กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 494.4 พันภูเขาหมื่นแม่น้ำ ดวงจันทร์ดวงเดียว

บทที่ 494.4 พันภูเขาหมื่นแม่น้ำ ดวงจันทร์ดวงเดียว

อ้อมผ่านตำหนักหลักอันโอ่โถงโอฬารที่มีไอเมฆหมอกอบอวลจนมองไม่เห็นพระพุทธรูปสีทองแห่งนั้นมา ภิกษุเฒ่าก็ยกสองมือขึ้นพนม สีหน้าจริงใจ เดินไปข้างหน้าเงียบๆ

ข้างกายของภิกษุเฒ่าที่เป็นอรหันต์ร่างทองจนแทบจะสมบูรณ์แบบท่านนี้ทยอยกันมีภิกษุที่หน้าตาเหมือนเขาแต่อายุแตกต่างกันปรากฏตัวขึ้นมาคนแล้วคนเล่า บนร่างสวมห่มจีวรที่แตกต่างกันออกไป รวมแล้วมีห้าท่าน แต่ละคนที่ปรากฎตัวออกมาจากความว่างเปล่าต่างก็เอ่ยคำถามที่ไม่ซ้ำกัน เพียงแต่ว่าภิกษุเฒ่าแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ได้ยิน เพียงเดินหน้าต่อไปเท่านั้น

ภิกษุหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยด้วยสีหน้าเสียดายว่า “เหตุใดถึงไม่ดื่มน้ำชาดอกท้อถ้วยนั้น? ดื่มแล้วก็ไม่ต้องฝึกตนอีกนานหลายปี! ได้ขยับเข้าใกล้สุขาวดีของพุทธศาสนาอีกหนึ่งก้าว ต่อให้แค่ครึ่งก้าวก็ยังดี”

ภิกษุวัยกลางคนผู้หนึ่งมีท่าทางเดือดดาล แผดเสียงใส่ภิกษุเฒ่าดั่งเสียงฟ้าคำรณ “เจ้าฝึกธรรมะภาษาอะไรกัน? หุบเขาผีร้ายมีภูตผีมากมายขนาดนั้น เหตุใดถึงไม่ไปปลดปล่อยพวกมัน!”

ภิกษุท่านหนึ่งที่สวมจีวรงดงามหรูหรามีสีหน้าหยิ่งทระนง เขาเหล่ตามองภิกษุเฒ่าแล้วพ่นเสียงออกจมูก “ฝึกตนอย่างยากลำบากเช่นนี้ หาใช่วิธีการที่ถูกต้องไม่”

หลวงจีนเฒ่าคนหนึ่งที่ทั้งรูปร่างหน้าตาและอายุล้วนใกล้เคียงกับภิกษุเฒ่ามากที่สุดถามเบาๆ ว่า “เจ้าคือข้า? ข้าคือเจ้า?”

สุดท้ายภิกษุหนุ่มเรือนกายสูงเพรียวยืนหันหลังให้กับภิกษุเฒ่าที่เดินไปข้างหน้าด้วยฝีเท้าหนักแน่นตลอดเวลา ภิกษุหนุ่มมองรั้วไม้ไผ่มุมหนึ่งที่ดอกท้อบานสะพรั่งแล้วพึมพำอย่างลุ่มหลงว่า “ดอกท้อนอกรั้วไม้ใกล้บานโผล่พ้น ยลแล้วงดงามอร่ามตา”

ร่างกายของภิกษุเฒ่าหยุดชะงักเล็กน้อย เพียงแต่ไม่นานก็ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า ครู่หนึ่งต่อมาฝีเท้าก็กลับคืนมาเป็นปกติอีกครั้ง

หากไม่เงยหน้าขึ้น คนธรรมดาที่เข้ามาในวัดแห่งนี้จะรู้สึกเพียงว่ามีแสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วบริเวณ

แต่อันที่จริงเมื่อเงยหน้ากลับจะมองเห็นทัศนยภาพที่ดวงจันทร์ลอยอยู่กลางนภา

ในอารามเสวียนตูเล็ก นักพรตเฒ่าเดินมาหยุดอยู่ใต้ต้นท้อที่สูงตระหง่านเสียดฟ้าต้นหนึ่งแล้วทรุดตัวลงนั่งยอง ใช้สองนิ้วคีบดินส่วนหนึ่งขึ้นมาถูเบาๆ

ดินที่อยู่ปลายนิ้วของนักพรตเฒ่าคือดินหมื่นปีที่ผู้ฝึกตนปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน หนักอึ้งดุจทองดุจเหล็ก

นักพรตเฒ่าเงียบงันไม่เอ่ยคำใด

อันที่จริงดินนี้ก็มีคำเรียกขานว่าดินพันปีเช่นกัน และก็มีการแบ่ง ‘เกิดแก่เจ็บตาย’ คนบนโลกล้วนกล่าวว่ามันนิ่งไม่ขยับดุจขุนเขา แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่แบบนั้นทั้งหมด สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วยังคงเป็นเพราะคนธรรมดามีอายุขัย วันเวลามีขีดจำกัด มองดูเหมือนพร่าเลือน ทั้งมองไม่เห็นอย่างแจ่มชัด และไม่ยาวไกล ดังนั้นลัทธิพุทธจึงมีคำกล่าวบอกว่า พระพุทธองค์มองน้ำในบาตร เห็นสิ่งมีชีวิตสี่หมื่นแปดพัน และภิกษุเฒ่าของวัดหยวนเยว่ใหญ่แห่งนั้นก็ใช้สิ่งนี้เป็นวิธีในการเข้าฌาน เพียงแต่เขามองในสิ่งที่ใหญ่กว่า นั่นคือการชมดวงจันทร์

ส่วนนักพรตเฒ่าท่านนี้กลับมองสิ่งที่นิ่งสงบยิ่งกว่า มองดูการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาของสิ่งไร้ชีวิตอย่างดินโคลนเหล่านี้

วัดและอารามทั้งสองเป็นเพื่อนบ้านกัน เขากับภิกษุเฒ่าผู้นั้นต่างคนต่างถกวิชาของตนมานานเป็นพันปี แต่ก็ยังไม่ได้ผลสรุปว่าใครสูงใครต่ำกว่า

ตอนนี้ก็ต้องมาดูที่ว่าตนจะกลายเป็นเทียนจวินก่อน หรือภิกษุเฒ่าจะบรรลุเป็นพระโพธิสัตว์ได้ก่อนเท่านั้น

นักพรตน้อยสวีส่งเดินมาหยุดอยู่ข้างกายอาจารย์อย่างกล้าๆ กลัวๆ พบว่าอาจารย์จมอยู่ในภวังค์ความคิด สวีส่งก็ยิ่งปิดปากสนิทไม่เอ่ยคำใด

นักพรตเฒ่าไม่ได้หันหน้ากลับมา แต่เปิดปากถามยิ้มๆ ว่า “อยู่นอกอาราม ไม่เพียงแต่ไม่สามารถโอ้อวดบารมีได้ ยังถูกผู้ฝึกยุทธหนุ่มคนหนึ่งสั่งสอนมาหนึ่งคำรบ เจ้าคิดว่าประโยคนั้นของเขาพูดได้มีเหตุผลหรือไม่?”

นักพรตน้อยถือแส้ปัดฝุ่นไว้ในมือ เอ่ยอย่างอัดอั้น “พูดมีเหตุผลแล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”

นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ เขาโยนดินในมือทิ้ง ใช้ฝ่ามือที่ขาวสะอาดราวกับหยกลูบดินที่อยู่บนพื้นเบาๆ ให้ราบเรียบ แล้วจึงลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “หมื่นสรรพสิ่งที่มีสติปัญญา และสรรพชีวิตที่มีอารมณ์ความรู้สึก ยิ่งเดินขึ้นสู่ที่สูงมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งเข้าใจการไร้ความรู้สึกของมหามรรคาได้มากเท่านั้น หากเจ้าเลียนแบบนักพรตของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่ชอบกำจัดปีศาจปราบมาร ทำความดีในทุกๆ วันเพื่อสะสมผลบุญก็ไม่ใช่เรื่องร้าย แต่หากเรียนรู้วิชาไร้ความรู้สึก ถามมรรคาแสวงหาความจริงจากข้า กลับจะดียิ่งกว่า”

นักพรตเฒ่าหัวเราะ “วิชาไร้ความรู้สึก หาใช่สอนให้เจ้ากระทำการอย่างป่าเถื่อนอำมหิต สังหารคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อไม่ แต่ต้องการให้เจ้าคอยมองดูสี่ฤดูกาลที่หมุนเวียนผ่านไปแต่ละปี มองดูความไม่แน่นอนของฟ้าดินให้มากขึ้น”

นักพรตน้อยก้มลงกราบอาจารย์ด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง

นักพรตเฒ่าหันหน้ามองไปทางวัดหยวนเยว่ใหญ่แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “โลภ โกรธ หลง หยิ่งยโส หวาดระแวง หากไม่กำจัดเบญจพิษเหล่านี้แล้วเอาแต่ก้มหน้าก้มตาฝึกตนอย่างดึงดัน นั่นก็ไม่ใช่สัมมาสมาธิ แต่เป็นมิจฉาสมาธิ”

นักพรตเฒ่ามองไปยังทางทิศเหนือด้านนอกป่าท้ออีกครั้ง “สวีส่ง หากเจ้ายังไม่อาจบรรลุมรรคา ก็ไม่สู้ทดลองดู เลือกเป็นคนดีในสายตาของวิถีทางโลก เพียงแต่จงจำไว้ว่า การเข้าสู่ทางโลกกระทำความดี ไม่เกี่ยวข้องกับว่าวิถีทางโลกจะตอบแทนเจ้าด้วยความดีหรือเลว วิธีการแตกต่างแต่บรรลุเป้าหมายเดียวกัน นี่ก็เป็นหนึ่งใน…วิชาไร้ความรู้สึกเช่นกัน วิถีแห่งเต๋าคือวิถีแห่งธรรมชาติ”

นักพรตน้อยส่ายหน้า “ข้าไม่อาจเป็นคนดีประเภทนั้นได้”

นักพรตเฒ่าไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ

นักพรตน้อยถามอย่างระมัดระวัง “อาจารย์ อารามเสวียนตูที่แท้จริงก็มีดอกท้อบานสะพรั่ง สี่ฤดูล้วนเหมือนฤดูใบไม้ผลิเช่นที่นี่หรือ?”

นักพรตเฒ่ายิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไม่ควรอยู่ที่ใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ แต่ควรไปยังใต้หล้ามืดสลัวที่มีลัทธิเต๋าเป็นเจ้าบ้าน ไปให้เห็นกับตาตัวเองก็จะรู้แล้วว่าจริงหรือเท็จ หากเจ้าต้องการเช่นนี้ คราวหน้าอาจารย์จะบอกให้ภูตต้นท้อแบกภูเขาลูกนี้ไป เมื่อเจ้าออกไปจากหุบเขาผีร้าย เจ้าสามารถไปฝึกตนอยู่ข้างกายของเจ้าสำนักอายุน้อยแซ่เฮ้อผู้นั้นก่อนได้ หลังจากนั้นค่อยหาโอกาสไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว โอกาสที่จะได้ไปเยือนอารามเสวียนตู แน่นอนว่าย่อมมากขึ้นตามไปด้วย”

นักพรตน้อยส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ไปๆ! อาจารย์ฝึกตนอยู่ที่ไหน ข้าก็ฝึกตนอยู่ที่นั่น”

นักพรตเฒ่าตบศีรษะของนักพรตน้อยเบาๆ

นักพรตน้อยยิ้มจนตาหยี

นักพรตเฒ่าพลันเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ดื่มน้ำชาอินเฉินของลำคลองเหยาเย่มานานมากแล้ว ผ่านไปหนึ่งพันปี คิดดูแล้วรสชาติมีแต่จะยิ่งนุ่มนวลกลมกล่อมมากกว่าเดิม”

……

ม่านสนธยามืดทึบ ห่างจากเมืองชิงหลูอีกไม่ไกลเท่าไหร่แล้ว เหลือระยะทางแค่สองร้อยกว่าลี้เท่านั้น เฉินผิงอันเดินผ่านทะเลสาบสีเขียวเข้มแห่งหนึ่ง

ก่อนหน้านี้อยู่บนภูเขาลูกหนึ่งที่ห่างไปไกล มองมาเห็นว่าตรงจุดนี้มีไฟกองหนึ่งก่ออยู่ เฉินผิงอันจึงรีบเร่งเดินทางมา หากเจอกับวิญญาณหยินที่ออกมาท่องยามราตรีก็จะได้สังหารเพื่อเอาไปขายเป็นเงินได้พอดี

การเดินทางมาเยือนหุบเขาผีร้ายครั้งนี้ การฝึกประสบการณ์มีไม่มาก เพียงแค่ต่อสู้อยู่ที่สันเขาอีกาไปรอบหนึ่ง ตอนอยู่ที่ป่าท้อก็แค่ปล่อยหมัดไปหนึ่งหมัดเท่านั้น ทว่าเงินที่ได้มากลับไม่ถือว่าน้อย

ไม่พูดถึงชุดคลุมอาคมเกล็ดหิมะของป๋ายเหนียงเนียงแห่งนครฟูนี่ตัวนั้น ยังมีโครงกระดูกขาวใสแวววาวที่มูลค่าไม่ธรรมดาอีกสิบกว่าโครง อย่างหลังนี้จะขายได้ราคาเท่าไหร่กันแน่ ยังไม่อาจบอกได้

ส่วนน้ำในลำธารลึกกลางภูเขากระจกวิเศษที่แม้จะไม่ถือว่ามีราคา แต่จะดีจะชั่วก็ช่วยลดทอนปัญหาเล็กๆ บางอย่างให้กับเฉินผิงอัน เพราะก่อนหน้านี้เขาดื่มน้ำในลำธารไปรวดเดียวถึงสองจิน จากนั้นก็ทำสมาธิ ปล่อยดวงจิตจมจ่อมไปกับมัน แล้วใช้วิธีการมองภายในพาดวงจิตเข้าไปในจวนน้ำ ก็เห็นว่าเหล่าเด็กน้อยชุดเขียวทั้งหลายที่อยู่ในจวนน้ำต่างก็ลิงโลดดีใจกันเป็นพิเศษ

สิ่งที่เห็นริมทะเลสาบชวนให้คนประหลาดใจอยู่เล็กน้อย เพราะนั่นคือเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่สวมชุดสีทอง ข้างกายมีข้ารับใช้สองคนติดตามมา น่าจะคิดมาพักค้างแรมอยู่ริมทะเลสาบ

เฉินผิงอันลองประเมินฝีเท้าและระยะดู อีกฝ่ายน่าจะไปที่เมืองหลันเซ่อมาแล้ว การเดินทางท่องเที่ยวสิ้นสุดลงจึงย้อนกลับมายัง ‘ทางหลวง’ มุ่งหน้าตรงไปที่เมืองชิงหลู ดังนั้นตนที่อ้อมไปอ้อมมาจึงมาเจอเข้ากับอีกฝ่าย

ถ้าเช่นนั้นทะเลสาบขนาดเล็กที่ไม่สะดุดตาแห่งนี้ก็น่าจะเป็นทะเลสาบถงลวี่ที่บอกไว้ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ แล้ว สถานที่แห่งนี้อยู่ใกล้กับภูเขาถงกวาน คือภูเขาสายน้ำที่อยู่เป็นคู่เหมือนคู่บำเพ็ญเพียร

ด้านในทะเลสาบถงลวี่มีปลาอยู่สองประเภทที่มีชื่อเสียงอย่างถึงที่สุด เพียงแต่ตกได้ไม่ง่ายเพราะมีกฎเกณฑ์เยอะมาก ตอนนั้นที่เฉินผิงอันอ่านเจอข้อพิถีพิถันยิบย่อยในตำราเหล่านั้นแล้วก็ได้แต่ยอมถอดใจ

ในทะเลสาบมีปลาชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าปลาหลั่ว เกล็ดเป็นสีทองอร่าม มีปีกหนึ่งคู่ เสียงคล้ายกับนกยวนยาง เป็นปลาประเภทที่ล้ำค่าและหายากอย่างยิ่ง ร้อยปีก็ยากจะพานพบได้สักครั้ง เล่าลือกันว่าปลาหลั่วจะปรากฎตัวเป็นคู่ ขอแค่ได้ตัวใดตัวหนึ่งมา เมื่อเอาขึ้นฝั่งมาได้ ปลาหลั่วอีกตัวหนึ่งก็จะตามขึ้นฝั่ง เข้ามาในข้องปลาด้วยตัวเอง ปลาหลั่วขนาดเล็กเท่าฝ่ามือคู่หนึ่งล้ำค่าไปทั้งตัว สามารถนำไปขายได้เงินถึงสองเหรียญเงินฝนธัญพืช ว่ากันว่าหากกินเข้าไปจะไม่ต้องถูกฝันร้ายใดๆ บนโลกใบนี้กล้ำกราย

นอกจากนี้ก็คือปลาหลีสีเงิน ปลาหลีประเภทนี้ตัวใหญ่มาก ว่ากันว่าทุกๆ หนึ่งปีจะมีน้ำหนักเพิ่มหนึ่งจิน เมื่อมีอายุร้อยปี ปลาตัวนี้หากอยู่ในน้ำจะมีพละกำลังมหาศาล ไม่เหมือนกับปลาหลั่ว เพราะปลาหลีสีเงินนี้ไม่ได้มีเฉพาะแค่ในทะเลสาบแห่งนี้เท่านั้น มันถูกผู้ฝึกตนเรียกขานว่าเจียวทะเลสาบน้อย เลือดเนื้อและเกล็ดล้วนไม่มีความมหัศจรรย์ใดๆ มีเพียงจุดเดียวที่พิเศษนั่นก็คือปลาหลีสีเงินที่ถือว่าเป็นสายรองของทายาทเจียวหลงนี้ หากมีชีวิตอยู่ได้ร้อยปีก็จะมีหนวดสองข้างเหมือนกับเจียวหลง ขนาดยาวชุ่นกว่า จากนั้นทุกๆ สามร้อยปีหนวดจะยาวหนึ่งชุ่น หากสามารถเติบโตจนมีหนวดเจียวหลงยาวหนึ่งฉื่อเมื่อไหร่ ก็จะกลายเป็นสมบัติวิเศษของฟ้าดินที่แท้จริงแล้ว เชือกพันธนาการปีศาจหรือแส้ปัดฝุ่นที่ถูกหล่อหลอม หากเพิ่มวัตถุนี้เข้าไปก็จะเท่ากับเป็นการปักบุปผาลงบนผ้าแพร ประสิทธิผลเลิศล้ำไร้ขีดจำกัด

เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันเคยบุกร่องเจียวหลง เคยไปเยือนภูเขาห้อยหัวมาก่อน รู้ว่าบนโลกนี้ยังคงมีนักพรตเต๋าคนหนึ่งที่สามารถใช้หนวดเจียวหลงของแท้แน่นอนมาสร้างเป็นแส้ปัดฝุ่นอาวุธกึ่งเซียนที่สมบูรณ์แบบชิ้นหนึ่งได้

ดังนั้นสำหรับปลาหลั่วและปลาหลีสีเงินที่ยากจะพบเจอในทะเลสาบถงลวี่แล้ว เฉินผิงอันจึงไม่ได้เกิดใจปรารถนาอยากครอบครองอะไรมากนัก

เพราะเสียเวลามากเกินไป

บันทึกเกี่ยวกับผลเก็บเกี่ยวทั้งหมดใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ผู้ฝึกตนล้วนเผาผลาญเวลาไปมาก หากไม่หลายเดือนก็เป็นครึ่งๆ ปี ระหว่างนี้ยังต้องคอยประชันความกล้าหาญและประชันสติปัญญากับปลาตระกูลเซียนสองชนิดนี้ด้วย อีกทั้งส่วนใหญ่ยังมักจะต้องพบเจอกับความผิดหวัง

เมื่อเทียบกับทะเลสาบถงลวี่แล้ว เฉินผิงอันฝากความหวังไว้ที่ภูเขาถงกวานมากกว่า บนภูเขาแห่งนั้นมีวานรย้ายภูเขาและสุนัขตะลุยภูเขาที่สายเลือดไม่บริสุทธิ์เข้าออก

หลังจากที่เฉินผิงอันปรากฏตัว เด็กหนุ่มยังคงมีสีหน้าเป็นปกติ

สตรีผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกที่สะพายธนูพกดาบขยับเปลี่ยนตำแหน่งมาขวางอยู่ระหว่างเจ้านายกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนั้น

ผู้เฒ่าชุดดำมีสีหน้าไร้อารมณ์อยู่ตลอดเวลา มือหนึ่งถือกาเหล้าขวดกระเบื้องสีส้ม มือหนึ่งถือเนื้อหมักเต้าเจี้ยวชิ้นใหญ่ กำลังละเลียดเคี้ยวอย่างละเอียด

เฉินผิงอันจึงไปเก็บกิ่งไม้แห้งแล้วจุดกองไฟอยู่ห่างไปไกล

เห็นได้ชัดว่าเจ้านายและบ่าวสามคนนั้นมุ่งตรงมาที่ทะเลสาบถงลวี่โดยเฉพาะ หลังจากที่ผู้เฒ่าชุดดำกินเนื้อดื่มเหล้าเสร็จเรียบร้อยก็หยิบไม้ไผ่สีเขียวมรกตวาววับเปล่งปลั่งหลายปล้องออกมาจากวัตถุฟางชุ่น จากนั้นก็นำมาประกบกันทำเป็นคันเบ็ดที่ยาวมากคันหนึ่ง เส้นเอ็นที่ใช้ก็บางราวกับเส้นผม ทว่าตะขอตกปลาที่เป็นสีทองกลับใหญ่เท่าฝ่ามือ เด็กหนุ่มไม่ได้อยู่ว่างๆ เขาม้วนชายแขนเสื้อมานั่งยองอยู่ริมน้ำ กำลังเตรียมเหยื่อที่จะใช้ในการตกปลา เขานำอ่างไม้ใบหนึ่งออกมาแล้วเริ่มปั้นเหยื่อ คอยวักน้ำในทะเลสาบใส่อ่างเป็นระยะ ยังหยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมาเทหยดน้ำสีชาดที่กลิ่นคาวเข้มข้นใส่ลงไปอีกหลายหยด

เดิมทีเฉินผิงอันก็ชอบตกปลาอยู่แล้ว จึงอดเหลือบตามองอยู่หลายครั้งไม่ได้

สตรีผู้นั้นกระซิบเสียงเบาอยู่ข้างกายเด็กหนุ่ม

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นใช้แขนเช็ดเหงื่อบนหน้าผากพลางเอ่ยตอบกลับนางสองสามคำ

สตรีจึงลุกขึ้นเดินมาทางเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “ขอโทษด้วย ข้าไม่ได้เจตนาจะสำรวจสืบเสาะอะไร”

สตรีมีสีหน้าเย็นชา ทว่าถ้อยคำที่ใช้ยังนับว่าอ่อนโยน “แค่มองก็ไม่เป็นไร แต่นายน้อยของข้าบอกแล้วว่า การตกปลาหลีสีเงินไม่ควรให้บนฝั่งเกิดเสียงใดๆ หากมีความเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อย ปลาหลีสีเงินที่ได้ยินเสียงจะหนีไปไกล ดังนั้นหลังจากเตรียมเหยื่อเสร็จแล้ว อีกครึ่งชั่วยามต่อมา เมื่อพวกเราโยนเบ็ด อาจต้องให้ทั้งเจ้าและข้าดับกองไฟ แล้วก็ห้ามเดินไปเดินมาเพ่นพ่าน คุณชายบอกว่าหากเจ้ารู้สึกอึดอัดก็สามารถไปพักอยู่ห่างจากริมฝั่งได้”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ดับกองไฟแล้วจากไปไกลทันที เขาไปนั่งอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ มองดูคนทั้งสามตกปลาตระกูลเซียนยามค่ำคืนจากที่ไกลๆ

ระหว่างนี้เด็กหนุ่มคนนั้นที่เห็นว่าเฉินผิงอันยอมดับกองไฟโดยตรงก็หันหน้ามายิ้มขออภัย เฉินผิงอันจึงยิ้มพลางผงกศีรษะตอบรับ

สตรีย้อนกลับไปอยู่ข้างกายของเด็กหนุ่มแล้วถอนหายใจโล่งอกเบาๆ

เด็กหนุ่มยิ้มกล่าว “พี่หญิงฝาน ข้าโปรยเหยื่อลงไปทีละอ่างทีละอ่างแบบนี้ น้ำในทะเลสาบถงลวี่แห่งนี้คงเพิ่มสูงอีกหนึ่งฉื่อแล้วกระมัง”

สตรียิ้มอย่างจนใจ

คิดจะตกปลาประหลาดในทะเลสาบกว้างใหญ่เช่นนี้ เรื่องของการโปรยเหยื่อทีละมากๆ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ อีกทั้งยังสิ้นเปลืองเงินเทพเซียนอย่างยิ่ง ยิ่งปลาล้ำค่าเท่าไหร่ คนตกปลาก็ยิ่งจำเป็นต้องทุ่มเงินก้อนโตมากเท่านั้น นายน้อยของตนไม่เคยขี้เหนียวในเรื่องนี้ ดังนั้นคนบนเส้นทางเดียวกันบนภูเขาจึงพากันพูดไปปากต่อปาก นายน้อยจึงมีฉายาว่าหยวนหนึ่งฉื่อ

แม้ว่าเฉินผิงอันจะอยู่ห่างมาไกล แต่ก็มองออกว่าลำพังเพียงแค่เรื่องของการปั้นเหยื่อ เด็กหนุ่มที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความสูงศักดิ์ร่ำรวยผู้นั้นก็ทุ่มเงินไปก้อนใหญ่แล้ว

ไม่ใช่แค่เกล็ดหิมะไม่กี่เหรียญ ไม่แน่ว่าอาจเป็นเงินร้อนน้อยหนึ่งถึงสองเหรียญแล้วก็เป็นได้

หลังจากปั้นเหยื่อเสร็จ คนทั้งสามก็เริ่มรอคอยอย่างเงียบสงบ

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มน้ำของธารลึกกลางเขาหนึ่งอึกแล้วเริ่มหลับตาพักผ่อน

เมื่อผู้เฒ่าชุดดำเริ่มเหวี่ยงเบ็ด เฉินผิงอันถึงได้ลืมตาขึ้น

เสียงเบ็ดแหวกสายลมออกไป

เส้นเอ็นตกปลาวาดวงโค้งขนาดใหญ่ยักษ์แล้วไปตกไกลอยู่ที่แถบตรงกลางของทะเลสาบถงลวี่

ค่ำคืนยาวนานผ่านไปอย่างเชื่องช้า

การตกปลาใหญ่ในยามค่ำคืน นอกจากจะต้องมีทักษะแล้ว ยังต้องอาศัยความอดทนด้วย

เด็กหนุ่มคนนั้นนั่งอยู่บนม้านั่งฮวาหลี ยกสองมือเท้าแก้ม อ้าปากหาวไม่หยุด

สตรียังคงยืนอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่ม คอยป้องกันจอมยุทธหนุ่มสวมงอบที่อยู่ห่างไปไกลคนนั้น ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ จิตใจคิดร้ายต่อคนอื่นไม่ควรมี แต่จิตใจที่ป้องกันคนอื่นกลับไม่ควรขาด

สองชั่วยามผ่านไป เด็กหนุ่มก็เริ่มงีบหลับ

ผู้เฒ่าชุดดำยกคันเบ็ดกระตุกเหยื่อขึ้นเบาๆ อยู่สองสามครั้ง จากนั้นก็ขว้างเบ็ดออกไปอีก ความอดทนเป็นเลิศ

ผู้ฝึกยุทธหญิงคนนั้นก็ยิ่งยืนแน่นิ่งไม่กระดุกกระดิก

เฉินผิงอันเอนตัวพิงลำต้นไม้ แหงนหน้ามองท้องฟ้ายามราตรี

ดวงจันทร์ลอยพ้นภูเขาสูง ทะเลเมฆกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

ใต้หล้าไพศาลมีพันภูเขาหมื่นสายน้ำ แต่มีพระจันทร์เพียงดวงเดียว

เฉินผิงอันมองอย่างเหม่อลอย

ได้ยินมาว่าบนภูเขามีภาพเทพเซียนที่มาจากฝีมือของเซียนอยู่มากมาย บนม้วนภาพหนึ่งจะมีดวงอาทิตย์ขึ้น ดวงจันทร์ลาลับ สี่ฤดูหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน บุปผาเบ่งบาน บุปผาร่วงโรย

เหตุใดฟ้าดินถึงได้กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ เหตุใดมนุษย์ถึงได้ตัวเล็กจ้อยถึงเพียงนั้น?

เหตุใดเมื่อคนคนหนึ่งเติบโตแล้วจะต้องรู้สึกเดียวดาย

เฉินผิงอันกดงอบลงเบาๆ ปกปิดใบหน้าของตัวเอง

แม่นางหนิง ข้าสบายดีมาก เจ้าล่ะยังสบายดีอยู่ไหม?

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท