ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – บทที่ 94

บทที่ 94

บทที่ 94 ไม่อาจเถียงหรือสู้ชนะ

ท่านแม่โจวถลึงมองท่านพ่อโจว

“อย่าใส่ใจพวกหล่อนเลย ผมคิดว่าผ้านวมนี่เป็นของใหม่เอี่ยมเชียวล่ะ” ท่านพ่อโจวกล่าวแล้วก็สำรวจตรวจตราผ้านวมผืนใหม่

ท่านแม่โจวจึงเบนความสนใจมาอยู่ที่เรื่องนี้ “มันเพิ่งผลิตใหม่จริง ๆ ด้วย ช่างใส่ใจจริง ๆ” จากนั้นนางก็กระซิบ “ตาเฒ่า คุณคิดจะให้เงินช่วยงานแต่งงานกับเสี่ยวเม่ยเท่าไหร่น่ะ?”

“คุณตัดสินใจเถอะ” ท่านพ่อโจวบอก

“สัก 50 หยวนพอไหม?” ท่านแม่โจวตอบ

“นั่นไม่น้อยไปเหรอ?” ท่านพ่อโจวมองนางด้วยสายตาว่างเปล่า

ท่านแม่โจวตอบ “น้อยอะไรกัน หล่อนกับต้าหลินมีงานทำกันทั้งคู่ พวกเขาหาเงินได้ตั้งมากมายในแต่ละเดือน สุดท้ายแล้วก็มีแค่ส่วนน้อยเท่านั้นแหละที่แบ่งมาให้ครอบครัว งานของหล่อนไม่ได้เหลือส่วนเก็บอะไรมากมาย คุณคาดหวังจะให้เยอะขนาดไหนกันล่ะ?”

“แต่ฝั่งนั้นให้ของขวัญใหญ่สี่ชิ้นมานะ” ท่านพ่อโจวชี้ประเด็น

“งั้นก็เอาแค่จักรยานไว้ที่บ้านเรา แล้วส่งของอย่างอื่นกลับไปให้หล่อน ถึงตอนนั้นก็คงจะมีผ้านวมผืนนี้ สบู่ กระติกน้ำร้อน แล้วก็ของอื่น ๆ” ท่านแม่โจวเอ่ย

ท่านพ่อโจวฟังแล้วก็ไม่มีความเห็นใด ๆ

จากนั้นท่านแม่โจวก็เอ่ยเสียงแผ่ว “เรายังต้องประหยัดเงินเผื่องานแต่งของเจ้าใหญ่ เจ้ารอง และเจ้าสามอีกนะ ดูจากการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยของแม่เจ้าใหญ่แล้ว พวกเขาคงเก็บเงินไว้ได้ไม่มากหรอก จะทำอย่างไรล่ะหากเด็กชายพวกนั้นต้องแต่งงาน?”

ถึงจุดนี้เอง ท่านพ่อโจวก็ยังไม่พูดอะไร

ก็จริงอยู่ที่ลูกสาวของเขาไม่ขัดสนอะไร งั้นก็เหลือเงินไว้ให้เจ้าใหญ่กับน้อง ๆ แล้วกัน

คู่สามีภรรยาชราเมินสะใภ้รองเสีย หล่อนเป็นคนแรกที่เริ่มลงมือต่อสู้ก่อน ทุกคนเห็นหล่อนผลักอกสะใภ้สี่ก่อน แล้วจะโทษใครได้ล่ะตอนที่อีกฝ่ายจับหล่อนทุ่มลงกับพื้น?

แต่สะใภ้รองจะปล่อยให้เรื่องผ่านไปง่าย ๆ แบบนี้ได้หรือ? เมื่อพี่ชายรองกลับมาจากข้างนอกบ้าน เขาก็เห็นภรรยานอนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดอยู่บนเตียงเตา

“คุณร้องแบบนั้นทำไมน่ะ?” พี่ชายรองถาม

“ให้ตายสิ! ภรรยาคุณถูกทำร้ายแทบปางตายแต่คุณหายหัวไปไหนมา!” สะใภ้รองตวาดในทันที

พี่ชายรองถึงกับตะลึงไป “ถูกทำร้าย! ใครมันกล้าทำร้ายคุณน่ะ?”

“เป็นสะใภ้สี่ค่ะ หลินชิงเหอทำร้ายฉัน!” สะใภ้รองเอ่ยพลางขบฟันกรอด

“คุณล้อผมเล่นหรือเปล่าเนี่ย” พี่ชายรองย่นคิ้ว “ทำไมคุณถึงสู้หล่อนไม่ได้ล่ะ? หล่อนดูอ้อนแอ้นขนาดนั้นจะไปรู้จักต่อสู้ได้ยังไง? คุณผลักสองทีหล่อนก็แพ้แล้ว”

สะใภ้รองโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ “คุณอยู่ข้างไหนกันแน่คะ? หลินชิงเหอทำร้ายฉัน คุณพ่อ คุณแม่ สะใภ้คนอื่น ๆ เห็นอยู่กับตา ถ้าคุณไม่เชื่อฉันก็ถามพวกเขาได้ ฉันจะบอกคุณให้นะโจวชิงหลิน เรื่องระหว่างหลินชิงเหอกับฉันไม่จบง่าย ๆ หรอก ถ้าครอบครัวตระกูลหลินกับตระกูลโจวไม่รับผิดชอบเรื่องนี้ ฉันก็จะกลับไปที่บ้านแม่ของฉันเพื่อไปฟ้องพี่ชายทุกคน พี่ชายของฉันต้องไม่พอใจแน่ที่เห็นฉันถูกทำร้ายแบบนี้!”

พี่ชายรองย่นคิ้ว เขาจึงออกจากห้องมาถามสะใภ้ใหญ่กับสะใภ้สาม “พี่สะใภ้ใหญ่ น้องสะใภ้สาม เกิดอะไรขึ้นครับ? แม่ของซานนีจู่ ๆ ถึงคิดวู่วามจะกลับไปที่บ้านแม่ได้”

“พูดตามตรงนะจ๊ะ ในเรื่องนี้เป็นแม่ของซานนีที่ผลักแม่เจ้าใหญ่ก่อนจ้ะ” สะใภ้ใหญ่ตอบตรงไปตรงมา

“ในตอนนั้นทั้งคุณพ่อกับคุณแม่ก็อยู่ด้วย พี่สะใภ้รองเป็นคนผลักแม่เจ้าใหญ่ก่อน จากนั้นแม่เจ้าใหญ่ก็เลยจับหล่อนทุ่มข้ามบ่าฟาดกับพื้นค่ะ” สะใภ้สามเอ่ยเสริม

“จับทุ่มข้ามบ่าเลยเหรอ?” พี่ชายรองถึงกับตะลึง

“เดาว่าน้องเขยสี่น่าจะเป็นคนสอนน่ะค่ะ” สะใภ้สามตอบ

“มีอะไร? เมียแกฟาดงวงฟาดงาอะไรอีก?” ในตอนนี้เองท่านแม่โจวก็ออกมาจากห้องและมองลูกชายคนรอง

“แม่ครับ แม่ของซานนีตอนนี้กำลังโวยวายว่าอยากกลับไปที่บ้านแม่เพื่อไปหาพี่ชายให้มาทวงความยุติธรรมน่ะครับ” พี่ชายรองรีบอธิบายในทันที

“อย่างนั้นเหรอ งั้นกลับไปเลย! ให้มันรู้กันไปว่าครอบครัวตระกูลโจวของฉันข่มเหงรังแกง่ายไหม ไป…เธอกลับไปตอนนี้เลย!” เมื่อท่านแม่โจวได้ยินดังนี้ ใบหน้าของนางก็ขรึมลงก่อนจะตะโกนใส่ประตูห้องสะใภ้รอง

“คุณแม่ ฉันถูกทำร้ายแบบนี้แต่คุณแม่ก็ยังเข้าข้างหล่อนเหรอคะ เราไม่ใช่สะใภ้ของคุณแม่เหรอ?” สะใภ้รองตอบกลับอย่างเกรี้ยวกราด

