ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม – บทที่ 547 ประวัติดีและมาตรฐานสูง

บทที่ 547 ประวัติดีและมาตรฐานสูง

บทที่ 547 ประวัติดีและมาตรฐานสูง

“ไม่ใช่พยาบาลทุกคนจะเป็นนางฟ้าชุดขาวหรอกนะคะ เมื่อก่อนหนูพาหย่าหย่าไปก็เจอพยาบาลแสดงอารมณ์ฉุนเฉียวใส่ พูดไม่กี่ประโยคก็ทำเป็นรำคาญแล้ว” โจวเสี่ยวเหมยพูด

ท่านแม่โจวพูด “ถ้าเจ้าใหญ่คิดว่าดีอย่างไรก็ต้องดีอยู่แล้ว”

“ใช่ค่ะ ไม่อย่างนั้นพี่สะใภ้สี่คงไม่ตอบตกลง ว่าแต่ตอนนี้พวกเธอสองคนอยู่ขั้นไหนกันแล้ว ทำไมยังไม่พามาหาปู่กับย่าอีก?” โจวเสี่ยวเหมยพูด

“ยังมีปู่บุญธรรมด้วยอีกคนนะ” ท่านแม่โจวพูดเสริม

“คือว่า วันที่สามแม่ผมจะต้มไก่ในกระเพาะหมู เดี๋ยวตอนนั้นจะเรียกหล่อนมากินด้วยกัน งั้นวันนั้นผมให้หล่อนมานั่งเล่นที่นี่แล้วกันครับ” โจวข่ายเห็นปู่ย่าและปู่บุญธรรมของเขาดูมีความสุขมากจึงเอ่ยออกมา

ตอนนี้เขากับเวิงเหม่ยเจี่ยถือว่าได้สัญญาหมั้นหมายกันแล้ว ดังนั้นพามาหาก็ถือว่าเป็นเรื่องสมควร เขาเองได้เจอญาติทางนั้นของเหม่ยเจี่ยแล้ว ก็ควรจะพาเหม่ยเจี่ยมาแนะนำกับผู้หลักผู้ใหญ่ทางนี้เช่นกัน

เขาเข้าใจในสิ่งที่เวิงกั๋วเหลียงพูดกับเขา ต่อให้ถูกคุณแม่เวิงขวางไว้ แต่เขาก็ยังคงแสดงทัศนคติของตัวเองด้วยไม่ใช่หรือ?

โจวเสี่ยวเหมยพูดด้วยรอยยิ้ม “ต้มไก่ในกระเพาะเป็นอาหารที่พี่สะใภ้สี่ถนัด เธอต้องกินเยอะ ๆ พี่สะใภ้สี่เห็นเธอกลับมาหรอกนะหล่อนถึงทำ”

“คุณแม่เป็นห่วง กลัวว่าผมอยู่ข้างนอกแล้วจะหิว เลยคิดวิธีมาบำรุงน่ะครับ” โจวข่ายพูดยิ้ม ๆ

หลังพูดคุยกันอยู่สักพัก เสียงด้านนอกก็ดังลอดเข้ามา ซึ่งมันเป็นเสียงของสวี่เชิ่งเฉียง

บรรยากาศพูดคุยอันชื่นมื่นเมื่อก่อนหน้าพลันหยุดชะงักลง

ท่านแม่โจวใบหน้าดำทะมึน “เขาจะมาที่นี่ทำไม จะมาเพิ่มความอึดอัดใจให้คนอื่นหรือไง?”

