หลังจากฟ้าสาง เฉินผิงอันก็พลันตื่นขึ้นมา รู้สึกเพียงว่าสดชื่นปลอดโปร่ง เลือกเอาสิ่งของใส่ห่อผ้าใบใหม่แล้วเดินทางไปเยือนนครถงโช่วอีกครั้ง คราวนี้ในที่สุดก็ได้เจอกับผีผู้บัญชาการณ์คนนั้นเสียที เฉินผิงอันร้อนใจยิ่งกว่าอีกฝ่ายเสียอีก เขารีบโยนเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งออกไป และภายใต้การนำของแม่ทัพผีคนเฝ้าประตู ก็ได้ยินคำพูดมงคลที่บอกว่าขอให้ ‘เงินทองไหลมาเทมา’ อีกครั้ง เฉินผิงอันตรงดิ่งไปที่ตรอกผงทองทันใด คราวนี้ถังจิ่นซิ่วมารออยู่ที่หน้าประตูร้านก่อนแล้ว
พอเห็นเฉินผิงอัน นางก็ยิ้มกล่าวว่า “เซียนซือผู้เฒ่า ท่านช่วยบอกข้าให้แน่ใจทีเถอะว่า วันพรุ่งนี้จะยังมาอีกหรือไม่ หากยังมา วันนี้ข้าจะได้ปูผ้านอนอยู่ในร้าน!”
เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “หลังจากวันนี้ไปคงยังไม่มีสมบัติอะไรมาขายอีกชั่วคราวแล้วจริงๆ ต้องโทษข้า เมื่อคืนวานดื่มเหล้าเข้าไป พอหัวถึงหมอนก็หลับทันที นี่ถึงทำให้ตอนกลางคืนข้าไม่ได้ออกจากโรงเตี๊ยมไปหาเก็บของดีอย่างไรล่ะ คำกล่าวที่ว่าความเมานำพาความผิดพลาดก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง”
วันนี้หลังจากถังจิ่นซิ่วตรวจดูของทุกชิ้นเสร็จแล้วก็เลือกออกมาหกชิ้น ให้เงินห้าเหรียญร้อนน้อย
แม้ว่าจะไม่อาจเทียบได้กับวันแรก แต่เมื่อเปรียบกับเมื่อวานที่ทั้งสองฝ่ายได้แต่จ้องตากันไปมาอยู่ในร้าน สภาพการณ์ชวนกระอักกระอ่วนที่คนหนึ่งสายตาสอบถามว่าจะไม่ซื้อจริงๆ หรือ? ส่วนอีกคนหนึ่งสายตาตอบกลับครั้งแล้วครั้งเล่าว่าข้าซื้อไม่ลงจริงๆ แล้วล่ะก็ การค้าขายของสองฝ่ายในวันนี้ก็เรียกได้ว่าชื่นมื่นกว่ามากนัก
เฉินผิงอันเก็บเงินร้อนน้อยและห่อผ้าไปแล้ว ถังจิ่นซิ่วที่เดินมาส่งเขาหน้าประตูก็พูดสัพยอกว่า “เซียนซือผู้เฒ่า พรุ่งนี้ไม่มาอีกจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันจับประคองงอบ หันหน้ามายิ้มให้นาง “พรุ่งนี้เหนียงเนียงเสนาบดีนอนหลับให้สบายใจเถิด”
ถังจิ่นซิ่วอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มกล่าว “ตกลง”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ยังคงหันตัวกลับมา กุมหมัดเอ่ยลา “รบกวนแล้ว”
ถังจิ่นซิ่วเองก็ยอบกายคารวะกลับ พูดพร้อมยิ้มหวาน “ผู้อาวุโสเซียนกระบี่เดินทางปลอดภัย หากมีเวลาว่างก็เชิญมาอีก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
จู่ๆ ถังจิ่นซิ่วก็อดกลั้นไม่ไหว ยิ้มเอ่ยว่า “เซียนกระบี่ท่านนี้ วันหน้าอย่าได้บุกไปกวาดค้นสิ่งของในห้องหับของสตรีอีกเลย จะเป็นการลดสถานะตัวเองเสียเปล่าๆ”
คราวนี้เฉินผิงอันไม่ได้หันกลับมา เพียงสาวเท้าเร็วๆ ก้าวจากไป
ถังจิ่นซิ่วเอามือหนึ่งกุมท้อง อีกมือหนึ่งปิดปาก ถึงอย่างไรนางก็ไม่กล้าส่งเสียงหัวเราะออกมา นางกลัวว่าเซียนกระบี่หนุ่มที่ทั้งหน้าหนาและหน้าบางในเวลาเดียวกันผู้นั้นจะปล่อยกระบี่บินใส่ตน
ตอนที่เฉินผิงอันเดินออกจากประตูเมืองก็ไม่ลืมมอบเงินเกล็ดหิมะอีกหนึ่งเหรียญให้กับผู้บัญชาการณ์ที่เฝ้าประตูคนนั้น เขาเดินออกจากประตูเมืองมาได้ไม่กี่ก้าว อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็หยุดฝีเท้า หันหน้ากลับไปมองพลางพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็ควักเอาเงินเทพเซียนอีกเหรียญออกมาแล้วโยนให้อีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล คราวนี้ไม่ใช่เงินเกล็ดหิมะอะไรแล้ว แต่เป็นเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเสียงกังวานว่า “ท่านแม่ทัพสามารถเอาเงินนี้ไปเลี้ยงสุราที่ดีที่สุดในนครแก่เหล่าพี่น้องได้”
ผีผู้บัญชาการณ์ตนนั้นรู้สึกเหมือนกำลังฝันไป หันกลับมามองเงินร้อนน้อยที่อยู่ในมือเหรียญนั้นซ้ำหลายรอบ จากนั้นก็ฉีกปากกว้างหัวเราะเสียงดัง “ประเสริฐยิ่งนัก! ในนครถงโช่วของพวกเรา เจ้าของสิ่งนี้คือบรรพบุรุษของเงินเทพเซียนอย่างแท้จริง มีค่ามากกว่าสิ่งใดทั้งนั้น!”
ระหว่างทางที่เฉินผิงอันย้อนกลับไปเมืองชิงหลู ด้วยอยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็เลยเริ่มเดินนิ่งหกก้าว เพราะถึงอย่างไรท่าฟ้าดินนั้นก็แปลกประหลาดเกินไป
ยิ่งเดินนิ่ง จิตใจก็ยิ่งสงบ
โดยไม่ทันรู้ตัวเฉินผิงอันก็มาถึงเมืองชิงหลูแล้ว เขาหัวเราะกับตัวเอง แล้วเดินนิ่งหกก้าวต่อไปจนถึงโรงเตี๊ยม เพราะเหลือระยะทางอีกแค่ไม่กี่ก้าวแล้ว
ไปถึงห้องในโรงเตี๊ยมก็เก็บห่อผ้าเข้าไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อ
ร้านผ้าห่อบุญในหุบเขาผีร้ายนี้ นับว่าทำได้พอสมควรแล้ว
พอนึกถึงเงินร้อนน้อยเหรียญสุดท้ายที่มอบให้ไป เฉินผิงอันก็สูดลมหายใจเข้าลึก
เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ สูดหายใจเข้าลึกอีกครั้งราวกับว่าตัดสินใจจะทำบางอย่างได้อย่างเด็ดขาดแล้ว จึงไม่เหลือความคิดวุ่นวายอื่นใด ครั้นจึงหยิบพู่กันหมึกและกระดาษยันต์สีทองสองแผ่นออกมาจากวัตถุฟางชุ่นอีกครั้ง เริ่มเขียนยันต์ย่อพื้นที่
เขียนเสร็จในรวดเดียว
หลังจากพักผ่อนครู่หนึ่งก็สะบัดข้อมือ ลุกขึ้นเดินนิ่งหกก้าวอยู่ในห้องต่อ พอนั่งลงก็เขียนยันต์ย่อพื้นที่แผ่นที่สองอีกครั้งในรวดเดียว
เมื่อเขียนยันต์ย่อพื้นที่ทั้งสองแผ่นเสร็จก็เก็บเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง
เฉินผิงอันหลับตาลง เริ่มทบทวนประสบการณ์ทั้งหมดนับตั้งแต่ที่ตนเข้ามาในหุบเขาผีร้ายอย่างรวดเร็วหนึ่งรอบ
ตั้งแต่ซุ้มประตูหินที่ตนเดินผ่านมาพร้อมกับพวกกลุ่มของหยวนเซวียนศาลซานหลางและคู่บำเพ็ญตนคู่นั้น มาจนถึงสันเขาอีกา ภูเขากระจกวิเศษ ป่าท้อ ภูเขาโปลั่ว…สุดท้ายคือที่ริมตลิ่งลำคลองเฮยเหอ
หลวงจีนผู้นั้นเคยกล่าวว่า กลับใจคือฝั่ง
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่หน้าประตูเมือง อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็นึกถึงสี่คำนี้ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ แล้วถึงได้มอบเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นออกไป
หลังจากลืมตาขึ้น เฉินผิงอันก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ครู่หนึ่งต่อมาก็หยิบสิ่งของใหม่ๆ จากในวัตถุจื่อชื่อมาใส่ไว้ในห่อผ้า ยกตัวอย่างเช่นภาพเทพเซียนตีกันหลายแผ่นที่อยู่ในห้องของปี้สู่เหนียงเนียง รวมไปถึงแส้ไม้ไผ่สีทองห้าเส้นนั้น!
พอออกจากโรงเตี๊ยม เฉินผิงอันไม่ได้ตรงดิ่งไปที่เมืองถงโช่ว แต่ไปที่ร้านเหล้าในเมืองเล็ก สั่งเหล้ามาดื่มอีกหนึ่งถ้วย
ตอนที่ผู้เฒ่าซึ่งเป็นเถ้าแก่ร้านนำถ้วยเหล้ามาวางไว้บนโต๊ะก็อดไม่ไหวเอ่ยว่า “เซียนกระบี่น้อยท่านนี้ ทำไมหรือ เพิ่งจะทำการค้าที่เมืองถงโช่วเสร็จก็จะกลับไปหาเงินอีกแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางเอ่ยว่า “เงินเทพเซียนไม่มีขา อยู่ในกระเป๋าของคนอื่นก็ยิ่งไม่มีทางย้ายรัง ก็ได้แต่ต้องวิ่งไปวิ่งมาด้วยตัวเองแล้ว”
ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าเถ้าแก่ร้านเคยรับรองคนผู้นี้มาก่อนแล้ว ดังนั้นจึงรู้ว่าเซียนกระบี่หนุ่มตรงหน้าผู้นี้ยังมีโฉมหน้าอีกอย่างหนึ่ง จึงเอ่ยสัพยอกว่า “ได้พบกับถังจิ่นซิ่วน้องสาวเจ้านครถังหรือยัง? หากอยากจะได้เงินมาจากนางมากๆ ข้าก็แนะนำเจ้าว่าอย่าสวมหน้ากากคนแก่นี่เลย”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วพูดล้อเล่นว่า “อย่าดีกว่า ไม่อย่างนั้นหากนางถูกใจขึ้นมาจะไม่กลายเป็นปัญหาหรอกหรือ”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าหัวเราะร่าอย่างชอบใจ “ก็จริงนะ”
ผู้เฒ่าเห็นว่าเฉินผิงอันยังคงค่อยๆ จิบเหล้าคำเล็กอยู่อย่างนั้นจึงถามอีกว่า “เจ้าเป็นถึงเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับไปทำตัวเป็นร้านผ้าห่อบุญเหมือนพวกผู้ฝึกตนอิสระที่เมืองถงโช่วมากี่รอบแล้ว? ไม่กลัวว่ากลิ่นสาบทองแดงจะติดตัวหรือไร?” (ถงโช่วคือกลิ่นเหม็นของทองแดง บนร่างเหม็นกลิ่นทองแดงจึงเปรียบเปรยถึงการกระทำของคนที่เห็นแก่ผลประโยชน์ เห็นแก่เงินอย่างเดียว)
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ครั้งนี้น่าจะได้มาเยอะหน่อย หลายครั้งก่อนหน้านั้นก็แค่อุ่นมือ ลองหยั่งเชิงดูรสนิยมของนางก็เท่านั้น”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหมดแล้วก็ตรงไปที่นครถงโช่ว ผลกลับกลายเป็นว่าแม่ทัพผีผู้นั้นไม่ได้อยู่ที่หน้าประตู
เฉินผิงอันคล้ายจะผิดหวังอย่างมาก ถามทหารผีคนหนึ่งที่เฝ้าหน้าประตูว่าแม่ทัพคนนั้นไปไหน พลทหารผีจึงบ่นให้ฟังว่า “เรียนเซียนซือผู้เฒ่า ก็เพราะว่าท่านมอบเงินเกล็ดหิมะให้เขาใช่ไหมล่ะ ใต้เท้าแม่ทัพก็เลยไปหาความสำราญที่ตรอกบุตรสาวแล้ว พวกเราต้องทำหน้าที่ ก็เลยไม่ได้ดื่มเหล้ากับเขาเลย”
เฉินผิงอันทำสีหน้าพูดไม่ออก ทอดถอนใจหนึ่งครั้ง หมุนตัวได้ก็เดินจากไปทันที แต่จากนั้นก็หันกลับมาอีกครั้ง โยนเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งให้พลทหารผีผู้นั้นพลางกำชับว่า “จำไว้ว่าไปบอกแม่ทัพของพวกเจ้าสักคำว่าพรุ่งนี้ข้าจะยังกลับมาที่นครถงโช่วของพวกเจ้าอีก เขาต้องอยู่ด้วยนะ”
พลทหารผีรับเงินไปแล้วก็ดีใจเป็นกำลัง รีบพยักหน้าค้อมเอว พูดเสียงดังว่า “เซียนซือผู้เฒ่าวางใจได้เลย พรุ่งนี้ต่อให้ต้องจับท่านแม่ทัพมัด ข้าน้อยก็จะพาเขามาให้ได้”
เฉินผิงอันกลับไปถึงโรงเตี๊ยมเมืองชิงหลูแล้วก็ปิดประตูไม่ออกไปไหนอีก
……
นครจิงกวานทางทิศเหนือของหุบเขาผีร้าย เกาเฉิงเจ้านครที่นั่งอยู่บนบัลลังก์กระดูกขาวตัวสูงค่อยๆ หุบฝ่ามือเข้าด้วยกัน หลังจากที่คนหนุ่มผู้นั้นไม่ได้พบกับผีเฝ้าหน้าประตูที่เป็นดั่งดาวนำโชคของเขาก็หวนกลับไปที่เมืองชิงหลูด้วยความผิดหวัง ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้เจ้านครจิงกวานคลี่ยิ้มหยัน
เวลานี้เกาเฉิงไม่ได้อยู่ในสภาพของโครงกระดูกขาวโพลนอีกต่อไป แต่กลับคืนมามีสภาพเหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่ว่ารูปโฉมของเขาก็ยังคงธรรมดาสามัญ
พรุ่งนี้จะไปที่นครถงโช่วอีก?
เกาเฉิงหวนนึกถึงน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่คนหนุ่มห้อยไว้ตรงเอว
เขากดด้ามดาบเบาๆ แล้วเริ่มรอคอยให้สตรีเจ้าสำนักผู้นั้นจากไป
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองชิงหลูนี้ เกาเฉิงสามารถมองดูได้บางส่วน หรือควรจะพูดได้ว่าสามารถมองดูได้สองจุด แต่ทุกครั้งที่ลอบแอบมองจำเป็นต้องระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก หนึ่งเพราะหากว่ากันตามความหมายที่เข้มงวดแล้ว อันที่จริงเมืองชิงหลูไม่ถือว่าเป็นของฟ้าดินขนาดเล็กอย่างหุบเขาผีร้ายนี้ สองเพราะมีจู๋เฉวียนคอยจับตามองดูอยู่ อีกทั้งนางยังมีสมบัติหนักชิ้นหนึ่งของสำนักพีหมาคอยช่วยคุมหลังให้ ดังนั้นเมื่อร่ายใช้วิชาอภินิหารมองภาพเหตุการณ์ผ่านฝ่ามือ ภาพที่เห็นจึงค่อนข้างจะพร่าเลือนและติดๆ ขัดๆ ได้แค่พอมองเห็นภาพรวมคร่าวๆ อย่างถูไถเท่านั้น
แต่ต่อให้หมากสองตัวนั้นจะเปิดเผยร่องรอยของตนเองด้วยสาเหตุนี้ก็ยังถือว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง
อันที่จริงเกาเฉิงหวังให้คนหนุ่มผู้นั้นเดินออกไปจากเมืองชิงหลูแล้วขึ้นเหนือมาอีกหน่อย
และดูจากท่าทางแล้ว ไอ้หมอนั่นต้องเดินทางขึ้นมาทางเหนือต่ออย่างแน่นอน
ตอนนี้ก็ได้แค่รอให้นักพรตหญิงแซ่เฮ้อผู้นั้นไปจากหุบเขาผีร้ายก็พอ
นางอยู่ในนครจิงกวาน
บวกกับเจ้าเจียงซ่างเจินที่ชื่อเสียงเหม็นโฉ่ระบือไกลผู้นั้น
สถานการณ์จะเปลี่ยนมาเป็นซับซ้อนอย่างยิ่ง
เกาเฉิงหลับตาลง มือสองข้างวางลงบนพนักวางแขนบัลลังก์ที่เป็นศีรษะของฮ่องเต้สิ้นชาติสองคนเบาๆ
ม่านรัตติกาลเยื้องกรายมาเยือน
เรือหลิวเสียค่อยๆ ลอยขึ้นกลางอากาศ
เกาเฉิงลุกขึ้นยืน พริบตาเดียวก็มาอยู่บนเรือวิเศษลำนั้น
เฮ้อเสี่ยวเหลียงมองเจ้านครจิงกวานท่านนี้ด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง
เกาเฉิงพลันเข้าใจความจริงข้อหนึ่งที่เดิมทีพร่าเลือนขึ้นมาได้ จึงระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น ใช้หมัดทุบอก พูดเสียงทุ้มหนักว่า “แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้ แต่ข้าก็ไม่สนใจวิธีการที่วกวนอ้อมไปอ้อมมาเหล่านี้ ขอแค่ทำสำเร็จ วันหน้านครจิงกวานของข้าจะต้องตอบแทนให้อย่างงามแน่นอน!”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่สนใจแม้แต่น้อย
นางยังคงไม่ทำอะไรและไม่พูดอะไรอยู่เหมือนเดิม
เกาเฉิงไม่ถ่วงเวลาการเดินทางออกจากหุบเขาผีร้ายของเรือวิเศษลำนั้นอีก เพียงไม่นานก็ย้อนกลับไปที่บัลลังก์ในนครจิงกวาน ครั้นจึงยกมือใหญ่ขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ช่วยเปิดประตูบานใหญ่ระหว่างหุบเขาผีร้ายกับชายหาดโครงกระดูกไว้ตรงม่านฟ้าทิศทางที่เรือหลิวเสียลำนั้นมุ่งหน้าไป
บนกำแพงเมือง เจียงซ่างเจินไม่ได้โดยสารเรือหลิวเสียลำนั้นกลับไปด้วยจริงๆ แต่เดินเล่นอยู่บนหัวกำแพงเมืองต่อ แหงนหน้ามองม่านฟ้าที่เป็นช่องโหว่เหมือนมีประตูบานหนึ่งเปิดอ้า
เรือหลิวเสียพุ่งวาบหายไป
ย้อนกลับไปถึงชายหาดโครงกระดูกอีกครั้ง ประตูใหญ่ด้านหลังก็ปิดลงในเสี้ยววินาที
เทพหญิงฉีลู่เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “นายท่าน ทำแบบนี้เพื่ออะไร?”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงกล่าวอย่างเฉยเมย “คู่บำเพ็ญตนบนโลกใบนี้มักจะต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกันเสมอ แต่ข้าเฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับมีโชควาสนาที่ลึกล้ำ จนถึงขั้นมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งสองทวีป ดังนั้นไม่ว่าข้าจะอยู่ที่ไหน หากข้ามีคู่บำเพ็ญเพียร ถ้าเช่นนั้นเขาก็ย่อมมีโชควาสนาพุ่งมาหาไม่ขาดสาย ยิ่งทั้งสองฝ่ายอยู่ใกล้กันก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อข้าอยู่ในนครจิงกวานที่ขัดแย้งต่อโชคชะตา กัดกินตบะของข้าแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เรื่องดีอะไร”
เทพหญิงฉีลู่พูดตะกุกตะกัก “ดังนั้นข้าถึงได้เดินออกมาจากภาพวาด? ดังนั้นนายท่านถึงได้จงใจมาเยือนหุบเขาผีร้าย แล้วก็จงใจจากมาในคืนนี้?”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่เอ่ยอะไรสักคำ
เทพหญิงฉีลู่ใบหน้าซีดเผือด
……
เฮ้อเสี่ยวเหลียงที่อยู่กลางทะเลเมฆเหนือชายหาดโครงกระดูกพลันหันขวับกลับไป อ้าปากค้างน้อยๆ ใบหน้าของนางไม่รู้ว่าเป็นสีหน้าแบบใด สุข ทุกข์ โมโหหรือปลื้มปิติ ทว่าสุดท้ายแล้วก็กลับคืนมามีสีหน้าเรียบเฉย จ้องมองไปทางทิศใต้ด้วยสายตาล้ำลึก
เทพหญิงฉีลู่ตัวสั่นอย่างพรั่นผวา
เฮ้อเสี่ยวเหลียงหันหน้ากลับมา เอ่ยประโยคเดียวว่า “ไป”
ในนครจิงกวาน หลังจากได้เห็นภาพที่น่าเหลือเชื่อนั้นแล้ว เจียงซ่างเจินก็ขยี้หน้าตัวเองแรงๆ
คราวนี้ข้าผู้อาวุโสยอมซูฮกให้เจ้าแล้วจริงๆ
เรื่องแบบนี้ก็คิดได้ ทำได้ด้วยหรือไร?
เกาเฉิงพลันลุกพรวดขึ้นยืน โทสะพุ่งทะยานเทียมฟ้า คำรามอย่างเดือดดาล “กระบี่บินอย่าไป!”
ในวัดหยวนเยว่ใหญ่ ภิกษุเฒ่าเงยหน้าขึ้น ยกสองมือประนม ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ประเสริฐยิ่ง”
ทางฝั่งของเมืองชิงหลู
บนสันหลังคาโรงเตี๊ยมทางทิศใต้ หลังจากแสงสีทองเปล่งวาบอยู่สองครั้ง มือกระบี่หนุ่มที่เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ก็มาถึงจุดที่ห่างม่านฟ้าแถบนั้นไปไม่ไกลในชั่วพริบตา ในมือของเขาถือกระบี่เงื้อขึ้นฟันม่านฟ้า แล้วจึงขี่กระบี่พุ่งตรงไปยังศาลบรรพจารย์ของสำนักพีหมา
จู๋เฉวียนเอามือกดด้ามดาบ ลอยตัวอยู่กลางอากาศ สายตามองไปทางทิศเหนือ
เจ้าสำนักพีหมาท่านนี้ไม่เพียงแต่ไม่ขัดขวาง กลับกลายเป็นว่ายังช่วยจับตามองความเคลื่อนไหวทางทิศเหนือให้กับเซียนกระบี่หนุ่มที่ก่อนหน้านี้แอบมาหานาง แล้วทั้งสองฝ่ายก็ทำการค้ากันเล็กๆ อีกด้วย
ในนครจิงกวาน มือดาบโครงกระดูกขาวที่ร่างสูงพันกว่าจั้งพลันเผยกาย คิดจะใช้หนึ่งดาบฟันปราการฟ้าดินเพื่อไล่ตามไปฆ่าเซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้นที่นอกชายหาดโครงกระดูก
เจียงซ่างเจินหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง โยนแหที่ใหญ่กว่า ‘แหเงินเกล็ดหิมะ’ สองปากที่เคยโยนออกไปก่อนหน้านี้ แหสองปากนั้นก็เป็นแค่แหลูกหลานเท่านั้น ปากนี้ต่างหากที่ถึงจะเป็นแหบรรพบุรุษ
แหใหญ่พลันพุ่งเข้ารัดพันข้อเท้าของโครงกระดูกขาวที่ร่างใหญ่ดุจขุนเขาแล้วกระชากอีกฝ่ายลงมาแรงๆ ส่วนตัวเจียงซ่างเจินก็ทะยานขึ้น ใช้ใบหลิ่วใบหนึ่งเปิดฟ้าดิน ถึงขนาดยอมตัดใจทิ้งสมบัติหนักอย่างแหใหญ่ที่มีมูลค่าหลายสิบเหรียญเงินฝนธัญพืชปากนั้นไปได้ ส่วนตัวเองที่ระหว่างบินออกไปจากช่องโพรงม่านฟ้าก็ยังหันหน้ากลับมายิ้มกล่าวว่า “เจ้าโครงกระดูกผู้นี้ มาฆ่าข้าสิ มาฆ่าข้าสิ มาสิ หากไม่มาจะถือว่าเจ้าเป็นหลานคนดีของข้านายท่านโจวเฝย…”
เจียงซ่างเจินทิ้งถ้อยคำชวนให้อาฆาตได้อย่างคล่องปากไม่ถ่วงเวลาการเผ่นหนีของตัวเองแม้แต่น้อย
ในหุบเขาผีร้าย จู๋เฉวียนออกดาบ สายรุ้งสีขาวเส้นหนึ่งก็พุ่งจากใต้ขึ้นเหนือ ฟันเข้าที่หน้าท้องของกระดูกขาวร่างยักษ์นั้น
และยังมีแสงกระบี่ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากนครกรงขาว ฟันฉับเข้าที่ศีรษะของกระดูกขาว
จู๋เฉวียนร้องเอ๊ะหนึ่งที ก่อนจะถามว่า “โครงกระดูกผู นี่เจ้าทำอะไร? อันที่จริงเจ้าปรารถนาในความงามของข้ามานานแล้ว พอภรรยาร้องสามีก็เลยรับอย่างนั้นหรือ?”
โครงกระดูกขาวตนนั้นเอ่ยอย่างเฉยเมย “มือกระบี่อย่างข้าไม่ว่าทำอะไรก็ล้วนไร้พันธนาการจากฟ้าดิน”
จู๋เฉวียนและผูหรางคนหนึ่งออกดาบ คนหนึ่งออกกระบี่สกัดขวางการผ่าปราการม่านฟ้าของโครงกระดูกขาวที่ร่างใหญ่โตราวขุนเขาผู้นั้น
เฉินผิงอันที่ขี่กระบี่มุ่งหน้าไปยังศาลบรรพจารย์บนภูเขาของสำนักพีหมาปาดเหงื่อบนหน้าผากแล้วยิ้มกว้าง
ข้าก็คือคนที่ใช้หนึ่งกระบี่ผ่าม่านฟ้ามาก่อนเหมือนกัน
สะใจจริง
—–