“งั้นฉันขอถามเธอกลับแล้วกัน เรื่องวันนี้ที่เธอโดนจับฟาดมา ใครกันแน่ที่เป็นคนเปิดปากหาเรื่องก่อน? ใครกันแน่ที่ลงมือก่อนในวันนี้?” ท่านแม่โจวถาม

สะใภ้รองได้ยินก็เงียบไป

“อย่าว่าแต่โพนทะนาให้อาสองฟังเลย ต่อให้เธอไปตามพวกพี่ชายเธอในตระกูลเฉินมา ฉันก็ทำให้พวกเขาหางจุกตูดกลับไปได้ เธอพูดก่อน แล้วเธอก็ยังลงมือก่อน เธอสู้หล่อนด้วยวาจาไม่ได้ก็เลยลงไม้ลงมือ เธอใช้กำลังกับหล่อนแล้วยังคิดว่าตัวเองถูกอีกหรือไง? ถ้าไม่พอใจนักก็เก็บข้าวเก็บของกลับไปอยู่บ้านตระกูลเฉินของเธอซะ แล้วให้แม่ของเธอมาคุยกับฉัน ฉันจะได้ถามสักทีว่าหล่อนเลี้ยงดูลูกสาวของตัวเองประสาอะไร!” ท่านแม่โจวสวดต่อ

ถึงตอนนี้แล้วสะใภ้รองก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อ

“อาสองกลับไป จับตาดูเมียแกให้ดี ๆ หล่อนเอาแต่พูดเพ้อเจ้อไปเรื่อยจนเรื่องอื่น ๆ จะไม่พัฒนาอยู่แล้ว” ท่านแม่โจวหันมาตำหนิลูกชายคนรองเช่นกัน

พี่ชายรองพุ่งตัวเข้าไปในห้องด้วยความขายหน้า จากนั้นก็ฮึดฮัดใส่ภรรยา “คุณทำผิดแล้วยังจะทำอะไรอีก? เห็นไหมว่าคุณทำให้ผมโดนคุณแม่ดุด่า”

สะใภ้รองได้ยินก็หมุนตัวและระเบิดร้องไห้ฟูมฟายอย่างเกรี้ยวกราด

ไม่ยุติธรรมเลย! หล่อนโดนทำร้ายร่างกาย ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นความผิดของหล่อนงั้นเหรอ!?

ฝ่ายหลินชิงเหอนั้นเตรียมพร้อมรับมือหากสะใภ้รองจะมาจับผิดเรื่องเธอกับบ้านฝั่งแม่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครมาหาหลังจากนั่งรอมาทั้งบ่าย ดูจากท่าทางแล้วท่านแม่โจวคงจะกำราบหล่อนไว้

วันต่อมาหลินชิงเหอก็ให้โจวชิงไป๋ออกไปเก็บฟืน

แม้ในบ้านของพวกเขาปีนี้จะมีเชื้อเพลิงมากเหลือเฟือ แต่มันก็ยังไม่พอ เธอยังต้องการฟืนมากกว่านี้

มีจักรยานแล้วก็เป็นเรื่องง่ายที่จะปั่นขึ้นเขาไปหาฟืนและขนกลับมาสองมัด

เพราะว่าโจวชิงไป๋อยู่ที่บ้าน โจวต้งจึงไม่ต้องทำหน้าที่นี้อีก ปีนี้โจวต้งกับโจวซีมีอาหารสะสมที่บ้านอยู่เยอะเช่นกัน ซึ่งนับว่าพอกินแล้ว

โจวชิงไป๋ยังไม่รู้เรื่องที่ภรรยาของเขาทำร้ายร่างกายคนอื่น แต่ที่บ้านเหลือฟืนอยู่น้อยแล้วจริง ๆ เขาจึงออกไปหาฟืนหลังทานอาหารเช้าเสร็จ