“เดี๋ยวผมออกไปดูให้ครับ” โจวข่ายพูด

เขาออกมาแล้วยืนอยู่หน้าสวี่เชิ่งเฉียงที่ยืนต่อหน้าโจวข่ายแล้วรู้สึกเหมือนจะว่าง่ายขึ้นมาทันที พอเห็นแล้วเขาก็พูดออกมาตรง ๆ อย่างไม่อ้อมค้อม “ผมรู้ว่าคุณตาคุณยายไม่อยากเจอผม ผมก็จะไม่เข้าไปแล้ว นี่คือของขวัญปีใหม่ที่ผมเตรียมเอาไว้ให้คุณตากับคุณยาย”

เขาไม่อยากจะเข้าไปจริง ๆ ซึ่งที่จริงแล้วเขามากับจางเหมยเหลียนที่ตอนนี้หล่อนหลบหน้าไปบ้านตระกูลจาง และเป็นจางเหมยเหลียนที่บังคับให้เขาต้องมา อีกอย่างเขาเองก็ไม่อยากไปบ้านตระกูลจางด้วยเช่นกัน

เนื่องจากอยู่ข้างบ้านกัน เป็นไปได้หรือที่จะไม่พบเจอกันเลย?

เขาเองก็ไม่อยากมาที่นี่เหมือนกัน แต่พี่สาวบอกเขาว่าอย่างไรก็ต้องมาให้ได้ หล่อนบอกว่าถ้าเขาไม่มาหาแล้วจู่ ๆ ทางนั้นหยุดส่งเสื้อผ้ามาให้จะทำอย่างไร?

ที่จริงสวี่เชิ่งเฉียงก็เคยไปหาแหล่งผลิตเสื้อผ้าอื่น ๆ เหมือนกัน แต่คุณภาพเสื้อผ้าจากโรงงานพวกนั้นค่อนข้างจะธรรมดา แบบเสื้อก็ไม่น่าดึงดูดใจ เขาจึงจำต้องรับเสื้อผ้าจากหวังหยวนไปขายต่อไป

และร้านขายเสื้อผ้าก็ได้กำไรดีมากเช่นกัน ไม่นานเขาก็สามารถทำกำไรได้ 2,000 หยวนแล้ว หากนับรวมกับก่อนหน้านี้ เขากับจางเหมยเหลียนก็มีเงินเก็บ 3,000 กว่าหยวน นี่เป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลย

แม้เขาไม่เต็มใจจะมา แต่เขาก็ทำได้เพียงเอาของมาให้ที่นี่แล้ว

โจวข่ายรับของมาแล้วพูดตอบ “งั้นฉันจะเอาเข้าไปให้”

สวี่เชิ่งเฉียงพยักหน้าแล้วจากไป ส่วนโจวข่ายถือของเข้ามาแล้วพูดขึ้น “เชิ่งเฉียงเอามาให้น่ะครับ”

“ยังไงฉันก็ไม่สนใจเขาหรอก แต่งงานกับผู้หญิงแบบนั้นไป ชีวิตนี้ทั้งชีวิตเขาคงไม่มีความสุขแล้วล่ะ” ท่านแม่โจวพูด

“ปีใหม่เขาอุตส่าห์เอาของมาให้ทั้งที คุณแม่อย่าพูดอย่างนี้เลยค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยพูด

“ฉันจะไม่พูดถึงเขาแล้ว เสียอารมณ์ เจ้าใหญ่เธอพาแฟนมาที่นี่แล้วก็พามากินข้าวที่นี่เลยสิ” ท่านแม่โจวพูด

“หล่อนทำกับข้าวไม่เป็น คุณย่าอย่ารังแกหล่อนนะครับ” โจวข่ายยิ้ม

“ทำกับข้าวไม่เป็นก็ต้องหัดทำสิ ไม่งั้นจะทำเป็นได้ยังไง?” ท่านแม่โจวอึ้งไปสักพักก่อนจะพูดขึ้น

“ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่เลยค่ะคุณแม่ เจ้าใหญ่ทำกับข้าวเป็นนะคะ อีกอย่างหล่อนมีงานมีการต้องทำ ทำงานก็ยุ่งขนาดนั้นจะมีเวลาไปเดินตลาดซื้อของทำกับข้าวหรือคะ” โจวเสี่ยวเหมยพูดออกมาตรง ๆ

เมื่อก่อนตอนที่หล่อนอยู่ในอำเภอตอนที่ยังมีงานทำและอยู่ด้วยกันกับซูต้าหลิน ก็เป็นซูต้าหลินที่เป็นคนทำอาหาร หล่อนทำงานกลับมาก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ไม่ว่าอะไรหล่อนก็ไม่อยากจะทำทั้งสิ้นอยากจะรอกินอย่างเดียว

“แต่เจ้าใหญ่ก็งานยุ่งเหมือนกันนะ” ท่านแม่โจวพูด

“โรงอาหารของพวกเราที่นั่นไม่เลวเลยครับ ในหนึ่งสัปดาห์ก็จะเปลี่ยนรายการอาหารครั้งหนึ่ง ถ้าตอนนั้นผมมีเวลาว่างผมจะเป็นคนทำอาหารเอง ถ้าไม่มีเวลาก็กินข้าวที่โรงอาหารได้ครับ” โจวข่ายพูด

ท่านแม่โจวพูด “กินข้าวที่โรงอาหารตลอดใช้ได้ที่ไหน? ขนาดย่ายังทำกับข้าวเอง อยากกินอะไรก็ได้กิน”

“แค่ทำงานที่นั่นก็ไม่มีเวลาแล้วนะคะ คุณแม่จะให้เขาทำยังไง ไม่อย่างนั้นก็เปลี่ยนเป็นคนอื่นไหมล่ะคะ?” โจวเสี่ยวเหมยพูด

“เปลี่ยนอะไรล่ะ ประวัติดีแบบนี้แค่ได้ยินฉันก็ชอบแล้ว” ท่านแม่โจวจ้องหล่อนเขม็ง

“อย่าไปฟังคุณย่าของเธอเลย อายุเยอะแล้วชอบจู้จี้จุกจิก พวกเธอมีความสุขดีก็พอแล้ว” โจวเสี่ยวเหมยพูด

ท่านแม่โจวมองค้อนหล่อนหนึ่งที แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก และเปลี่ยนเรื่องมาพูดเรื่องของซื่อนีแทน

“ซื่อนียัยเด็กคนนี้หล่อนอยากจะกลับไปแต่งงานที่ชนบท บอกว่าอยากจะแต่งงานใกล้ ๆ บ้านแม่ ฉันรู้สึกไม่ค่อยอยากจะให้หล่อนกลับไปเท่าไหร่เลย” ท่านแม่โจวพูด

“คุณแม่ไม่อยากให้ซื่อนีกลับไปเห็นทีว่าจะไม่ง่ายนะคะ ที่นี่ไม่มีใครเหมาะสมที่จะแต่งงานกับหล่อนเลย” โจวเสี่ยวเหมยพูด

“นั่นหาไม่ง่ายเลย” ท่านแม่โจวพูด แน่นอนว่าถ้าได้คนเหมือนกับย่าเฒ่าจูข้างบ้านนั่น ไม่แต่งยังจะดีเสียกว่า ทางนั้นชอบเอาแต่คุยโวว่าถ้าหลานสาวของนางได้แต่งกับหลานชายของหล่อนแล้วจะโชคดีเสียเต็มประดา ให้หลานสาวของนางอยู่แบบนี้แหละดีแล้ว

“เมื่อวานคนที่มาส่งซื่อนีเป็นใครหรือ?” จู่ ๆ ท่านแม่โจวก็ถามขึ้น

“ใครหรือคะ” โจวเสี่ยวเหมยถาม

ท่านแม่โจวพูด “เมื่อวานมีหนุ่มคนหนึ่งขี่จักรยานพาซื่อนีกลับมาส่ง ฉันออกมาเห็นพอดี”

ชายหนุ่มคนนั้นยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็พยักหน้าให้หล่อนแล้วก็ขับจากไป

โจวเสี่ยวเหมยมองโจวข่าย โจวข่ายจึงพูดว่า “นั่นเป็นพี่ชายใหญ่ของเหม่ยเจี่ยครับ คุณย่าเลิกคิดไปได้เลย ประวัติเขาดีมากมาตรฐานก็สูงมากเช่นกัน”

โจวข่ายรู้สึกว่ามาตรฐานของเวิงกั๋วต้งนั้นสูงมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงยังโสดมาจนถึงทุกวันนี้

“อ๋อ เรื่องย้ายทะเบียนบ้าน พี่สะใภ้สี่ก็วานให้เขาเป็นคนทำเองสินะ” โจวเสี่ยวเหมยนึกขึ้นได้ก็พูดขึ้นมา

“ตอนนี้พี่ใหญ่เขาทำงานที่นั่นน่ะครับ” โจวข่ายพยักหน้าพูด

ท่านแม่โจวดวงตาเป็นประกาย “ตำแหน่งงานเขาไม่เลวเลยนะ”

ชายหนุ่มคนนั้นช่างดูภูมิฐาน ร่างกายสูงใหญ่แล้วก็ดูเป็นคนเรียบง่าย อย่านึกว่าเมื่อวานนางดูเพียงครู่เดียวแล้วจะไม่เห็น แค่นั้นนางก็พอจะเดาออกไม่น้อย

เดิมทีอีกฝ่ายก็ดูท่าจะไม่เลว พอได้ยินตำแหน่งหน้าที่การงานของเขาแล้ว นั่นยังมีอะไรต้องพูดอีกหรือ นางพอใจที่สุดเลย

“คุณแม่อย่าฟังเจ้าใหญ่มากค่ะ มาตรฐานพ่อหนุ่มคนนั้นสูงมาก” โจวเสี่ยวเหมยพูดอย่างจำใจ

“แล้วอย่างไร? ซื่อนีก็ไม่ได้ด้อยเหมือนกัน หญิงสาวที่ทำงานคล่องแคล่วขนาดนี้ อีกอย่างปีหน้าซื่อนีก็จะไปทำงานกับสะใภ้สี่แล้วด้วย เดี๋ยวหล่อนก็จะมีเงินเดือนเป็นของตัวเอง มีอะไรด้อยกว่าตรงไหน?” ท่านแม่โจวพูด

วันนี้ซื่อนีไม่อยู่บ้าน หล่อนออกไปเดินเล่นกับโจวเฉวี่ยน กังจือ และโจวกุยหลาย ซึ่งโจวกุยหลายยังพกกล้องถ่ายรูปออกไปด้วย

“เขาอายุเท่าไหร่? เงินเดือนเท่าไหร่?” ท่านแม่โจวถาม

“ยี่สิบแปดมั้งครับ เงินเดือนผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ดูเหมือนจะมีประมาณร้อยกว่าหยวน” โจวข่ายพูด

“งั้นก็ไม่เลว อายุก็ไม่ถือว่าเยอะ อายุมากหน่อยก็ดีเหมือนกัน จะได้ดูแลหล่อนได้” ท่านแม่โจวพูด

โจวข่ายยกมือกุมหน้าผาก โจวเสี่ยวเหมยก็ไม่คิดจะพูดอะไรเช่นกัน ตอนนี้ต่อให้พูดอะไรไปแม่ของหล่อนก็ไม่ฟังแล้ว

เนื่องจากเย็นนี้พวกเขารอให้หลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋มาพูดคุยที่นี่ ฝ่ายหลินชิงเหอยังไม่ได้พูดเรื่องอะไร ท่านแม่โจวก็เรียกให้เธอมาฟัง

หลินชิงเหอมุ่นคิ้ว “คุณแม่รู้จักเวิงกั๋วต้งได้ยังไงคะ”

“เมื่อวานไม่ใช่ว่าเขามาส่งซื่อนีหรอกหรือ ตอนนั้นฉันออกมาเห็นเข้าพอดีน่ะ” ท่านแม่โจวพูด

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ท่านแม่โจวกู่ไม่กลับแล้วค่ะ ตื่นเต้นจัดที่จะได้ว่าที่หลานสะใภ้กับหลานเขย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

Status: Ongoing

<strong>*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน</strong>

<strong>จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 …</strong>

<strong>ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย</strong>

<strong>ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…</strong>

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท