หลี่ปู้พาคนมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ตระกูลเจิ้ง ในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงหน้าคฤหาสน์ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
ในฐานะตรกูลที่ทรงพลังที่สุดในเมืองซานชวน คฤหาสน์ตระกูลเจิ้งนั้นได้ตั้งอยู่ในใจกลางเมือง
แม้ว่าเมืองซานชวนจะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ประชากรนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเมืองใหญ่ คฤหาสน์ตระกูลเจิ้งดูสะดุดตาเป็นพิเศษเพราะถูกรายล้อมไปด้วยอาคารและตึกจำนวนมากในเมือง
ราคาที่ดินในเขตเมืองนั้นมีราคาสูงมาก แต่คฤหาสน์ตระกูลเจิ้งกับครอบคลุมพื้นที่่ขนาดใหญ่ พื้นที่ของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยสมาชิกของตระกูลและผู้ฝึกตนจำนวนมากที่อยู่อาศัยในที่แห่งนี้
“เป็นที่ดินที่สิ้นเปลืองจริง ๆ” หลี่ปู้หัวเราะเยาะ
คฤหาสน์ตั้งอยู่ใจกลางเมืองมันต้องมีใช้เงินจำนวนมากเพื่อให้ได้มันมา นอกจากนี้มันไม่ใช่แค่ว่ามีเงินแล้วจะทำได้ โครงสร้างของตัวคฤหาสน์เองก็ดูเหมือนจะสร้างมาจากไม้โบราณชั้นดี นอกจากนี้มันยังมีอาคารเล็ก ๆ รายล้อมตัวคฤหาสน์อีกมากมาย
“โยนร่างพวกมันเข้าไปที่ประตูซะ” หลี่ปู้สั่งเมื่อพวกเขามาถึงคฤหาสน์ตระกูลเจิ้ง
“ขอรับ”
ผู้คุ้มกันที่เดินตามหลังมาพยักหน้า จากนั้นก็โยนซากศพทั้งสิบไปยังหน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลเจิ้ง
“ใครกัน ?”
“แกกล้ามาก !”
ที่ด้านหน้าประตู มีต้นวิลโลว์และรูปปั้นนกอินทรีที่เหมือนจริงอยู่สองตัวที่ถูกแกะสลักจากหินอ่อนสีขาว เมื่อเห็นเงาพุ่งเข้ามากำลังจะพุ่งเข้าชนรูปปั้น คนกลุ่มจำนวนมากก็รีบวิ่งออกมาด้วยความโกรธและเตรียมพร้อมที่จะโจมตีอีกฝ่าย !
“ปัง !”
“ตู้ม !”
“อุก !”
ในไม่ช้าก็มีเสียงกระอักเลือดดังออกมา ผู้คุ้มกันของคฤหาสน์ตระกูลเจิ้งนั้นมีพลังเพียงระดับสองของร้อยปี ซึ้งไม่ได้ใกล้เคียงกับหลี่ปู้และคนของเขาแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นซากศพทั้งสิบกำลังพุ่งเข้ามา ผู้คุ้มกันของประตูก็พยายามที่จะสกัดกั้นศพเหล่านั้น แต่พวกเขากลับถูกคลื่นที่แข็งแกร่งที่แฝงมากับศพกระแทกจนพวกเขากระเด็นบินไปด้านหลังแทน !
รอยแตกสี่ถึงห้ารอยปรากฎบนประตูหนา ๆ โดยมีผู้คุ้มกันของตระกูลเจิ้งที่กลายเป็นศพนอนเรียงรายอยู่ที่ประตู
“ขอโทษ ดูเหมือนข้าจะใช้แรงมากไปหน่อย” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งหัวเราะด้วยความเขินอายพร้อมกับเกาหัวไปด้วย
“ช่างมัน ไปกันเถอะ”
หลี่ปู้ไม่คิดว่าคนของเขาจะไม่สามารถควบคุมพละกำลังได้ถึงแม้พวกเขาจะมีพลังระดับสี่ของร้อยปี แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดอะไร
“เกิดอะไรขึ้น ?”
“ใครมันกล้าหาเรื่องตระกูลเจิ้ง !”
หลังจากที่หลี่ปู้และคนของเขาเดินจากไปหลังจากระเบิดความโกรธไปแล้ว ผู้ฝึกตนจำนวนมากและสมาชิกของตระกูลเจิ้งก็รีบมุ่งหน้ามาที่ประตูทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ในไม่ช้าทุกคนก็เต็มไปด้วยความโกรธ
‘ตุบ ! ตุบ !”
ผู้ฝึกตนคนหนึ่งเคาะประตูห้องเบา ๆ พร้อมกับก้มหัวต่ำและพูดด้วยความระมัดระวัง “นายน้อย เกิดเรื่องไม่ดีแล้ว”
“เกิดอะไรขึ้น ? ท้องฟ้าถล่มหรือท่านพ่อไม่สนับสนุนข้าแล้วหรือยังไง ? ไปซะ ข้าอยากนอน !” เสียงที่เต็มไปด้วยความรำคาญดังออกมาจากห้อง
“นายน้อย ท่านหัวหน้าตระกูลกำลังรอท่านอยู่”
ผู้ฝึกตนที่อยู่นอกห้องกรอกตาและส่ายหัวหลังจากได้ยินเสียง
“ข้ารู้แล้ว น่ารำคาญจริง ๆ” เมื่อได้ยินเสียงของคนด้านนอก ในไม่ช้าชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินออกมาจากห้อง
ชายหนุ่มคนนี้มีผิวขาวซีดและดวงตาคล้ำซึ้งบ่งบอกประมาณว่าเขาเพิ่งเหนื่อยจากกิจกรรมแห่งความสุขมา
ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไม่คุยกันในวันพรุ่งนี้ ?”
ผู้ฝึกตนที่รอคอยอย่างอดทนด้านนอกตอบกลับ “มีคนฆ่านักสืบของเรา จากนั้นก็มีคนโยนศพของพวกเขามาที่ประตูหน้าคฤหาสน์”
“อะไรนะ ? ทุกคนตายหมดแล้ว ? แล้วพวกมันยังกล้าโยนร่างของพวกเขากลับเข้ามาในคฤหาสน์ของเรา ? นี่มันไม่ใช่การท้าทายแบบโจ่งแจ้งหรือยังไงหะ ?” ชายหนุ่มพูดขึ้นโดยใบหน้าที่มืดลงพร้อมกับปลดปล่อยฉีแห่งความชั่วร้ายออกมา
ผู้ฝึกตนที่เดินตามอยู่ด้านหลังถึงกับสั่นกลัวเมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของเขา ชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้เป็นคนที่มีพรสวรรค์มากนัก แต่เขากลับมีพรสวรรค์ทางด้านความโหดร้าย
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องประชุมที่เต็มไปด้วยแสงสว่างและผู้คน เมื่อเห็นว่าทุกคนมารวมตัวกันแล้ว ชายหนุ่มก็ยืดหน้าอกแล้วเดินเข้าไปด้วยท่าทางสุภาพเรียบร้อย
เจิ้งหลี่รู้ถึงสถานะตัวเขาในตระกูลเจิ้งดี ไม่ว่าเขาจะทำตัวย่ำแย่แค่ไหนในภายนอก แต่หากเป็นภายในตระกูลเขาไม่มีความกล้าแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่าหากเขาทำผิดเขาจะถูกคนในตระกูลเอามาเปรียบเทียบในภายหลัง
“หลี่ มานั่งนี้มา”
ที่นั่งบนสุดในห้องประชุมมีชายที่ดูน่าเคารพนั่งอยู่ แม้ว่าเขาจะดูเคร่งครึมแต่ต่อหน้าลูกชายเขาแล้ว เขาดูอ่อนโยนอย่างมาก แต่ในความรักนั้นมันก็มีความเสียใจแฝงอยู่ด้วยเช่นกันเพราะเขาไม่คิดว่าลูกชายที่ล้มเหลวของเขาจะมีวันประสบความสำเร็จในวันข้างหน้าได้
เจิ้งซานฉิงหยุดคาดหวังที่จะให้ลูกชายคนนี้เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลในอนาคตไปแล้ว เขาได้แต่หวังที่จะมอบความร่ำรวยและการใช้ชีวิตที่สุขสบายให้กับลูกชายคนนี้ ในขณะเดียวกันเขาก็ลืมที่จะกระตุ้นให้ลูกชายคนนี้พยายามทำลายคอขวดไปยังระดับสามของร้อยปีให้ได้
เขารู้ดีว่าเขาไม่สามารถควบคุมสมาชิกในตระกูลได้หากปราศจากพลัง สิ่งที่เจิ้งซานฉิงมีอยู่ในใจก็คือเขาหวังว่าลูกชายคนนี้ถึงแม้จะไม่สามารถขึ้นมาแทนที่ตำแหน่งเขาได้ แต่อย่างน้อยก็ให้ลูกของลูกชายของเขาทำได้ก็ยังดี !
และยิ่งคิดถึงหลี่บู่ฮุย เขาก็ยิ่งยิ้มออกมา เขาได้รู้ทักษะลึกลับบางอย่างที่สามารถถ่ายทอดยีนที่เหนือกว่าให้กับลูกหลานได้ โดยตัวแปรสำคัญของทักษะคือผู้หญิงที่เต็มไปด้วยพรสวรรค์และความสามารถ อย่างไรก็ตามทักษะนี้มันมีข้อเสียเพียงอย่างเดียวนั้นคือก็มันจะทำให้คนเป็นแม่ต้องตายทันทีหลังจากที่เธอคลอดลูก
“ขอรับ” เจิ้งหลี่ก้มลงและนั่งลง
“มันต้องเป็นเพราะพวกเราไม่ได้แสดงพลังมากนานเกินไป วันนี้แม้แต่แมวกับหมาที่ไหนก็ไม่รู้มันยังกล้ามาหาเรื่องเรา ! ครั้งแรกคือตระกูลหลี่ แล้วตอนนี้ยังมีใครที่ไหนอีกก็ไม่รู้ ดูเหมือนถ้าเรายังไม่ตอบโต้อีก พวกมันจะคิดว่าพวกเราอ่อนแอ !” เจิ้งซานฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พวกมันสมควรตาย !”
“ท่านหัวหน้าตระกูลพูดถูก หากพวกเราไม่สอนบทเรียนให้พวกมัน ตระกูลอื่นอาจเอาเป็นแบบอย่างแล้วกล้าตอแยพวกเราแน่นอน” สมาชิกอีกคนของตระกูลพูดขึ้น
“คนตายเหล่านี้คือนักสืบที่พวกเราส่งไปสอดแนมตระกูลหลี่ ดังนั้นตระกูลหลี่คือผู้ต้องสงสัยหลักของเรา ! เราจะกำจัดตระกูลหลี่ในวันพรุ่งนี้เช้า !” เจิ้งซานฉิงกล่าวด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
“ท่านหัวหน้าตระกูล ข้าคิดว่ามันไม่ค่อยดีนัก การสอบมันใกล้เข้ามาแล้ว นอกจากนี้ผู้หญิงตระกูลหลี่คนนั้นก็ …” สมาชิกคนหนึ่งของตระกูลกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวล แม้ว่าเขาจะกลัวที่จะพูดจนจบประโยค แต่ทุกคนเข้าใจดีว่าเขาหมายถึงอะไร
“เฮ้อ ข้ารู้ แต่เจ้าอย่าลืมว่ามหาวิทยาลัยเทียนมู่มันไม่ได้เข้ากันง่าย ๆ ถึงแม้เธอจะเข้าไปได้แต่ก็ไม่มีอะไรทำให้ตระกูลเจิ้งของพวกเราต้องกลัว” ชายวัยกลางคนอีกคนแย้งขึ้น