หลินชิงเหอเริ่มนึ่งมันหวานเพื่อเตรียมทำหมั่นโถวมันหวาน

ครั้งนี้ในบ้านมีมันหวานอยู่เป็นจำนวนมาก ช่างเหมาะเจาะกับการทำหมั่นโถวมันหวานพอดี ทุกวันนี้อากาศเย็นลงเรื่อย ๆ และวันนี้มันก็อุ่นขึ้นเล็กน้อย จึงไม่ต้องกังวลเลยว่ามันจะเสียหากทำไว้เยอะเกินไป

เหตุผลหลักที่ทำหมั่นโถวมันหวานก็คือพวกเด็ก ๆ ไม่ชอบกินมันหวานเปล่า ๆ

แต่ในบ้านก็มีมันหวานอยู่เยอะมาก ใครจะรู้ว่าเธอกับโจวชิงไป๋ต้องกินกี่วันถึงจะหมด มันจึงดีกว่าหากจะเปลี่ยนมันให้เป็นหมั่นโถวมันหวาน เพราะพวกเด็ก ๆ กินหมั่นโถวมันหวานได้ง่ายกว่า

โจวชิงไป๋ขี่จักรยานออกไปหาฟืนตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าและทำงานอยู่จนกระทั่งสิบเอ็ดโมงครึ่ง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่หลินชิงเหอทำหมั่นโถวมันหวานจำนวนมากเสร็จพอดี

“แม่ครับ ทำไมแม่ถึงทำหมั่นโถวมันหวานไว้เยอะจังเลยครับ?” เจ้าใหญ่อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น

“ทั้งเช้านี้ลูกทำอะไรอยู่? เจ้ารองกับเจ้าสามยังรู้จักช่วยก่อไฟกับให้อาหารไก่เลย ส่วนลูกไม่ได้ทำอะไรแต่วิ่งออกไปเล่นตามใจตัวเองใช่ไหม?” หลินชิงเหอสั่งสอน

“ผมไม่รู้จริง ๆ ครับ แต่ครั้งหน้าผมจะช่วยงานแน่นอน” เจ้าใหญ่รับผิดอย่างตรงไปตรงมา

“ถึงลูกจะยอมรับผิด แต่ความผิดพลาดมันก็เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นเจ้ารองกับเจ้าสามจะได้ลูกอมกันคนละเม็ด ส่วนลูกจะไม่ได้ ลูกมีอะไรจะบ่นไหม?” หลินชิงเหอแจกนมอัดเม็ดคนละเม็ดให้เจ้ารองกับเจ้าสามขณะมองเจ้าใหญ่

“ไม่มีครับ” เจ้าใหญ่เหลือบมองและหัวเราะร่า

“ยิ้มได้น่าหมั่นไส้นักนะ ไม่ได้รู้สึกจริงจังอะไรเลย” หลินชิงเหอถลึงมองเขาและไม่ว่าอะไร

พอถึงเที่ยงพวกเขาก็ทานหมั่นโถวมันหวานกัน โดยมีกับข้าวเป็นไส้หมูผัดผักดอง และเนื้อหัวหมูตุ๋น

ยังไม่จบแค่นั้น ในวันนั้นยังมีตุ๋นกระเพาะหมูกับงาอีกด้วย แต่เนื้อส่วนที่เหลือไม่ได้เอามาทำอาหาร มันจึงยังเหลืออยู่มาก

นอกจากนี้หลินชิงเหอยังต้มน้ำข้าวไว้กินเพื่อประหยัดน้ำดื่มอีกด้วย

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ท่านแม่โจวออกโรงฟาดแล้วค่ะ ดอกเดียวแบบจุก ๆ ทีนี้สะใภ้รองยังจะกล้าไปฟ้องบ้านแม่อีกไหมคะ

อยากทำหมั่นโถวมันหวานดูจังเลยน้า ท่าทางน่าจะน่ากินนะคะ

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

Status: Ongoing

<strong>*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน</strong>

<strong>จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 …</strong>

<strong>ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย</strong>

<strong>ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…</strong>

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท