“ตอนนี้ภูเขาลั่วพั่วยังมีคนน้อย ปัญหาจึงไม่มาก กิจธุระบางอย่างนอกเหนือจากเรื่องภายในบ้าน หากเป็นเรื่องที่ใหญ่หน่อย นายน้อยก็ทำเองแล้ว เรื่องที่เล็กน้อย ยกตัวอย่างเช่นตอบแทนพระคุณเพื่อนบ้านที่ในอดีตเคยช่วยเหลือจุนเจือนายน้อย ปีนั้นแม่นางหร่วนก็ช่วยจัดการให้แล้ว บวกกับร้านทั้งสอง หลังจากที่บ่าวเฒ่ารับช่วงมาทำต่อ ก็แค่ทำไปตามลำดับขั้นตอนที่เคยมีมา ไม่ได้ซับซ้อนอะไร หลายครอบครัวพากันย้ายไปอยู่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียน ได้ดิบได้ดีแล้ว คนบางส่วนก็พูดจาดีๆ ปฏิเสธของขวัญที่บ่าวเฒ่านำไปมอบให้ แต่ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมเยือนช่วงเทศกาลปีใหม่ก็ยังคงมีมารยาทและเกรงใจกัน ส่วนบางคนที่ต่อให้จะมีเงินแล้ว กลับยิ่งไม่รู้จักพอ หากไม่เกินกว่าเหตุ บ่าวเฒ่าก็จะปล่อยเลยตามเลย ตามใจพวกเขาไป ถึงอย่างไรวันหน้าภูเขาลั่วพั่วก็ไม่ติดค้างอะไรพวกเขาอีกแล้ว บางคนที่ทำตัวเป็นสิงโตอ้าปากกว้างก็แค่ไม่ให้ความสนใจก็เท่านั้น ส่วนพวกตระกูลที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังยากจน บ่าวเฒ่าก็ไม่ได้ให้เงินทองอะไรพวกเขาไปมากนัก แต่จะไปให้เห็นหน้าเห็นตากันบ่อยๆ ไปนั่งอยู่ในบ้านของพวกเขา บางครั้งก็เปิดปากถามว่ามีเรื่องอะไรอยากให้ช่วยเหลือหรือไม่ อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็แสร้งโง่”
จูเหลี่ยนพูดจ้อไม่หยุด
หากเข้าใจชีวิตของจูเหลี่ยนในพื้นที่มงคลดอกบัวก็จะรู้ว่าในเรื่องของการจัดการเรื่องราวทางโลก หากเป็นเรื่องใหญ่ก็ใหญ่ถึงราชสำนักและสนามรบ เรื่องเล็กก็เล็กเท่าเรื่องหยุมหยิมในครัวเรือน จูเหลี่ยนล้วนจัดการได้อย่างคล่องมือ เปลี่ยนงานหนักให้เป็นงานเบาได้อย่างสบายๆ
จูเหลี่ยนยิ้มตาหยีมองคนหนุ่มชุดเขียวที่คุ้นเคยกับการคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ คิดเกี่ยวกับทุกผู้ทุกคนตรงหน้าแล้วเอ่ยว่า “นอกจากนี้ก็มีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่ข้าไม่สะดวกจะไปพูดแทนนายน้อย ทำแทนนายน้อย รอให้นายน้อยมาถึงภูเขาลั่วพั่ว ทุกอย่างก็เป็นดั่งควันและเมฆหมอกที่สลายจางหายไปแล้ว นี่คือคำพูดจากใจจริง ดังนั้นนายน้อย ข้ามีคำพูดจากใจจริงจะพูดอีกประโยคหนึ่ง ไม่ว่าจะจากบ้านไปไกลแค่ไหน ท่องเที่ยวอย่างเหน็ดเหนื่อยเจออุปสรรคมากเท่าไหร่ก็ต้องกลับมา ภูเขาลั่วพั่วไม่กลัวที่จะต้องรอคอย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ “แค่นี้ก็เพียงพอมากแล้ว ในอนาคตนายน้อยเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปก็ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงภูเขาลั่วพั่วมากเกินไป มีผู้อาวุโสชุย มีบ่าวเฒ่า ตอนนี้ยังมีพี่ใหญ่เจิ้งเพิ่มมาอีกคน นายน้อยก็ยิ่งไม่ต้องเป็นห่วง”
เฉินผิงอันยังคงพยักหน้ารับ สุดท้ายถามอย่างใคร่รู้ “เหตุใดทุกวันนี้สือโหรวถึงไม่ได้มีท่าทางระแวดระวังและห่างเหินต่อเจ้าเหมือนเมื่อก่อน?”
จูเหลี่ยนยิ้มประจบ “อาจเป็นเพราะสือโหรวเห็นบ่าวเฒ่านานวันเข้าเลยรู้สึกว่าอันที่จริงหน้าตาของบ่าวเฒ่าหาใช่ทนมองไม่ได้ขนาดนั้น? ถึงอย่างไรในอดีตตอนที่บ่าวเฒ่าอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวก็ถูกกล่าวขานว่าเป็นคุณชายหล่อเหลารูปงามดุจดั่งเจ๋อเซียนเชียวนะ”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองจูเหลี่ยน ส่ายหน้ากล่าวว่า “เอาเป็นว่าข้ามองไม่ออกก็แล้วกัน”
จูเหลี่ยนสอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ หัวเราะตาหยีจนไหล่กระเพื่อม ราวกับกำลังหวนนึกถึงช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ในอดีต “นายน้อยท่านรู้หรือไม่ ปีนั้นไม่รู้ว่ามีสตรีในพื้นที่มงคลดอกบัวมากน้อยแค่ไหนที่ต่อให้เพียงแค่เห็นภาพเหมือนของบ่าวเฒ่าแวบเดียวก็ยอมไม่แต่งงานแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เจ้าในอดีตหน้าตาสู้ชุยตงซานที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มได้ไหม?”
จูเหลี่ยนคิดแล้วก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “บอกตามตรง หาใช่บ่าวเฒ่าหลงตัวเองไม่ แต่รูปลักษณ์และเสน่ห์ของบ่าวเฒ่าในปีนั้นล้วนเหนือกว่าเขาทั้งสิ้น”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ถ้าอย่างนั้นก็กวนโอ้ยน่าเตะจริงๆ”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เพราะฉะนั้นบ่าวเฒ่าถึงต้องวิ่งโร่ไปเรียนวรยุทธอย่างไรเล่า ไม่อย่างนั้นก็ต้องกังวลว่าวันใดจะรักษาก้นเอาไว้ไม่ได้”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ครู่หนึ่งกว่าจะเข้าใจความหมายในคำพูดของจูเหลี่ยน เขาไม่ได้หันหน้าไปมองอีกฝ่าย เพียงกล่าวว่า “แน่จริงก็ไปพูดแบบนี้ต่อหน้าผู้อาวุโสสิ”
จูเหลี่ยนแอบหัวเราะสนุกสนานอยู่กับตัวเอง โบกมือกล่าวว่า “นั่นต่างหากที่รนหาที่ตายอย่างแท้จริง”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่รู้ว่าหลูป๋ายเซี่ยง สุยโย่วเปียน เว่ยเซี่ยนสามคน ทุกวันนี้เป็นอย่างไรกันบ้างแล้ว”
สีหน้าของจูเหลี่ยนแฝงไว้ด้วยแววเย้ยหยัน แต่น้ำเสียงกลับเฉยเมย “ต่างคนต่างวิ่งไปบนเส้นทางอนาคตของตัวเอง เก่งกาจไม่แพ้กันเลยน่ะสิ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แอบฟ้องลับหลัง?”
จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “นายน้อยอ่านใจคนได้ทะลุปรุโปร่งประดุจองค์เทพ”
เฉินผิงอันพลันกล่าวว่า “จูเหลี่ยน หากวันใดเจ้าอยากออกไปท่องเที่ยวข้างนอก แค่บอกข้าสักคำก็พอ นี่ไม่ใช่ถ้อยคำที่เอ่ยไปตามมารยาท เพราะเจ้ากับข้าไม่จำเป็นต้องมีมารยาทต่อกันจริงๆ”
จูเหลี่ยนส่ายหน้า “ความปรารถนาดีของนายน้อย บ่าวเฒ่ารับไว้แล้ว แต่บ่าวเฒ่าไม่อยากเดินทางไกลจริงๆ ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวก็เดินทางมามากพอแล้ว เพื่อครอบครัวเพื่อบ้านเมือง เพื่อความกตัญญูเพื่อความจงรักภักดี เหนื่อยมากแล้ว อีกอย่างการเดินทางในยุทธภพครั้งสุดท้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการช่วงชิงระหว่างสิบคนในใต้หล้าของแคว้นหนันเยวี่ยนปีนั้น ก็คือการเดินทางเพื่อตัวข้าเอง ไม่ว่าอย่างไรชีวิตนี้ข้าก็ไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายและเสียใจแล้ว ผู้ที่รู้ตัวเองย่อมลำบากน้อยลง ผู้ที่รู้จักพอย่อมมีความสุข…นายน้อย ประโยคนี้พูดได้ไม่เลวกระมัง สลักไว้บนแผ่นไม้ไผ่ได้หรือไม่?”
แรกเริ่มเฉินผิงอันยังฟังอย่างตั้งใจ ผลกลับถูกประโยคสุดท้ายของจูเหลี่ยนทำลายบรรยากาศ เฉินผิงอันที่หน้าดำทะมึนลุกขึ้นยืน เดินเข้าห้องที่อยู่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่
จูเหลี่ยนเองก็ลุกขึ้นยืน มองส่งเฉินผิงอันจากไป หลังจากอีกฝ่ายปิดประตูลงแล้ว เขาถึงได้นั่งลงไปตำแหน่งเดิมอีกครั้ง
ผู้เฒ่าหลังค่อมทอดสายตามองทัศนียภาพยามค่ำคืนอยู่เพียงลำพัง
เสียงต้นสนในภูเขาพลิ้วโบกตามสายลม จิ้งหรีดเรไรส่งเสียงร้องระงมในพุ่มหญ้าใต้จันทรา
สมกับเป็นปลายทางแห่งโลกมนุษย์อย่างแท้จริง
ยังจะต้องการอะไรอีกเล่า?
ครู่หนึ่งต่อมา
ผู้ฝึกยุทธเดินทางไกลที่จิตใจนิ่งสงบราวกับผืนน้ำก็กวาดตามองไปรอบด้าน เมื่อไม่เห็นเงาผู้ใดก็แอบหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อ เอานิ้วแตะน้ำลาย เริ่มพลิกเปิดหน้าหนังสือ อ่านหนังสือต้องห้ามท่ามกลางแสงจันทร์คืนฤดูใบไม้ร่วงก็เป็นความบันเทิงยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งในชีวิตคนเหมือนกันนี่นะ
……
วันที่สองเฉินผิงอันไม่ได้ขึ้นไปถูกป้อนหมัดที่ชั้นสอง
เพราะรองเจ้ากรมพิธีการราชสำนักต้าหลีเดินทางมาถึงภูเขาพีอวิ๋น ต้องการจะลงนามทำสัญญาซื้อขายภูเขาแทนสกุลซ่งราชวงศ์ต้าหลีอย่างเป็นทางการ
เว่ยป้อมาเยือนภูเขาลั่วพั่วด้วยตัวเอง จากนั้นก็พาเฉินผิงอันไปที่สำนักศึกษาหลินลู่ ที่นั่นมีรองเจ้ากรมผู้เฒ่าและขุนนางที่เกี่ยวข้องรอคอยอยู่ก่อนแล้ว
ขุนนางชั้นสูงของต้าหลีท่านนี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเฉินผิงอัน ปีนั้นหลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูร่วงลงแล้วแนบติดกับพื้นดิน เขาก็เคยเจอกับรองเจ้ากรมผู้เฒ่าผู้นี้อยู่หลายครั้ง
แต่นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้มาเยือนสำนักศึกษาแห่งใหม่ที่มีขนาดสูงสุดของต้าหลี
เนื่องจากถูกเว่ยป้อกระชากไปยังจุดที่เงียบสงัดแห่งหนึ่งของสำนักศึกษาโดยตรง จึงย่นระยะทางที่ต้องเดินอ้อมระเบียงผ่านอาคารไปได้มาก
หร่วนฉงไม่ได้อยู่ที่นี่ อริยะสำนักการทหารที่เฝ้าพิทักษ์สถานที่แห่งนี้ได้แอบออกไปอย่างลับๆ แล้ว เป็นต่งกู่เซียนดินโอสถทองของสำนักกระบี่หลงเฉวียนที่เป็นตัวแทนของเขามาเข้าร่วมการลงนาม เขาถือตราประทับส่วนตัวของอาจารย์ตัวเองมาด้วย นี่คือของแทนตัวของอริยะท่านหนึ่ง ไม่ใช่วัตถุธรรมดาทั่วไป นี่จึงแสดงให้เห็นว่าหร่วนฉงเชื่อใจในตัวลูกศิษย์ที่มีชาติกำเนิดเป็นภูตคนนี้มาก
บนโต๊ะตัวหนึ่ง นอกจากหนังสือสัญญาพันธมิตรที่สำคัญที่สุดหนึ่งแผ่นแล้ว ยังวางโฉนดที่ดินภูเขาแต่ละลูกไว้อีกหลายแผ่น
ภูเขาหนิวเจี่ยวที่เดิมทีเป็นของร้านผ้าห่อบุญ ภูเขาจูซาของสกุลสวี่นครลมเย็น ภูเขาฮุยเหมิงที่อยู่ใกล้กับภูเขาลั่วพั่วมากที่สุด กินอาณาบริเวณกว้างขวางมากที่สุด ภูเขาหลังอ๋าว ภูเขาเว่ยเสีย แท่นบูชากระบี่ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกสุดของกลุ่มภูเขา รวมแล้วภูเขาน้อยใหญ่ทั้งหมดหกลูกล้วนจะอยู่ในนามของเฉินผิงอันทั้งหมด
คนที่ต้องลงนามและประทับตราลงในสัญญา นอกจากเฉินผิงอันแล้วยังมีรองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่ถือทั้งตราลัญจกรหยกของราชสำนักต้าหลีและตราขุนนางกรมพิธีการไว้ในคราวเดียวกัน นอกจากนี้ก็มีตราประทับของหร่วนฉงที่ถืออยู่ในมือต่งกู่ และยังมีเว่ยป้อที่ปลดต่างหูสีทองชิ้นนั้นลงมา หลังจากต่างหูถูกปลดลงมาก็ไม่รู้ว่าเว่ยป้อร่ายใช้วิชาอภินิหารประเภทใด ต่างหูจึงกลายมาเป็นตราประทับทรงกลมของจริง
และยังมีรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาอีกสองคนที่แค่มาร่วมความครึกครื้นเท่านั้น
ท่านหนึ่งคือผู้รอบรู้ของต้าหลีที่มีชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ในวงการปัญญาชน ว่ากันว่ากรอบป้ายของศาลบุ๋นบู๊และกลอนคู่มากมายในเขตการปกครองหลงเฉวียนล้วนมาจากลายมือของบัณฑิตท่านนี้
อีกท่านก็คือคนสนิทคุ้นเคยกันดี
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อแคว้นหวงถิงที่ปีนั้นรับรองกลุ่มของเฉินผิงอัน ตัวตนที่แท้จริงกลับเป็นเจียวเฒ่าที่มีอายุอยู่มาหลายปีจนนับไม่ถ้วน ยิ่งเป็นบิดาของอู๋ยวนบรรพบุรุษผู้บุกเบิกจวนจื่อหยาง
อู๋ยวนเจ้าเมืองเขตการปกครองหลงเฉวียน นายอำเภอหยวน ผู้ตรวจการเฉา ขุนนางหนุ่มทั้งสามท่าน วันนี้ก็มากันครบ
ส่วนข้างกายต่งกู่นั้นยังมีคนหนุ่มอีกคนหนึ่งยืนอยู่ คนคิ้วยาวแห่งตระกูลเซี่ย เซี่ยหลิงที่มีชาติกำเนิดมาจากตรอกเถาเย่
ตามหลักแล้วต่อให้เซี่ยหลิงจะเป็นลูกศิษย์ของหร่วนฉงก็ไม่ควรมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
เพียงแต่บรรพบุรุษของคนเขามีชื่อเสียงมากเกินไป เพราะนั่นคือเทียนจวินเซี่ยสือ
ดังนั้นหลังจากที่เซี่ยหลิงปรากฏตัว ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น รองเจ้ากรมผู้เฒ่ายังถึงขั้นเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายปราศรัยกับคนหนุ่มที่เกิดมาพร้อมภาพปรากฎการณ์พิเศษผู้นี้ด้วยตัวเอง
เซี่ยหลิงวางตัวอย่างเหมาะสม ทั้งไม่เย่อหยิ่งจองหอง แล้วก็ไม่ขลาดเขิน หลังจากพูดคุยกับรองเจ้ากรมผู้เฒ่าเสร็จ คนหนุ่มก็ยืนเงียบๆ ต่อไป เพียงแต่ว่าเมื่อคนสำคัญของงานอย่างเฉินผิงอันปรากฏตัว เซี่ยหลิงก็ได้ชำเลืองตามองเจ้าคนที่มีชาติกำเนิดจากตรอกหนีผิงผู้นี้อยู่หลายครั้ง
หม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา เฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิง
บนภูเขาของเขตการปกครองหลงเฉวียนในทุกวันนี้ ทั้งคู่ต่างก็มีชื่อเสียงอย่างยิ่ง
คนหนึ่งคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่สามารถสังหารผู้ฝึกกระบี่โอสถทองได้ อีกคนหนึ่งคือเจ้าของที่ดินรายใหญ่ที่รวบเอาภูเขาตระกูลเซียนไว้ในกระเป๋าเหมือนคนธรรมดาที่ซื้อที่นาหลายหมู่
แต่มีข่าวลือเล็กๆ บอกว่า หม่าขู่เสวียนไม่ถูกกับเฉินผิงอันสักเท่าไหร่ เล่าลือกันว่าในอดีตพวกเขาเคยประมือกันที่สุสานเทพเซียนมาก่อน
เซี่ยหลิงประหลาดใจอย่างยิ่งว่าเฉินผิงอันมีชีวิตรอดมาได้อย่างไรกันแน่
ต้องรู้ว่าหม่าขู่เสวียนแห่งภูเขาเจินอู่นั้น คือบุคคลที่เขาพยายามจะไล่ตามให้ทันเงียบๆ มาโดยตลอด
ส่วนเขาเซี่ยหลิงก็ไม่เพียงแต่มีบรรพบุรุษที่มีมรรคกถาค้ำฟ้า ยังเคยได้รับความโปรดปรานจากเจ้าลัทธิลู่เฉิน อีกฝ่ายมอบเจดีย์จิ๋วที่ใกล้เคียงกับอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งให้กับเขาด้วยตัวเอง
ดังนั้นตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่ม สายตาของเซี่ยหลิงจึงมองจ้องไปยังยอดเขาของแจกันสมบัติทวีปตลอดเวลา มีเพียงบางครั้งที่ถึงจะก้มหน้าลงมองเรื่องราวในโลกมนุษย์ที่อยู่ด้านล่างภูเขา
อันที่จริงยังมีหลิวเสี้ยนหยางอีกคนที่ปีนั้นได้รับโชคดีหลังจากหายนะ พอรอดตายมาได้ก็ถูกพาไปศึกษาเล่าเรียนกับสกุลเฉินผู้รอบรู้ของทักษินาตยทวีป แน่นอนว่าคงต้องได้รับโชควาสนาและมีอนาคตที่ไม่เลวแน่นอน แต่ถึงอย่างไรระยะทางก็ยาวไกลเกินไป ข่าวสารส่งมาได้ไม่งาย และคิดดูแล้วในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ก็คงยากที่จะเจริญรุ่งเรืองได้ดิบได้ดีขึ้นมา การฝึกตนของสามลัทธิร้อยสำนัก ยิ่งมีชาติกำเนิดมาจากสายดั้งเดิมก็ยิ่งยากจะฝ่าทะลุขอบเขตด้วยความรวดเร็ว แม้ว่าสามารถเดินไปบนมหามรรคาได้สูงกว่าไกลกว่า แต่ช่วงเวลาเริ่มแรกก็มักจะสู้ลูกศิษย์ผู้มีพรสวรรค์ของสำนักนอกรีตที่หนึ่งวันเดินไปบนเส้นทางการฝึกตนได้หนึ่งพันลี้ไม่ได้
ส่วนเจ้าเด็กที่ชื่อว่ากู้ช่านแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนผู้นั้น ว่ากันว่ามีสภาพอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด ยังต้องสูญเสียทายาทมังกรที่แท้จริงตัวนั้นไป คาดว่ามหามรรคาของเขาคงพังภินท์ลงแล้ว
ปีนั้นโชควาสนาห้าอย่างของถ้ำสวรรค์หลีจู กู้ช่านก็คือแมลงน่าสงสารที่ต้องสูญเสียวาสนาไปก่อนใครในบรรดาคนทั้งห้า
เรื่องราวภายนอก
เซี่ยหลิงไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ เรื่องบางอย่างต่อให้ศิษย์พี่ต่งกู่และศิษย์พี่หญิงสวี่เสี่ยวเฉียวเล่าให้ฟัง เขาก็เห็นเป็นเพียงลมที่พัดผ่านหูไปเท่านั้น
วันนี้เฉินผิงอันสวมชุดสีเขียว ปักปิ่นหยกสีขาว ผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ที่เอว สะพายเจี้ยนเซียนไว้ด้านหลัง
สีหน้าอิดโรยเหนื่อยล้าในสายตาของคนธรรมดาทั่วไปกลับเป็นการลดทอนภาพลักษณ์ของ ‘เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม ไร้ประสบการณ์ไม่น่าเชื่อถือ’ โดยที่มองไม่เห็นไปได้หลายส่วน
ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน ไม่เรียกว่าดุจนกกระเรียนในฝูงไก่ แต่อย่างน้อยก็ไม่ถูกใครช่วงชิงความโดดเด่น ต่อให้เฉินผิงอันไม่ได้จงใจไปแสวงหาสิ่งใดก็ตาม เขาเพียงแค่พูดคุยอย่างอ่อนโยน สีหน้าเป็นธรรมชาติ ทักทายปราศรัยกับคนเหล่านั้นไปทีละคน ยกตัวอย่างเช่นพูดคุยเรื่องในวันวานกับเจียวเฒ่า พูดถึงเรื่องการแกะสลักหน้าผาหินของแคว้นหวงถิง พูดถึงอาหารในจวนกลางป่าของเจียวเฒ่า หรือพูดกับผู้รอบรู้ของสำนักศึกษาท่านนั้นว่าเขาเคยอ่านผลงานที่มีชื่อเสียงของอีกฝ่าย บอกว่าวันหน้าหากมีโอกาสจะต้องไปเยี่ยมเยือนที่สำนักศึกษาเพื่อขอความรู้ให้จงได้
รองเจ้ากรมผู้เฒ่ายิ้มมองทุกอย่างนี้อยู่ในสายตา
ขุนนางชั้นสูงระดับสามขั้นโทที่ตำแหน่งอยู่ในใจกลางราชสำนักท่านนี้ เป็นทั้งขุนนางผู้สูงศักดิ์และกุมอำนาจที่แท้จริง แน่นอนว่าผู้เฒ่าเองก็พอจะจำเฉินผิงอันได้ ครั้งแรกที่เจอกันคือในร้านหลอมกระบี่ของอริยะหร่วน เด็กหนุ่มผู้ยากจนกลับได้ยืนอยู่ข้างกายหร่วนซิ่ว ทั้งสองฝ่ายยังเป็นเพื่อนกัน โดยที่คนทั้งคู่ต่างก็ไม่รู้สึกถึงความแตกต่างแม้แต่น้อย
รองเจ้ากรมผู้เฒ่าที่ฝึกฝนอยู่ในวงการขุนนางจนมีดวงตาทิพย์มองคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แน่นอนว่าต้องจดจำเด็กหนุ่มอย่างเฉินผิงอันได้
วันนี้เว่ยป้อคอยยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอันตลอดเวลา ต่อให้เป็นต่งกู่แห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียนที่แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนประเภทนิสัยนิ่งขรึมพูดน้อยก็ยังเป็นฝ่ายชวนเฉินผิงอันคุยอยู่หลายคำ
เรื่องของการลงนามในสัญญานั้น เดิมทีก็ไม่มีขั้นตอนที่ซับซ้อนอะไร แต่คงเป็นเพราะยังมีคนของราชสำนักที่ชื่อว่า ‘ปี่เถี่ย’ คอยจดบันทึกอยู่ด้านข้าง แล้วยังมีเว่ยป้อกับหร่วนฉงเข้าร่วมด้วย รองเจ้ากรมพิธีการจึงเพิ่มขั้นตอนที่เป็นดั่งการปักบุปผาลงบนผ้าแพรเข้าไปอีกสองสามขั้นตอน ทำให้ดูเป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่จริงจังเล็กน้อย แน่นอนว่าต้องสอดคล้องกับระเบียบพิธีการของต้าหลีด้วย
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่พบกับอุปสรรคใดๆ ทุกคนพูดคุยกันอย่างชื่นมื่น แม้จะไม่มีสุรางานเลี้ยงฉลอง เพราะถึงอย่างไรก็อยู่ที่สำนักศึกษาหลินลู่ อีกทั้งในฐานะรองเจ้ากรมพิธีการของต้าหลี เขาก็มีกิจธุระรัดตัว อีกทั้งปีนี้เขายังรับผิดชอบเป็นผู้ดำเนินการหลักในด้านการประเมินขุนนางท้องถิ่นของต้าหลี ดังนั้นจึงต้องไปที่ภูเขาหนิวเจี่ยว โดยสารเรือข้ามฟากกลับเมืองหลวงทันที จึงเป็นคนแรกที่ขอตัวจากไปก่อน
สุดท้ายก็เหลือเฉินผิงอันกับเว่ยป้อที่ยืนอยู่ในศาลาแห่งหนึ่งซึ่งมีไว้ชมทัศนียภาพของสำนักศึกษาหลินลู่
เฉินผิงอันไม่ได้สอบถามเรื่องเกี่ยวกับเกาเซวียน เพราะไม่เหมาะสม ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นตัวประกันที่ต้าสุยส่งมาอยู่ต้าหลี
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “กำลังมองอะไรอยู่น่ะ?”
เฉินผิงอันดึงสายตากลับคืนมา คลี่ยิ้มตอบว่า “ไม่มีอะไร”
ยืนอยู่ในสำนักศึกษาหลินลู่ที่ทั้งใหม่เอี่ยมและโอ่อ่า มองไปยังโรงเรียนเก่าที่ตอนนี้ไม่มีครูสอนหนังสือ ยิ่งไม่มีใครมาเรียนหนังสือ อันที่จริงก็ได้แค่มองเห็นเค้าโครงร่างของเมืองเล็กเท่านั้น อย่างอื่นล้วนมองเห็นได้ไม่ชัดเจน
เว่ยป้อเอ่ยเตือน “หลังจากนี้ยังต้องมีงานเลี้ยงรับรองบางอย่าง ช่วงนี้กลุ่มอิทธิพลตระกูลเซียนที่อยู่ที่นี่ต้องทยอยกันมาเยี่ยมเยียนภูเขาลั่วพั่ว เจ้าก็เตรียมตัวไว้ให้ดีล่ะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ทุกวันนี้เรื่องการคบค้าสมาคมกับผู้คน ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับข้าแล้ว น่าจะรับมือได้ดี”
เว่ยป้อเอ่ยสัพยอก “ถ่วงเวลาการฝึกหมัด ไม่ทำให้เจ้ารู้สึกหงุดหงิดบ้างเลยหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่เลย การมองเรื่องราวทางโลกให้กระจ่างก็ถือเป็นความรู้อย่างหนึ่ง ขอแค่มีประโยชน์ ต่อให้หลบหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น ไม่สู้ปรับสภาพจิตใจของตัวเองให้ยอมรับมันได้แต่เนิ่นๆ จะดีกว่า”
เว่ยป้อถาม “ทำไมถึงพยายามทำความเข้าใจกับเรื่องของต่งสุ่ยจิ่งทางอ้อม? เป็นเพราะไม่เชื่อใจคนผู้นี้?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด เขารีบส่ายหน้าทันที แล้วก็ไม่ได้ปิดบังอะไรเว่ยป้อ “เปล่า ข้ากับต่งสุ่ยจิ่งเป็นเพื่อนกัน เพียงแต่เรื่องของการค้าขายนี้เกี่ยวพันไปถึงเพื่อนอีกคนหนึ่ง ในเมื่อเป็นการค้าขายก็ไม่ควรเอนเอียงเข้าข้างใคร หากข้าเป็นสหายของพวกเขา แต่ระหว่างสหายนั้นกลับไม่ถูกกัน แล้วดันถูกข้าฝืนจับให้มารวมกัน ถึงเวลานั้นเรื่องดีที่เดิมทีทั้งสามฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์อาจทำให้ข้าสูญเสียสหายสองคนไปเพียงเพราะการที่ไม่เข้าใจเรื่องราวบางอย่างอย่างชัดเจน แบบนี้ก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว”
—–