กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 496.1 พี่ชายคนดี

บทที่ 496.1 พี่ชายคนดี

คนสองคนที่อยู่ในจวนของปี้สู่เหนียงเนียงบนภูเขาโปลั่วในเวลานี้เหมือนกำลังเดินเข้าสู่สถานการณ์หมากล้อมกระดานหนึ่งที่ยากจะคาดเดาได้ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ

มีทางเลือกสามอย่าง ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายไปหนึ่งรอบ มีเพียงฝ่ายเดียวที่ได้ผลประโยชน์ คนที่แพ้ก็มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะร่างดับมรรคาสลาย

อีกฝ่ายหนึ่งยอมถอยให้ ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันเลือกที่จะแบกรับผลลัพธ์ที่ตามมาหลังจากการสังหารปี้สู่เหนียงเนียง หรือไม่บัณฑิตผู้นั้นก็ได้รับผลประโยชน์แล้วไม่ทำตัวอวดฉลาด ไม่สาดน้ำสกปรกนี้ลงบนหัวของเฉินผิงอัน

หรือไม่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ถอยกันคนละก้าว จับมือกันเดินออกไปจากสถานการณ์หมากของภูเขาโปลั่วแห่งนี้ ซึ่งก็คือทำตามคำกล่าวของพวกเขาที่บอกว่าเจ้ายึดหลักคุณธรรมในยุทธภพ ส่วนข้าก็ยึดหลักในเรื่องความปรองดองก่อให้เกิดเงินทอง ทั้งสองฝ่ายหันหัวหอกไปหาปีศาจใหญ่ห้าตนตัวอื่นๆ พร้อมกัน

เฉินผิงอันถาม “เจ้าไม่ใช่ปีศาจ? หรือจะเป็นวิญญาณหยินของหุบเขาผีร้ายที่ทะเลาะต่อยตีกันเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์กันเอง?”

บัณฑิตปัดชายแขนเสื้อ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “คนมีชีวิต คนมีชีวิตตัวเป็นๆ ทั่วร่างมีแต่ปราณหยางที่บริสุทธิ์ถูกต้อง จริงแท้แน่นอน วิธีปราบมารก่อนหน้านี้ก็แค่เป็นวิชานอกรีตที่ขู่ให้เจ้าตกใจกลัวเท่านั้น ท่องอยู่ในยุทธภพ หากไม่มีวิชาอำพรางตัวตนสักหน่อย จะได้หรือ?”

เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาเป็นพันธมิตรกัน? ไปหาเรื่องพี่เฉินหยวนจวินที่อยู่ใกล้ที่สุดคนนั้นด้วยกัน?”

บัณฑิตทำสีหน้าประหลาด

เฉินผิงอันชำเลืองตามองโครงกระดูกขาวของปี้สู่เหนียงเนียงที่อยู่บนพื้นก็เริ่มจะเข้าใจ เป็นตนที่ไม่เป็นมืออาชีพมากพอ ถึงได้เปิดเผยพิรุธออกไปเล็กน้อย

ในเมื่อปี้สู่เหนียงเนียงตายไปแล้ว ถ้ำสถิตของภูเขาโปลั่วแห่งนี้มีหรือจะไม่มีทรัพย์สมบัติเสียเลย ไหนเลยจะมีหลักการที่เข้ามาในภูเขาสมบัติแล้วกลับไปมือเปล่า แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญด้านการปล้นชิง

เฉินผิงอันเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยการยิ้มถามว่า “เจ้าใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเช่นนี้ คิดดูแล้วคงจะคุ้นเคยกับคลังลับคลังสมบัติของตำหนักกว่างหานแห่งนี้เป็นอย่างดี ผลเก็บเกี่ยวที่ได้จากภูเขาลูกนี้ เจ้าและข้ามาแบ่งกันคนละครึ่ง ตกลงไหม?”

บัณฑิตส่ายหน้า “หากเป็นภูเขาโปลั่วแห่งนี้ ต้องเป็นสามกับเจ็ดส่วน เจ้าสามข้าเจ็ด เจ้าก็แค่มานั่งยองดูงิ้วบนหัวกำแพง แบ่งผลประโยชน์ให้เจ้าสามส่วนก็ถือว่าไม่น้อยแล้ว หลังจากสังหารปีศาจบนภูเขาตัวอื่นๆ ได้ค่อยดูว่าความสามารถของแต่ละคนว่าสูงหรือต่ำ ออกแรงไปมากหรือน้อย แล้วค่อยมาตัดสินใจกันอีกที”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “สี่หก”

บัณฑิตลังเลตัดสินใจไม่ได้ สุดท้ายเผยสีหน้าของคนเสียดายที่ต้องตัดใจยกของรักให้คนอื่น ชี้ไปที่โครงกระดูกบนพื้น เอ่ยว่า “แม้ว่าโครงกระดูกขาวของปี้สู่เหนียงเนียงจะไม่ใช่โครงกระดูกหยกขาวของภูตผีวัตถุหยิน แต่ก็ดูดซับแก่นตะวันจันทราในหุบเขาผีร้ายมาเกือบพันปี จึงสามารถหล่อหลอมเรือนกายกิ่งทองใบหยกที่ทัดเทียมกับเซียนดินมาได้นานแล้ว อีกทั้งยังเหนือกว่าหนึ่งระดับ ถือว่าหายากอย่างยิ่ง หลังจากมอบให้เจ้าแล้ว พวกเราค่อยมาแบ่งกันสามเจ็ดส่วน คุณธรรมในยุทธภพ มีแค่นี้ก็คงพอแล้วกระมัง?”

เฉินผิงอันเอ่ยเหน็บแนม “ของร้อนลวกมือขนาดนี้ ข้ารับเอาไว้ก็เท่ากับว่ายัดดินเหลืองใส่ในกางเกงของตัวเอง แบบนี้จะยิ่งไม่ควรแบ่งกันสี่หกหรือไร?”

อีกอย่างวัตถุที่ล้ำค่าที่สุดของภูตผีปีศาจ แน่นอนว่าต้องเป็นโอสถปีศาจ

คิดดูแล้วคงถูกบัณฑิตกลืนกิน ช่วงชิงเอาผลประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุดไปนานแล้ว

บัณฑิตแสร้งทำท่ากระจ่างแจ้ง เขาตบศีรษะตัวเอง เอ่ยขออภัยว่า “เป็นข้าที่คำนวณผิดไป ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็แบ่งกันสี่หก โครงกระดูกนี้เอาไว้ที่นี่ก็แล้วกัน ไป ข้าจะพาเจ้าไปกวาดเอาสมบัติที่คลังสมบัติของภูเขาโปลั่ว ทางเข้านั้นอยู่ด้านใต้ตั่งยวนยางของปี้สู่เหนียงเนียง คางคกเพศเมียตัวนี้ตบะไม่สูง แต่อาศัยของขวัญที่ชู้รักมอบให้ บวกกับที่ปีศาจอีกห้าตนที่เหลือยอมให้หลายครั้ง จึงมีสมบัติเก็บสะสมไว้ไม่น้อย”

บัณฑิตเดินนำเข้าไปในประตูใหญ่ของห้องหลักก่อน

เฉินผิงอันสะพายเจี้ยนเซียนไว้ด้านหลัง กระโดดลงมาจากหัวกำแพง เดินตามบัณฑิตไป เพียงแต่เขาโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เก็บเอาโครงกระดูกขาวนั้นมาไว้ในวัตถุจื่อชื่อ

บัณฑิตหยุดเดินแล้วหันหน้ากลับมามองด้วยสีหน้าตกตะลึง

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยอธิบายว่า “หากไม่ทันระวังปล่อยให้ภูตผีปีศาจของภูเขาโปลั่วมาเห็นเข้า จะไม่กลายเป็นเรื่องร้ายหรอกหรือ ถึงเวลานั้นก็เท่ากับแหวกหญ้าให้งูตื่น ส่งผลกระทบต่อการกำจัดปีศาจซึ่งเป็นงานใหญ่ของพวกเราต่อจากนี้ ข้าว่าข้าควรเก็บไว้ก่อนจะดีกว่า”

บัณฑิตหัวเราะอย่างฉุนๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องขอบคุณเจ้าสินะ?”

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขากวาดตามองไปรอบด้าน ในห้องสตรีที่กว้างขวางอย่างถึงที่สุดแห่งนี้ไม่ขาดแคลนของแปลกหายาก แต่ว่ากลิ่นเครื่องหอมเครื่องประทินโฉมออกจะฉุนไปสักหน่อย บนผนังยังแขวนภาพวังวสันต์ (ภาพการร่วมเพศ) ที่อุจาดตาเอาไว้ ขนาดของภาพใหญ่มาก สูงถึงหนึ่งฉื่อ แต่โชคดีที่ชายหญิงที่อยู่ในภาพวาดมีขนาดเท่าเมล็ดพุทรา มีทั้งภาพของจักรพรรดิที่มั่วโลกีย์อยู่ในวัง แล้วก็มีภาพร่วมอภิรมย์ในหอโคมเขียว หนึ่งในนั้นยังเป็นภาพของชายหญิงที่สวมชุดลัทธิเต๋า บุรุษมีมาดสง่างามเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเซียน สตรีที่มีรัศมีแห่งเทพธิดา คล้ายกับคู่รักเทพเซียนที่กำลังฝึกตนอยู่ในห้อง ในภาพวาดยังมีตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กเขียนบรรยายไว้ด้านข้างถี่ยิบ นี่คงจะเป็นตำราเทพเซียนที่จูเหลี่ยนกล่าวถึงกระมัง?

บัณฑิตยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนตั่งยวนยางขนาดใหญ่ตัวนั้น ใช้พละกำลังที่พอเหมาะพอเจาะไถลตัวออกไปหลายจั้งโดยที่ไม่ส่งเสียงเลยแม้แต่นิดเดียว

บัณฑิตนั่งยองอยู่บนพื้น พื้นกระดานฝั่งเลื่อมเหล็กกล้าทรงกลมที่ใสแวววาวดุจกระจกไว้บานหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่เท่าอ่างน้ำ บัณฑิตก้มหน้าลงจ้องมองไปคล้ายกับว่ากำลังไขปริศนากลไกอยู่

บัณฑิตหันหน้าไปมอง แล้วโทสะก็ไม่รู้ว่าผุดพุ่งมาจากไหน ไอ้ตัวดี ในที่สุดเขาก็ได้รู้แล้วว่าอะไรที่เรียกว่าโจรเหมือนหวีไม้ ทหารเหมือนหวีเสนียด (เปรียบเปรยว่าเวลาที่ทหารของทางการปล้นฆ่าชาวบ้านนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าฝีมือของโจรเสียอีก) จอมยุทธพเนจรชุดเขียวที่สวมงอบผู้นั้น อย่าว่าแต่ภาพเทพเซียนหกภาพที่ซุกซ่อนกลไกลับในการฝึกตนเอาไว้เลย แม้แต่ขวดกระจุกกระจิกบนโต๊ะประทินโฉมของปี้สู่เหนียงเนียงก็ยังถูกเขากวาดเอาไปจนเกลี้ยง ทำไมกัน ชีวิตนี้ไม่เคยเห็นเงินมาก่อนหรือ? เพียงแต่ว่าไม่นานบัณฑิตก็หันหน้ากลับมามองประเมินเหล็กกล้าประหลาดที่ใสสะอาดไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ดชิ้นนั้นต่อ หว่างคิ้วของบัณฑิตเหมือนมีพยับเมฆบางๆ เข้าปกคลุม ทั้งที่รู้ดีว่าหลังจากนี้จะได้เข้าไปในคลังสมบัติของตำหนักกว่างหาน จะได้เจอสมบัติที่แท้จริงแล้ว แต่ยังกวาดเอาสิ่งของที่ไม่มีค่าพวกนี้ไปอย่างกำเริบเสิบสาน นี่จะไม่ได้หมายความว่าเขามีวัตถุจื่อชื่อติดกายหรอกหรือ? วัตถุฟางชุ่นชิ้นหนึ่งไม่ได้กักเก็บอะไรได้มากขนาดนั้น

เฉินผิงอันยังคงพลิกลังค้นชั้นวางต่อไป พลางถามไปด้วยว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าปี้สู่เหนียงเนียงคือเผ่าพันธุ์ของตำหนักจันทรา หมายความว่าอย่างไร?”

บัณฑิตเอามือข้างหนึ่งปาดริมขอบของ ‘กระจกกลม’ เบาๆ มืออีกข้างหนึ่งนับนิ้วทำมุทราอยู่ในชายแขนเสื้อ ในใจคิดคำนวณไม่หยุด ปากก็ตอบไปอย่างไม่ใส่ใจว่า “ฟ้าดินมีตะวันจันทรา จันทราคือต้นกำเนิดของแก่นหยิน เล่าลือกันว่าสรวงสวรรค์ยุคบรรพกาลมีตำหนักจันทราอยู่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่ากว่างหาน ในตำหนักจันทราปลูกต้นกุ้ย ภูตกระต่ายและคางคกล้วนเป็นบรรพบุรุษของเผ่าพันธ์ในตำหนักจันทรา อยู่อาศัยในสถานที่ที่มีไอหมอกเย็นฉ่ำแสงเรืองรองของชั้นเมฆอาบย้อม ถูกรมไว้ด้วยปราณเซียน ต่างคนจึงต่างกลายเป็นภูตกลายเป็นเทพ ก็เหมือนกับปี้สู่เหนียงเนียงผู้นี้ที่เป็นลูกหลานของคางคกในตำหนักจันทรา เพียงแต่ว่าก็เหมือนกับเผ่าพันธุ์เจียวหลงที่มีนับพันนับหมื่นชนิด ระดับขั้นสูงต่ำไม่เท่ากัน แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ท่านผู้นี้ของภูเขาโปลั่วถือว่าเป็นปีศาจซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ในตำหนักจันทราได้อย่างถูไถ”

เฉินผิงอันเอ่ยชื่นชม “เจ้ามีความรู้กว้างขวางจริงๆ”

ตอนที่บัณฑิตผู้นั้นกำลังศึกษาวิชาลับอันเป็นกลไกของคลังสมบัติ เฉินผิงอันไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย ไม่ว่าจะเก็บกวาดเอาทรัพย์สินของมีค่าตรงจุดไหนในห้องมาก็ล้วนรักษาระยะห่างจากเขาสิบก้าว ถือเป็นการแสดงท่าทีที่ไม่โจ่งแจ้งอย่างหนึ่ง

เฉินผิงอันเลือกเก้าอี้ไม้ฮวาหลีตัวหนึ่งได้แล้วก็นั่งลง

หลังจากบัณฑิตได้ยินถ้อยคำของเขาก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ชีวิตนั้นมีขีดจำกัด แต่ความรู้กลับไร้ขีดจำกัด”

เฉินผิงอันเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ใช้ชีวิตที่มีขีดจำกัดไปแสวงหาความรู้ที่ไร้ขีดจำกัด มีแต่จะเหน็ดเหนื่อย”

บัณฑิตหันหน้ามาชำเลืองตามองเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันยกขานั่งไขว่ห้าง บิดข้อมือหนึ่งครั้งหยิบเอาพัดพับไม้ไผ่หยกที่ชุยตงซานมอบให้เล่มนั้นออกมาพัดเอาลมเย็นเข้าใส่ตัวเบาๆ

บัณฑิตหันหน้ากลับไปแล้ว เห็นเพียงว่าเขายื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาเคาะบนผิวกระจกเบาๆ บนผิวกระจกที่กลมกลึงดั่งดวงจันทร์ก็เริ่มมีจุดหนึ่งที่นูนขึ้นสูงช้าๆ

สุดท้ายเปลี่ยนมาเป็นสิ่งปลูกสร้างลักษณะคล้ายตำหนักแห่งหนึ่ง ประหนึ่งมีหอเรือนลอยขึ้นมากลางดวงจันทร์

เฉินผิงอันรีบเก็บพัดพับใส่ไว้ในวัตถฟางชุ่น ไม่มีเวลามาสนใจข้อห้ามอะไรอีก เขาขยับเข้ามาที่ข้างกายบัณฑิต จ้องนิ่งไปยังเหล็กกล้าที่เดิมทีไร้ตำหนิใดๆ ตอนนั้นที่มองดูอยู่ไกลๆ ไม่ว่าอย่างไรก็เหมือนกระจกเรียบลื่นที่ผ่านการหล่อหลอมมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ไหนเลยจะคิดว่ามันจะมีความมหัศจรรย์ถึงเพียงนี้ จุดที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกตื่นตะลึงเป็นเท่าตัวยังอยู่ที่ว่า ต่อให้ตนรวบรวมสมาธิทั้งหมดในตอนนี้จ้องนิ่งไปยังวัตถุชิ้นนี้ แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยังรู้สึกว่าความ ‘พอดี’ ก่อนหน้านี้ออกจะเกินจริงไปหน่อย แต่บัณฑิตกลับขมวดคิ้ว เขาลงมือครั้งแล้วครั้งเล่า ผลักให้ตำหนักที่ประตูใหญ่ปิดสนิทแห่งนั้นกลับคืนสู่สภาพของกระจกที่ราบเรียบเหมือนเดิมอีกครั้ง เฉินผิงอันมองตาไม่กะพริบ จุ๊ปากชื่นชม ไม่นึกเลยว่าบนโลกจะมีวิชาการสร้างที่มหัศจรรย์เช่นนี้ด้วย?

เฉินผิงอันเองก็ไม่มัวมาสนใจแล้วว่ายิ่งพูดจะยิ่งทำให้คนอื่นคิดว่าเขาร้อนตัวหรือไม่ เขาเอ่ยว่า “วางใจเถอะ ข้าจะไม่ลอบโจมตีเจ้าอย่างต่ำช้าแน่นอน”

บัณฑิตนั่งขัดสมาธิ เอ่ยเนิบช้าว่า “ไม่ต้องสงสัยแล้วว่าคือสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งที่อาจารย์กลไกสำนักโม่สร้างขึ้น มีอายุหลายปีแล้ว วัตถุชิ้นนี้เป็นของเจ้า หลังเข้าไปในคลังสมบัติแล้วก็มาแบ่งกันสามเจ็ดส่วน? ตกลงไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างไม่ลังเล “ได้”

บัณฑิตพลันคลี่ยิ้ม นิ้วที่เคาะผิวกระจกรัวเร็วราวกับบิน เพียงชั่วพริบตาตำหนักขนาดจิ๋วก็ลอยขึ้นมาอีกครั้ง อีกทั้งประตูใหญ่ของตำหนักยังค่อยๆ เปิดอ้า เป็นเหตุให้ตลอดทั้งสิ่งปลูกสร้างหลังนี้เริ่มมีประกายแสงไหลเวียนวน ส่องสว่างให้ใบหน้าของคนทั้งสองเรืองรอง จากนั้นเมื่อพื้นของตลอดทั้งเรือนเริ่มส่งเสียงแอดอาด บัณฑิตก็ผายมือข้างหนึ่งออกมาแล้วหมุน ในมือมีลูกกลมใสกระจ่างดุจหิมะลูกหนึ่งโผล่ขึ้นมาประดุจเทพเซียนที่ถือประคองดวงจันทร์ดวงหนึ่งไว้บนมือ จากนั้นเขาก็บิดข้อมือ เอามือทั้งสองข้างถูเข้าด้วยกัน ตำหนักที่อยู่บนพื้นผิวของดวงจันทร์ดวงนั้นเหมือนพื้นที่ลับตระกูลเซียนที่หดกลับเข้าไปในรากภูเขาใต้ดิน

ส่วนบนพื้นห้องก็ปรากฏเป็นช่องทางลับหนึ่งเส้น ไม่ได้มืดมิด เพราะมีแสงขมุกขมัวส่ายไหวเบาๆ คาดว่าน่าจะเป็นฝีมือของตระกูลเซียนที่คล้ายคลึงกับแสงโคมไฟส่องสว่างในใต้ดินของนครปี้ฮว่า

บัณฑิตส่งลูกกลมในมือให้เฉินผิงอัน “หลังจากนี้แบ่งกันสามเจ็ดส่วน ตกลงแล้วนะ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แน่นอน”

ท่าทางของคนทั้งสองต่างก็ติดขัดเล็กน้อย

คนหนึ่งยื่นของส่ง อีกคนหนึ่งรับของมา ล้วนใช้มือเดียวกันทั้งคู่

บัณฑิตยิ้มบางๆ ชายแขนเสื้อของมืออีกข้างหนึ่งที่ห้อยตกลงขยับเบาๆ แล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก

มือข้างที่หดไว้ในชายแขนเสื้อ กำประคำแกนลูกท้อของเฉินผิงอันก็คลายออกเบาๆ เช่นกัน

แล้วถึงได้มีการส่งและรับสมบัติชิ้นนี้ให้แก่กัน

เฉินผิงอันเก็บลูกกลมนี้ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ แล้วเดินตามบัณฑิตเข้าไปในเส้นทางใต้ดิน

เส้นทางใต้ดินที่ยืดขยายไปยังเบื้องล่างเปียกชื้นเล็กน้อย ปราณหยินเข้มข้น ผนังมีตะไคร่ขึ้น ไม่เสียแรงที่เป็นถ้ำลับที่เผ่าพันธ์ของตำหนักจันทราตัวหนึ่งสร้างขึ้น

สุดท้ายคนทั้งสองก็มาถึงช่องโพรงหินแห่งหนึ่งที่อยู่สุดปลายทาง

มีโครงกระดูกขาวสองโครงนั่งเคียงไหล่กัน หนึ่งสูงหนึ่งต่ำ หนึ่งเรือนกายบึกบึน หนึ่งเรือนกายเพรียวบาง คล้ายกับคู่บำเพ็ญเพียรชายหญิง มือสองข้างที่อยู่ใกล้กันกุมกันเอาไว้แน่น พอจะมองออกว่าคนทั้งสองจากโลกนี้ไปอย่างสงบ

คนผู้หนึ่งบนศีรษะสวมกวานของจักรพรรดิ บนร่างสวมชุดคลุมมังกรสีเหลือง แต่อีกคนหนึ่งกลับไม่ได้สวมมงกุฎหงส์ผ้าคลุมไหล่ปักลาย เพียงแต่สวมชุดคลุมอาคมตระกูลเซียนที่ใกล้เคียงกับชุดนักพรตเต๋า แต่กลับไม่ใช่ชุดนักพรตเต๋า

นอกจากนี้แล้วตรงมุมผนังยังมีหีบสามใบวางทับซ้อนกันอยู่

บัณฑิตมองโครงกระดูกขาวทั้งสองแล้วขมวดคิ้วมุ่น

เฉินผิงอันถาม “คือจักรพรรดิบางท่านของฝ่ายที่พ่ายแพ้ในสงครามใหญ่บนซากปรักชายหาดโครงกระดูก?”

บัณฑิตพยักหน้ารับ “มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นจักรพรรดิของแคว้นหล่งซาน ตอนหนุ่มเขาคือหลานที่เกิดจากอนุภรรยาซึ่งไม่ได้รับความโปรดปราน ตอนนั้นสำนักที่ใหญ่ที่สุดทางทิศใต้ของอุตรกุรุทวีปมีชื่อว่าสำนักชิงเต๋อ ผู้ฝึกตนบนภูเขาที่บรรลุมรรคาล้วนถูกขนานนามว่าเซียนผู้สันโดษ ความขัดแย้งระหว่างสองราชวงศ์ใหญ่ในครั้งนั้น เมื่อสืบสาวราวเรื่องกันไปถึงแก่นแล้ว อันที่จริงต้นตอปัญหาก็เกิดจากความขัดแย้งภายในของสำนักชิงเต๋อ เพียงแต่ว่าตระกูลเซียนรุ่นหลังต่างก็เก็บไว้เป็นความลับไม่เปิดเผยออกมา จักรพรรดิท่านนี้ตอนที่ยังเป็นหนุ่มมีปณิธานอยู่ที่การฝึกตน คือมังกรขาวที่แปลงกายเป็นปลาแหวกว่ายในบ่อ (เปรียบเปรยถึงฮ่องเต้หรือขุนนางชั้นสูงที่อำพรางฐานะของตัวเอง) ขึ้นเขาไปเยี่ยมเยียนเซียน ลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ถูกทางสำนักชิงเต๋อรับตัวไว้พร้อมกับเขาในปีนั้นมีทั้งหมดสามสิบคน แรกเริ่มก็ไม่โดดเด่น เป็นเพียงแค่การรับลูกศิษย์ของศาลบรรพจารย์ยอดเขาชุ่ยเวยธรรมดาๆ ครั้งหนึ่งเท่านั้น แต่ภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่หกสิบปี ภูเขาลูกอื่นของอุตรกุรุทวีปก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ คนทั้งสามสิบคนนั้นกลับมีถึงครึ่งหนึ่งที่เป็นหยกงามวัตถุดิบดีเยี่ยมในการเป็นตัวอ่อนเซียนดิน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็มีโชควาสนาแตกต่างกันไป ไม่อาจดูแคลนได้ เป็นเหตุให้คนรุ่นหลังจินตนาการถึงภาพฉากที่คนทั้งสามสิบคนขึ้นเขาไปกราบไหว้อาจารย์ในปีนั้นไปอย่างหลากหลาย คนรุ่นหลังมีการแต่งกลอนไว้เป็นหลักฐานว่า ‘เสียงลั่นกลองเปิดบานประตูทอง สามสิบเซียนขึ้นเขาชุ่ยเวย’ ส่วนจักรพรรดิแคว้นหล่งซานผู้นี้ก็คือคนหนึ่งในนั้น ท่ามกลางกลุ่มของลูกรักแห่งสวรรค์ เขาก็ยังคงถือเป็นยอดฝีมือในกลุ่มคนที่มีพรสวรรค์ดีเยี่ยม น่าเสียดายที่เชื้อพระวงศ์ซึ่งมีคุณสมบัติจะสืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้ของแคว้นหล่งซานทยอยกันตายจากไปก่อนวัยอันควร เขาจึงได้แต่ลงจากภูเขามา เขาที่กลายเป็นขอบเขตประตูมังกรแล้วก็ยังคงเลือกที่จะสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะของตนเองเพื่อรับตำแหน่งฮ่องเต้ มีเรื่องเล่าเกร็ดพงศาวดารที่สืบทอดต่อกันมาตามตรอกซอกซอยในหมู่ชาวบ้าน บอกว่าเขากับอาจารย์อาหญิงคนหนึ่งของยอดเขาเฟิ่งหมิงสำนักชิงเต๋อมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกัน เมื่อก่อนข้าไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ดูท่าจะเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว”

บัณฑิตถอนหายใจยาวเหยียด ไม่มองประเมินโครงกระดูกทั้งสองนั้นอีก ชุดคลุมมังกรเป็นเพียงแค่วัตถุทั่วไปบนโลกที่มองดูเหมือนหรูหราก็เท่านั้น ปราณมังกรที่ซุกซ่อนอยู่บนร่างของบุรุษก็ถูกดูดดึง หรือไม่ก็สลายหายไปเองจนสิ้นแล้ว ถึงอย่างไรเมื่อโชคชะตาแคว้นถูกสะบั้น ปราณมังกรก็จะสลายหายไป ส่วนชุดคลุมอาคมของสำนักชิงเต๋อที่อยู่บนร่างของผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นก็ไม่ใช่ระดับขั้นสมบัติอาคมอะไร เป็นเพียงแค่ชุดคลุมอาคมทั่วไปที่ผู้ฝึกตนฝ่ายในทุกคนของสำนักชิงเต๋อได้รับมอบมาจากศาลบรรพจารย์ คาดว่าจักรพรรดิแห่งโลกมนุษย์ท่านนี้กับผู้ฝึกตนหญิงของยอดเขาเฟิ่งหมิงผู้นั้นก็แค่หวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตเท่านั้น

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท