เจาะเวลาสู่ต้าถัง – ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ ตอนที่ 56 บังคับให้เป็นหัวขโมย

ส่วนที่ 9 บัวพ้นน้ำ ตอนที่ 56 บังคับให้เป็นหัวขโมย

หลานหลิงเป็นเด็กฉลาดจริงๆ ผ่านไปไม่นานนางก็ไปหาแม่นมและสาวใช้ของตัวเองสี่คน ขอร้องให้อวิ๋นเยี่ยทำให้ดูอีกครั้ง อวิ๋นเยี่ยหัวเราะแล้วก็ลงมือทำอีกครั้ง งานที่เรียบง่ายเช่นนี้ แทบจะไม่ต้องใช้เทคนิคอะไรมากมาย ผู้ใหญ่คนหนึ่งพาเด็กผู้หญิงห้าคนทำลูกอมนมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว รสชาติดูเหมือนว่าจะอร่อยกว่าที่อวิ๋นเยี่ยทำเสียอีก ต้าถังไม่เคยขาดแคลนยอดฝีมือในการทำอาหารจากนมอยู่แล้ว

ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกสาวน้อยจะทำเช่นไร ครอบครองตลาดของพระราชวังก่อนแล้วค่อยพัฒนาไปตลาดอื่นก็คงจะไม่ใช่เรื่องยุ่งยากเท่าไรนัก ขอแค่มีก้าวแรก พลังแห่งความปรารถนาและต้นทุนจะบังคับให้นางก้าวออกไปทีละก้าว สุดท้ายก็จะกลายเป็นบริษัทลูกอมขนาดใหญ่ เห็นได้ว่าหลานหลิงมีศักยภาพในด้านนี้อย่างชัดเจน

กลับมาถึงเขาอวี้ซัน อวิ๋นเยี่ยไม่ได้เข้าไปในบ้านแต่กลับเดินไปที่ห้องยาของซุนซือเหมี่ยว ทำความสะอาดตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่ที่นั่นและแช่น้ำต้นหลิวก่อนกลับบ้าน เขายังมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับเชื้อโรคของซุนซือเหมี่ยวอยู่บ้าง

เมื่อเข้าไปในประตูแล้วก็เห็นช่างไม้และลูกศิษย์กำลังแบกไม้อย่างดีกลับไปยังห้องทำงานที่สวนหน้าบ้าน พวกเขาเห็นว่าท่านโหวกลับมาจึงพากันวางไม้ในมือลงและโค้งคำนับท่านโหวอย่างนอบน้อม

“ไม้ไม่เลวเลยทีเดียว จะเอาไปทำอะไรกัน”

“กราบเรียนท่านโหว ชื่อเสียงของรถเข็นเด็กตระกูลเราโด่งดังออกไปทั่ว สองสามวันมานี้ข้าน้อยทำรถเข็นอยู่ตลอด พึ่งจะส่งไปให้ตระกูลเอ้อกั๋วกงสามคัน ตอนนี้จวนของหั่วกั๋วกงส่งวัสดุมาให้ บอกให้ตระกูลเราทำให้เขาสามคัน ร้านเผียนอี้ฟางยังสั่งซื้อจากข้าน้อยอีก บอกว่าหนึ่งเดือนขอห้าสิบคัน ท่านโหวท่านดูสิ ตระกูลของเรายุ่งขนาดนี้ ใครจะมีเวลาไปสนใจพวกพ่อค้า”

“โง่จริงๆ เจ้าสอนลูกศิษย์สักสองสามคนก็ได้ ให้พวกเขาทำให้ลูกค้า เจ้าทำให้พวกเศรษฐีก็พอ” อวิ๋นเยี่ยกังวลเกี่ยวกับเรื่องไอคิวของคนในตระกูลตัวเองนิดหน่อย

“ท่านโหว ไม่ได้ขอรับ นี่คือฝีมือของตระกูลเรา ไม่ควรส่งต่อให้กับคนนอก ข้าน้อยจะถูกคนอื่นนินทาด่าว่าเอาได้” ช่างไม้กระโดดขึ้นตอบโต้ราวกับถูกตัวต่อต่อย

อวิ๋นเยี่ยนึกขี้เกียจจะสนใจ เขากำลังจะเตะเข้าให้ ซินเย่วก็เข็นอวิ๋นน้อยเดินเข้ามาและพูดกับช่างไม้ว่า “ฝีมือของตระกลูเราช่างยอดเยี่ยม ใครอยากจะได้เงินแค่นั้น ทำให้ตระกูลของเหล่าผู้อาวุโสสองสามคนก็พอแล้ว เหอเซ่าทำเกินไปแล้ว กล้าที่จะเสนอข้อเสนอเช่นนี้ สมควรตีให้ตายนัก”

เห็นลูกชายยิ้มจนน้ำลายไหล ใครจะยังมีอารมณ์ไปสนเรื่องไม้เหล่านั้นได้อีก ตอนนี้เหอเซ่าอ้วนขึ้นจนแทบจะเดินไม่ได้ ทำเก้าอี้เข็นขึ้นมาแล้วให้คนรับใช้สองสามคนช่วยกันเข็น สมควรถูกตีจริงๆ นั่นแหละ

อวิ๋นเยี่ยอุ้มลูกชายออกมาจากรถเข็น นี่คือดวงใจของข้า พึ่งจะได้ใกล้ชิดกับลูกชาย พึ่งจะกัดมืออ้วนๆ ของเขา ก็เห็นเสี่ยวยารีบวิ่งออกมาจากทางสวนหลังบ้าน ปิ่นปักผมหล่นลงมาอยู่ที่หลังหู นางถือขวานมาด้วย ตัดไม้ไผ่ขนาดเท่านิ้วออกมา สับให้มันเป็นสองท่อนแล้ววิ่งกลับไปที่เดิม

ซินเย่วโมโหจนหน้าแดงก่ำ นางจับเสี่ยวยามาตีที่หลังสองที ไม่มีความเป็นผู้หญิงเลยสักนิด เด็กบ้านนอกยังไม่ซนเท่านางเลย

ในเมื่อซินเย่วกำลังสั่งสอนนาง เช่นนั้นอวิ๋นเยี่ยก็ทำเป็นไม่สนใจดีกว่า อุ้มลูกชายขึ้นมาแล้วตั้งใจจะเดินไปหาลูกสาวของตัวเอง เมื่อก้าวมาถึงสวนหลังบ้านเขาถึงกับตกใจ น่ารื่อมู่ยืนอยู่ในบ้านต้นไม้ ยื่นหัวออกมาจากหน้าต่างเล็กๆ แลบลิ้นให้กับพวกเด็กๆ ที่อยู่ข้างล่าง แล้วยังเอาบันไดขึ้นไปเก็บไว้ข้างบนอีกต่างหาก พวกเด็กๆ ที่อยู่ใต้ต้นไม้พากันประณามน่ารื่อมู่ด้วยความโกรธเคือง น่ารื่อมู่ชอบอกชอบใจเป็นอย่างมาก แล้วนางยังเอาลูกสาวออกมาอวดอีกต่างหาก

อวิ๋นเยี่ยกำลังตกใจ แต่ซินเย่วกลับเป็นบ้าไปแล้ว สั่งให้น่ารื่อมู่ลงมาจากต้นไม้ หลังจากเอาลูกสาวยัดเข้าไปในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ยแล้วก็หันไปบิดหูของน่ารื่อมู่ ก่อนจะตีเข้าที่หลังอย่างแรง เด็กสองสามคนที่กำลังหัวเราะ ทำเช่นนั้นได้เพียงไม่นาน ความโชคร้ายของตัวเองก็มาถึง ซินเย่วใช้ไม้ไผ่ที่เสี่ยวยาพึ่งตัดออกมาเมื่อครู่สั่งสอนพวกนาง ทันใดนั้นสวนดอกไม้ก็เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ระงม เหล่าป้าๆ น้าอาก็พากันยื่นหน้าออกมาจากห้อง จากนั้นก็กลับไปเล่นไพ่นกกระจอกกันต่อ ดูเหมือนว่าเรื่องแบบนี้จะกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

ช่างเป็นครอบครัวที่กลมกลืนเสียจริง แต่ว่าตี๋เหรินเจี๋ยไปไหนแล้ว บ้านต้นไม้ก็มีแค่หลังเดียว หันหลังกลับไปมอง ก็เห็นตี๋เหรินเจี๋ยนั่งอยู่บนบ้านต้นไม้คนเดียวพร้อมกับถือหนังสืออยู่ในมือ เขาส่ายหัวแล้วอ่านหนังสือต่อ ฮันฮันตัวอ้วนนอนอยู่ข้างใต้บริเวณรากต้นไม้ เอาตัวถูกับต้นไม้ไปมา ไขมันบนใบหน้าเยอะจนแทบจะมองไม่เห็นดวงตาเสียแล้ว เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยเดินเข้ามา มันพยายามลุกยืนขึ้นอย่างยากลำบาก แล้ววิ่งสะบัดก้นไปขอความช่วยเหลือจากเสี่ยวยาทันที

อยากจะฆ่าหมูตัวนี้เอาเนื้อมากินตั้งนานแล้ว แต่เสี่ยวยาไม่ยอม มีบ้านไหนเลี้ยงหมูเกินสามปีบ้างล่ะ ตอนนี้น้ำหนักตัวมันปาเข้าไปห้าร้อยกิโลกรัมเข้าไปแล้ว ท่านย่าเองก็ไม่อนุญาตให้ฆ่ามันเช่นเดียวกัน บอกแต่ว่าการมีสิ่งมีชีวิตอยู่ในบ้านถือเป็นเรื่องที่ดี แต่มันไม่ดีตรงที่มักมันจะมาขโมยอาหารกินน่ะสิ

บอกให้ตี๋เหรินเจี๋ยเอาลูกชายของตัวเองขึ้นไป ส่วนเขาก็อุ้มลูกสาวแล้วปีนบันไดขึ้นไป ไปดูข้างบนบ้านต้นไม้ และในที่สุดก็ได้รู้สาเหตุว่าเพราะอะไรพวกเด็กผู้หญิงถึงไม่ยอมขึ้นมาที่นี่กันแล้ว

แผ่นไม้เล็กๆ ที่เต็มไปด้วยซากแมลงต่างๆ แล้วยังมีซากของงูอยู่อีก มันอ้าปากกว้าง แค่มองดูก็ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวได้แล้ว ไม่แปลกใจที่เด็กผู้หญิงพวกนั้นไม่กล้าขึ้นมา แม้แต่ซือซือที่มีความกล้าหาญชาญชัยที่สุดก็ยังไม่ชอบอยู่กับงู

“เสี่ยวเจี๋ยเจ้านี่เจ้าเล่ห์จริงๆ” อวิ๋นเยี่ยอุ้มลูกสาวอยู่ในอ้อมแขน ปล่อยให้ลูกชายคลานไปบนพื้นพรม เขาหยิบซากขึ้นมาดูอย่างละเอียด

ตี๋เหรินเจี๋ยเกาท้ายทอยและพูดว่า “ข้าไม่ได้อยู่อย่างเงียบสงบเลย พวกนางชอบมาเล่นในห้องของข้า กระโดดไปๆ มาๆ บนเตียงของข้าแล้วยังใส่เสื้อผ้าของข้า มันช่วยไม่ได้นี่ ข้าก็เลยเอาซากสัตว์ออกมา ตั้งแต่ท่านลุงเป่าจับงูให้ข้าตัวหนึ่งก็ไม่มีใครกล้ามาเหยียบที่นี่อีกเลย”

“รู้จักแก้ปัญหาด้วยตัวเองเป็นเรื่องที่ดี ความจริงข้ารอให้เจ้ามาขอความช่วยเหลือจากข้าอยู่ตลอด แต่เจ้าก็ไม่มา คนที่จัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเองได้ ต่อไปจะต้องจัดการเรื่องใหญ่ๆ ได้แน่นอน เสี่ยวเจี๋ย เจ้าเก่งมาก”

สำหรับเด็กๆ อวิ๋นเยี่ยไม่เคยไม่ยกย่อง ตี๋เหรินเจี๋ยได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างมีความสุข ช่วยอวิ๋นเยี่ยยดึงอวิ๋นน้อยออกมาจากหน้าต่างครั้งแล้วครั้งเล่า

เด็กดีควรได้รับรางวัล เด็กคนนี้ชอบกินลูกชิ้นตุ๋นมากที่สุด วันนี้พอมีเวลาทำให้เขากินอยู่บ้าง พูดไปแล้วตัวเองก็เกิดรู้สึกหิวขึ้นมา อยู่ในภูเขากินอะไรก็ไม่อร่อย นอนก็ไม่ค่อยหลับ ทรมานท้องไส้ไปหมด

มนุษย์เราเมื่อชอบอกชอบใจก็มักจะลืมตัวไปชั่วคราว เมื่อมีลูกชิ้นขนาดใหญ่เท่ากำปั้นสองลูกอยู่ในชามของตี๋เหรินเจี๋ย ตัวเองพึ่งจะกินไปได้คำหนึ่ง ก็เอาไปโอ้อวดที่สวนดอกไม้ เด็กผู้หญิงพวกนั้นและน่ารื่อมู่ถูกฮูหยินใหญ่ลงโทษให้ไปยืนอยู่ใต้ร่มไม้ ขณะที่กำลังบ่นกันอยู่ก็เห็นว่าตี๋เหรินเจี๋ยเดินมาพร้อมกับลูกชิ้นตุ๋น…

ตี๋เหรินเจี๋ยเช็ดน้ำมูกน้ำตาบนใบหน้า หันมามองชามที่ว่างเปล่าของตัวเอง อวิ๋นเยี่ยเอาลูกชิ้นที่เตรียมไว้กินตอนดึกออกมาแบ่งให้เขา คราวนี้ตี๋เหรินเจี๋ยจึงนั่งลงกินอยู่ข้างหน้าอาจารย์ ตีให้ตายก็ไม่มีทางไปที่สวนดอกไม้อีก

เมื่อเข้านอนตอนกลางคืน น่ารื่อมู่นอนบนเตียงของซินเย่วอย่างดื้อดึงไม่ยอมลงมา ปากก็ฟ้องอวิ๋นเยี่ยว่าซินเย่วใช้ไม้เท้าตีนาง แล้วยังเอาหลักฐานมาให้ท่านพี่ดู ซินเย่วโมโหขึ้นมาทันที ตีก้นที่เปลือยเปล่าของนางสองสามที แล้วยังไล่อวิ๋นเยี่ยออกไปข้างนอก บอกว่าวันนี้จะต้องจัดการน่ารื่อมู่ให้ได้…

ครอบครัวก็เป็นเช่นนี้ นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว ดูมีชีวิตชีวาดี จิบเหล้าภายใต้แสงจันทร์คนเดียวช่างได้บรรยากาศ ว่ากันว่าดวงจันทร์ที่ด่านชายแดนของราชวงศ์ฉินและราชวงศ์ฮั่นนั้นช่างน่าหลงใหล ดวงจันทร์ของต้าถังก็สวยงามมากเช่นกัน แขวนอยู่บนยอดเขาราวกับถูกใครตีเข้าให้ ตอนนี้ไม่มีความคิดอะไรพวกนั้น แค่อยากใช้ชีวิตนี้อย่างมีความสุข ขณะนั้นเองก็เห็นว่ามีคนกำลังรำดาบอยู่ ดาบส่องแสงเป็นประกายวูบวาบ ท่วงท่าร่ายรำสง่างาม ทว่าเห็นเพียงแค่แสงเงาแต่มองไม่เห็นตัวคน

เด็กผู้หญิงคนหนึ่งท่องกลอนอย่างแผ่วเบา “หญิงสาวที่งดงาม สวมชุดผ้าลินิน นางคือที่รักของฉีโหว นางคือภรรยาของเว่ยโหว นางคือน้องสาวของรัชทายาท นางคือท่านป้าของสิงโหว ถานกงคือพี่เขยของนาง มือช่างนุ่มนวลราวกับฤดูใบไม้ผลิ ผิวช่างขาวและชุ่มชื้น ลำคอที่งามระหง ฟันที่เรียงสวย หน้าผากอันอวบอิ่ม รอยยิ้มอันแสนหวาน สายตาที่น่าหลงใหล หญิงสาวที่มีรูปร่างสูงสง่า จอดรถม้าอยู่ข้างทาง เห็นม้าที่สง่างามสี่ตัว ด้ายแดงผูกติดกับคอม้า รถม้าขับไปทางห้องโถงที่กำลังวุ่นวาย หมอหลวงที่เกษียณอายุก่อนกำหนด ฮ่องเต้ของยุคนี้ น้ำในแม่น้ำฮวงโหกว้างใหญ่ไพศาลไหลลงสู่ทะเลอย่างรวดเร็ว โยนแหจับปลาลงไป ปลาพากันแหวกว่าย เพื่อนเจ้าสาวทั้งสองฝั่งรูปร่างสูง ชายที่ติดตามก็หล่อเหลา”

เด็กคนนี้คิดว่าคงไม่ได้การแล้ว บอกคนรำดาบออกไปว่าตัวเองต้องการจัดงานแต่งอย่างไร ทว่างานแต่งงานของสนมฉีก็แค่นั้น งานแต่งงานของน้องสาวข้าต้องแข็งแกร่งกว่านางเป็นร้อยเท่าอยู่แล้ว อี้เหนียงกับรุ่นเหนียงเป็นเพียงแค่ลูกพี่ลูกน้อง ตระกูลอวิ๋นจัดงานแต่งให้พวกนางไม่ได้ แต่งานแต่งของต้ายานั้นไม่เหมือนกัน นางคือนายหญิงคนโตของตระกูลอวิ๋นที่แท้จริง นามสกุลอวิ๋นของอี้เหนียงกับรุ่นเหนียง อวิ๋นเยี่ยเป็นคนเพิ่มเข้าไปให้เอง แต่ไม่ถือว่าเป็นเชื้อสายเดียวกัน เข้าไปในห้องบูชาบรรพบุรุษไม่ได้ นี่คือเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แม้แต่ด่านของท่านย่ายังผ่านไปไม่ได้ ตอนที่อี้เหนียงแต่งงาน ท่านย่าพยายามพูดเบี่ยงไปแล้ว ทำให้พวกเศรษฐีพากันหัวเราะเยาะ รุ่นเหนียงเองก็กำลังจะแต่งงาน นางไม่อนุญาตให้อวิ๋นเยี่ยเข้ามายุ่ง อยากจะให้เงินก็ต้องแอบให้อย่างลับๆ เท่านั้น

หากเป็นต้ายาแต่งงาน สิ่งของของตระกูลอวิ๋นก็จะถูกนำออกมาใช้เป็นหน้าเป็นตาให้กับตระกูล หากเจ้าไม่มีค่าสินสอดสักเหรียญ แต่มีสิ่งของของตระกูล ตระกูลของสามีคงจะรู้สึกมีความสุขมากกว่าได้รับเงินไปเสียอีก ดูสิ ตอนนี้เด็กผู้หญิงที่อายุแค่สิบหกก็อยากแต่งงานซะแล้ว เลี้ยงมาตั้งนานแต่กลับมาถูกไอ้หัวขโมยคนนี้ดูดวิญญาณไปแล้ว

เมื่อคิดเช่นนี้เขาก็ตะโกนออกไปที่กำแพงว่า “ฝันไปเถอะ อยากจะแต่งงานเหมือนกับนางสนมฉีก็ไปบอกให้เขาเอาเงินที่ติดหนี้ตระกูลเรามาคืนก่อน แล้วค่อยแต่งออกไป ข้าจะไม่ให้อะไรสักอย่าง จิตใจที่ดีก็ไม่มี มารำดาบตอนกลางคืน รบกวนคนอื่นเขา”

ต้ายาคิดไม่ถึงว่าพี่อวิ๋นของตัวเองจะตะโกนออกมาจากหลังกำแพง นางจึงรีบหลบเข้าไปในห้องทันที รีบล็อกประตูเอาไว้ เวลาผ่านไปไม่นานก็มีใบหน้าที่โมโหของซ่านอิงโผล่ขึ้นมาที่กำแพง ไม่เห็นว่าเขาจะใช้แรงอะไร เขาหมุนตัวเข้ามา แทงดาบอันแวววาวลงไปที่พื้น นั่งลงข้างหน้าอวิ๋นเยี่ย ถือเหล้าไหใหญ่ขึ้นมาดื่ม ส่งเสียงหัวเราะแล้วพูดว่า “ท่านลุง ตระกูลซ่านของข้าก็มีแค่ข้าคนเดียวที่เป็นคนสืบทอดตระกูล ท่านคิดว่าจะให้ต้ายาแต่งเข้ามาเมื่อใดจึงจะเหมาะสม ข้าจะได้ไม่ต้องข้ามกำแพงบ้านท่านไปๆ มาๆ”

“แต่งงานอะไรกัน ตอนนี้เจ้าก็มีแค่สมองที่อยู่บนไหล่ ไม่มีบ้านไม่มีที่ดิน เจ้าจะให้ต้ายาไปเป็นหัวขโมยกับเจ้าอย่างนั้นหรือ เด็กคนนั้นลำบากมาตั้งแต่เด็ก ข้าไม่มีทางปล่อยให้นางต้องทุกข์ทรมานอีก รอให้เจ้ามีบ้าน มีรถ มีเงินแล้วค่อยมาสู่ขอ ให้ข้าได้ดูแลนางอีกสักสองสามปีค่อยว่ากัน”

“ใครบอกว่าข้าเป็นคนยากจน กิจการที่ลั่วหยางใหญ่ขนาดนั้น” ซ่านอิงไม่พอใจเป็นอย่างมาก

“ข้าพึ่งจะดูบัญชีไป ปีที่แล้วเจ้าขายฟืนทำเงินได้หนึ่งร้อยสามสิบสามเหรียญ จากนั้นเจ้าก็ไปสร้างบ้านให้พวกหญิงชราและเด็ก ใช้เงินไปหนึ่งพันแปดร้อยเหรียญ ซึ่งหมายความว่าเจ้าติดหนี้อีกหนึ่งพันหกร้อยกว่าเหรียญ เถ้าแก่มาร้องไห้กับข้า บอกว่าเงินที่เจ้าให้คนพวกนั้นช่างไร้สาระมาก ไม่เช่นนั้นปีที่แล้วก็ได้ต้นทุนคืนแล้ว ตระกูลอวิ๋นจัดประชุมเมื่อปลายปี เขารู้สึกว่าเขาเสียหน้าเป็นอย่างมาก ขอร้องให้พี่สะใภ้ของเจ้าหาคนมีความสามารถคนอื่น เขากำลังจะไปเป็นขอทาน”

“พวกนางยากจนท่านก็รู้”

“แต่เจ้ายากจนยิ่งกว่า เป็นหนี้เป็นสิน แม้แต่ดาบล้ำค่าก็เอาไปจำนำ ตอนนี้แม้แต่แต่งภรรยาเจ้าก็ยังไม่มีเงิน ก่อนจะช่วยคนอื่นควรช่วยตัวเองก่อนเจ้าไม่รู้หรือไง”

“ข้าจะต้องหาเงินมาให้ได้ เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” พูดเสร็จก็ปรบมือ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว

“พี่อวิ๋น เสี่ยวอิงจะเป็นอะไรหรือไม่ เขาจะออกไปปล้นแล้ว” ต้ายารีบออกมาจับมืออวิ๋นเยี่ยจากด้านหลังต้นไม้ด้วยความตกใจ

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

Status: Ongoing
 ถ้ามิใช่เพราะความโลภเป็นเหตุ อวิ๋นเยี่ย หนุ่มช่างเครื่องกลที่กำลังตามหาคนกลางทะเลทรายอยู่ดีๆ ก็คงไม่ต้องตื่นขึ้นมากลางทุ่งหญ้าในร่างเด็กหนุ่มวัยสิบห้า แถมยังทะลุมิติมายุคราชวงศ์ถังอีก!
เมื่อสถานการณ์บังคับให้เขาต้องเอาตัวรอด ความรู้และวิทยาการจากยุคปัจจุบันที่มีจึงเปรียบเสมือนอาวุธติดกาย บุกเบิกเส้นทางชีวิตสายใหม่ นำพาเขาไปสู่ความรุ่งเรืองที่ไม่เคยมีในชีวิตก่อน จนกระทั่งก้าวเข้าสู่วังวนแห่งการชิงอำนาจในราชสำนัก
ทว่าเขากลับหารู้ไม่ว่า ทุกการกระทำของตน กำลังจะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่ราชวงศ์ถัง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท