทรงพลังแต่มันก็ถูกฆ่าได้ก่อนที่จะเปิดใช้ความสามารถด้วยซ้ำ !
เขารู้ว่ามันเหนื่อยมาก มันมีความรู้สึก 2 อย่างอยู่ในใจเขานั่นก็คือความห่วงใยที่อยากให้มันมีชีวิตต่อไปกับการปล่อยให้มันไม่ต้องทรมานอีกต่อไป
“นอนหลับซะนะ เมื่อเธอตื่นขึ้นมาจะได้รู้สึกดีขึ้น”
เป่ยเฟิงลูบจิ้งจอกน้อยเบา ๆ จากนั้นเลือดและฉีของเขาก็พึมเข้าไปในร่างของมัน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เป่ยเฟิงใช้เวลากับจิ้งจอกน้อยมานาน ตอนแรกจิ้งจอกน้อยยอมรับเป่ยเฟิงเพราะมันเหงามาก แต่เป่ยเฟิงรู้สึกได้ว่าเมื่อเวลาผ่านไปความห่วงใยที่มันส่งมาถึงเขาทุกครั้งเมื่อเขากลับมาหา มันจะเต็มไปด้วยความดีใจทุกครั้ง
และเพราะมีจิ้งจอกน้อยอยู่จึงเป็นเหตุผลที่เป่ยเฟิงไม่อยากพาราชาเสือและหมีขาวกลับมาจากเฉินเนียนเจีย
แม้ว่าทั้ง 2 ตัวจะไม่เต็มใจที่จะมากับเขา แต่เขาเชื่อว่าหากยืนยันชักชวนมันอีกหน่อยมันต้องมากับเขาแน่นอน แต่ในเวลาเดียวกันเขากลับถามตัวเองว่าหากนำมันมาจริง ๆ เขาจะมีเวลาให้พวกมันเพียงพอหรือเปล่า ?
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่อยากพามันกลับมา เพียงแค่ชีวิตน้อย ๆ ของจิ้งจอกน้อยในตอนนี้ก็ไม่มีใครบอกได้ว่ามันจะจากไปเมื่อใด
“บางทีอีกโลกน่าจะมีวิธีช่วยชีวิตเธออยู่ ฉันจะไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด”
เป่ยเฟิงปลอบโยนจิ้งจอกน้อยและให้คำสัญญากับตัวเอง
เขากลับไปที่บ้าน ร่างของจิ้งจอกน้อยอ่อนแอเกินไปและมันก็ไม่ได้แข็งแรงเท่าจิ้งจอกปกติ แม้จะใช้เลือดและฉีเพื่อบำรุงร่างของมันแต่เขาก็ไม่กล้าให้มากเกินไปเพราะกลัวว่ามันจะเจ็บ !
ในขณะเดียวกัน หวังวูหยูหลังจากที่ออกมาจากภูเขาชิงหลิง เขาก็มองคลื่นมนุษย์และยานพาหนะรวมไปถึงอาคารสูงตระหง่านพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอัศจรรย์
ในยุคของเขา หลิงฉีของสวรรค์และโลกเริ่มแห้งเหือดลง ตัวเขาในวัยเยาว์หลังจากได้ครองบัลลังก์เขาก็ได้พาผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากหายตัวไปในคืนนั้นทันที
ทั้งอาณาจักรตกอยู่ในความสับสุ่นวุ่นวายไม่ว่าจะเป็นศัตรูภายในหรือภายนอก หวังวูหยูใช้ความสามารถของตัวเองในการจัดการพวกกบกฏชนชาติจำนวนนับไม่ถ้วนและสิ้นสุดสงครามลง หลังจากนั้นเขาก็มุ่งเน้นความสนใจไปที่ทรัพยากรจำนวนมากแล้วออกตามหาดินแดนที่มีเส้นเลือดมังกรและเส้นเลือดหยินรวมอยู่ด้วยกัน และเมื่อเขาค้นพบมันเขาก็โยนพวกบฏที่จับตัวไว้ไปอยู่ในนั้นจากนั้นก็ใช้เลือดและเนื้อของพวกมันเพื่อใช้ในการเกิดใหม่ของเขา !
การจากไปของผู้เชี่ยวชาญจำนวนไม่ถ้วนรวมไปถึงหลิงฉีที่เบาบางลงมันทำให้หวังวูหยูกังวลอย่างมากในตอนนั้น
แต่เมื่อเขาแข็งแกร่งขึ้น เขาจึงไม่ปล่อยพวกที่เคยทิ้งความแค้นเอาไว้กับเขาอีกต่อไป ภายในคืนเดียว สมาชิกหลักจำนวนมากของนิกายใหญ่ได้หายตัวไปหลงเหลือแต่เพียงคนไม่สำคัญไม่กี่คน
หวังวูหยูใช้ความแข็งแกร่งของอาณาจักรทั้งหมดเพื่อบุกไปยังดินแดนต้องห้ามที่ยิ่งใหญ่ทั้ง 4 แต่เมื่อเขาไปถึงเขาก็ไม่ค้นพบอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น
สุดท้ายหลังจากบริหารอาณาจักรของตัวเองเป็นเวลานาน เขาจึงคิดว่าถึงเวลาที่จะเริ่มแผนการที่วางไว้ได้แล้ว
และวันนี้เมื่อเขาตื่นขึ้น หวังวูหยูไม่คิดเลยว่าคำทำนายที่น่าหวาดกลัวในตอนที่เขายังมีชีวิตจะเกิดขึ้น นั่นก็คือโลกจะไปถึงจุดจบที่เหมือนดาวเคราะห์ที่ตายแล้ว หลิงฉีของโลกจะแห้งเหือดจนเกือบจะหมดแล้ว !
พลังจิตของเขากระจายไปรอบ ๆ กว้างกว่า 10 กิโลเมตร แต่เขาไม่สามารถค้นพบผู้ฝึกตนได้เลยซักคน !
“โลกได้ปฏิเสธพวกเขาไปแล้ว ? แล้วเกิดอะไรขึ้นกับอาณาจักรของข้า ?”
เขายืนอยู่บนกล่องเหล็กสีดำ เขามองไปรอบ ๆ และเห็นเพียงอาคารสูงจำนวนนับไม่ถ้วน เขาได้แต่ถอนหายใจออกมา
หลังจากนั้นหวังวูหยูก็หายตัวไปและปรากฏตรงหน้าหญิงสาวคนหนึ่ง เขาคว้าเธอขึ้นมาและส่งพลังจิตมหาศาลเข้าไปในจิตสำนึกของเธอ
ร่างกายของหญิงสาวสั่นอย่างรุนแรง จากนั้นหวังวูหยูก็หลับตาลงเพื่อดูความจำทั้งหมดของเธอตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ราวกับกำลังดูหนังชีวิต
หลังจากนั้นเขาก็ปล่อยมือจนทำให้หญิงสาวที่โชคร้ายล้มลงกับพื้น ความรู้สึกเศร้าหมองปรากฏบนหน้าหวังวูหยู
“อาณาจักรวู่ของข้าร่วงหล่นแล้วงั้นรึ ?” หวังวูหยูพึมพำจากนั้นก็หายตัวไป
บนทางเท้าเหลือแต่เพียงหญิงสาวคนหนึ่งที่ถูกปล่อยทิ้งเอาไว้พร้อมกับน้ำลายฟูมปาก เมื่อเห็นสภาพของเธอแม้ว่าจะรอดตายแต่จิตใจของเธอได้ถูกทำลายลงไป ตอนนี้เธอได้เป็นคนพิการทางสติปัญญาไปแล้ว แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่หวังวูหยูต้องใส่ใจ คนที่ต้องเสียใจก็คือครอบครัวของเธอต่างหาก
ในเวลาเดียวกันเป่ยเฟิงนั่งสบาย ๆ อ่านหนังสือเกี่ยวกับภูมิศาสตร์และคู่มือการเดินทางมือของเขา
ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนเขียนมันขึ้นมา แต่ดูเหมือนหนังสือเล่มนี้จะมีอยู่มานานหลายปี ร่องรอยที่ดูเก่าแก่พร้อมกับหลายหน้าที่ขาดหายไปช่วยบอกได้ว่ามันเก่าแก่แค่ไหน
“ด่านฮันกู่กับสุสานจักรพรรดิ์ฉินเกี่ยวข้องยังไงกัน ? ทำไมหลิงวู่ถึงอ้างอิงการเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ ของสุสานได้และยังบอกได้อีกว่ามันจะหยุดอยู่ที่ด่านฮันกู่ ?”
เป่ยเฟิงอ่านมันด้วยความสนใจ
ตั้งแต่สมัยโบราณ ด่านฮันกู่เคยเป็นตำแหน่งภูมิศาสตรร์ที่สำคัญอย่างมาก ในอดีตมันเคยเป็นดินแดนที่อาณาจักรและจักรพรรดิ์ต่อสู้กัน !
แต่ทว่าในยุคปัจจุบันประวัติศาสตร์เหล่านั้นได้ลบเลือนหายไปจนกลายเป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวเท่านั้น