บทที่675 การเปลี่ยนแปลงกะทันหัน
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันที่เกิดขึ้นเร็วเกินไป ไม่มีใครตอบสนองได้ทัน มองถนนตรงนั้นยุบลงไปเป็นก้อนใหญ่
หิมะกลิ้งหล่นไปพร้อมกับก้อนหิน ท่วมกลบป่ายฉีไปโดยสมบูรณ์
เย้นหว่านเย็นวาบไปทั้งตัว จ้องมองที่ตรงนั้นอย่างตะลึงงัน แทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
ป่ายฉี ตกลงไปเหรอ?
ถ้างั้นไม่ใช่ว่าเขา….
“ไม่ ไม่”
เย้นหว่านส่ายหัวอย่างไม่อยากเชื่อ น้ำตาพลันร่วงหล่นลงมาจากดวงตา
เธอไม่กล้าคิดเลยว่าทำไมอยู่ดี ๆ ที่ตรงนั้นถึงพังทลายลงอย่างกะทันหัน แล้วยังพาเอาป่ายฉีลงไปด้วย
คนที่ยอดเยี่ยมไม่ธรรมดาขนาดนั้นอย่างเขา จะตายไป…แบบนี้งั้นเหรอ?
หัวใจของเย้นหว่านกระตุกอย่างรุนแรง ชั่วเวลานั้นคนทั้งหมดก็ถูกบรรยากาศอันรวดร้าวห่อหุ้มกลืนหายไป
เย้นหว่านนั้นได้สติเร็วที่สุด เธอรีบเดินมาจากตรงที่กำลังดันทางข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เธอยืนอยู่ข้างถนนที่ทรุดตัว ขมวดคิ้วมุ่นมองลงไปข้างล่าง
แผ่นฝืนสีขาวกว้างใหญ่ไพศาล มองไม่เห็นอะไรเลย
เย้นหว่านพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ช่วยเขาได้มั้ย ช่วยเขา….”
แม้ว่าตกลงไปจากตรงนี้นั้น แทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะรอดเลย แต่กลับไม่อาจนิ่งดูดายได้
ถึงจะเป็นความหวังอันริบหรี่ ก็อย่ายอมแพ้นะ
เย้นโม่หลินมองลงไปด้วยแววตาหนักอึ้ง หัวคิ้วขมวดแน่น
น้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างมาก “เราไร้หนทางช่วย”
เพียงคำเดียวนั้น ราวกับคำตัดสินประหารชีวิต
แม้แต่การช่วยเหลือก็หมดหนทาง ก็ยิ่งหมดโอกาสจะรอดชีวิตแล้ว
ดวงตาของเย้นหว่านหม่นมัว สะอึกสะอื้นแทบล้มหมดสติ
โห้หลีเฉินโอบเอวเธอแล้วกระชับไว้ในอ้อมแขนแน่น เพื่อพยุงเธอ
เขาขมวดคิ้ว เอ่ยปลอบโยน “อย่ามองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้น ถ้าป่ายฉีตอบสนองได้เร็วสักหน่อย ก็ยังรอดได้”
ยังรอดได้เหรอ?
เย้นหว่านมองไปยังที่ที่ทรุดลงไปที่ห่างไปไม่ไกลด้วยแววตาวูบไหว ด้านล่างนั้นลึกไม่เห็นก้น ถูกล้อมรอบด้วยเมฆหมอก หากหล่นลงไปสักคน คงตกลงไปตายจมหายไปในไม่กี่วินาที ยังมีโอกาสรอดอีกอย่างนั้นเหรอ?
แต่โห้หลีเฉินคงไม่โกหกเธอเล่น ๆ หรอก
หัวใจของเย้นหว่านสั่นสะท้านอย่างกระวนกระวาย กำลังคิดว่าหลังจากที่ป่ายฉีตกลงไปแล้ว จะมีความเป็นไปได้เท่าไหร่ที่จะตกลงไปยังที่ที่ละลาย แค่บาดเจ็บสาหัสแต่กลับฟื้นคืนชีพกลับมาได้
เธอคิดไปหลายความเป็นไปได้ แต่กลับไม่ได้คิดถึงในฉากต่อไป….
ชะง่อนผาริมทางที่เห็นแค่เพียงหิมะหนาสีขาว ทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากข้างล่าง
เย้นหว่านเบิกตากว้างอย่างตกใจ
จากนั้นก็เห็นมืออีกข้างปีนตามขึ้นมาเช่นกัน ก่อนจะมีหัวโผล่ขึ้นมาจากข้างล่าง
เป็นป่ายฉีนั่นเอง
สีหน้าของเขาซีดเผือด แต่ท่าทางกลับกระปรี้กระเปร่า กัดฟันตะโกน
“รีบมาช่วยสิ กูจะเกาะไม่ไหวอยู่แล้วโว้ย”
บอดี้การ์ดที่ตะลึงลานอยู่ข้าง ๆ ถึงได้สติขึ้นมา แล้วรีบพุ่งเข้าไป ซ้ายขวาดึงป่ายฉีขึ้นมาจากข้างล่างเป็นพัลวัน
หลังจากขึ้นมาแล้ว ป่ายฉีก็รีบเดินมุ่งไปยังถนนข้างในหลายก้าว ปลดตะขอโซ่บนร่างกายออก แล้วบ่นเรื่อยเปื่อยอย่างโมโห
“แม่ง โชคดีที่ฉันเตรียมเอาก่อน ไม่งั้นวันนี้คงได้ตายอยู่ตรงนี้แหละ”
ทรุดตรงไหนไม่ทรุด ดันมาทรุดตรงที่เขายืนอยู่ คุณว่ามันน่าโมโหมั้ยล่ะ?
เย้นหว่านเหม่อมองป่ายฉี ในใจเหมือนได้นั่งรถไฟเหาะมาอย่างนั้น ตกลงมาจากที่สูง แล้วทะยานขึ้นจากที่ต่ำอีกครั้ง
สุดท้าย ทั้งหมดก็กลายเป็นความปีติอย่างท่วมท้น
ป่ายฉียังไม่ตาย กระทั่งไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย!
ตื่นตูมไปซะแล้ว
ป่ายฉีกำลังปลดตะขอบนร่างของตัวเอง เมื่อเห็นเย้นหว่านก็หัวเราะอย่างล้อเลียน
“โถ่เอ๊ย เสี่ยวหว่านที่รักของฉัน เธอร้องไห้เพื่อจนตาแดงไปหมดแล้วเนี่ย”
น้ำเสียงที่เพลิดเพลินกับความทุกข์ของคนอื่นนั่น ทำให้ใจของเย้นหว่านที่เหลือแค่ความหวาดกลัวตื่นตระหนกเล็กน้อยนั้นหายไปเป็นปลิดทิ้ง
ไอ้เจ้านี่ พอไม่ตายก็ปากดีเลย
เธอคร้านจะสนใจเขาแล้ว
ป่ายฉีเองก็ไม่ได้เสียอารมณ์ ยังเบนสายตามองไปยังโห้หลีเฉินที่สีหน้าไม่ค่อยดีอีกต่อ แล้วพูดพลางหัวเราะร่า
“โห้หลีเฉิน อุปกรณ์ของนายเตรียมมาดีมากเลย ขอบคุณมากนะ นายช่วยชีวิตฉันแล้ว ฉันเป็นหนี้บุญคุณนาย ต่อไปถ้าต้องใช้ที่ของฉัน ก็บอกได้เลย”
ใช่แล้ว ตะขอพวกนี้บนร่างกายของเขานั้นเป็นของที่โห้หลีเฉินออกแบบและเตรียมการนั่นเอง
โดยปกติจะซ่อนไว้ในเสื้อผ้าหนา มองอะไรไม่ออก และไม่มีผลกระทบอะไรอีกด้วย แต่หากเกิดเหตุการณ์อันตรายขึ้นมา ตะขอและอุปกรณ์เหล่านี้ก็จะทำงาน
หลังจากเขาตกลงไปเมื่อกี้นี้ ตะขอพวกนี้ก็ยิงลอยขึ้นมา เกาะกับโขดหินด้านล่างแล้วจึงสร้างความมั่นคงให้เขา ไม่ให้ตกลงไปตาย
โห้หลีเฉินเม้มปาก แววตาเย็นยะเยือก
“ฉันมีเรื่องขอร้องนายแค่เรื่องเดียวเท่านั้น อย่าทำให้เย้นหว่านตกใจอีก”
ที่เขาพูดขึ้นมานั้นเป็นคำขอร้อง ในคำพูด ก็ยังแฝงการเตือนอยู่พอสมควร
เย้นหว่านไม่เหมือนกับพวกเขา ไม่เคยผ่านสภาพแววล้อมอันตรายอะไรมาก่อน ความสามารถในการแบกรับของหัวใจแข็งแกร่งไร้ที่ติ แต่เย้นหว่านไม่ได้ ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนี้ เธอจะหวาดกลัวด้วยจิตใต้สำนึก
เพียงลมเบา ๆ พัดให้ใบหญ้าไหว ก็สามารถทำให้เธอเครียดและกังวลได้
ระหว่างทางมานี้ ป่ายฉีแกล้งเธออยู่ตลอด เมื่อครู่ก็ทำให้เย้นหว่านตกใจกลัวจนร้องไห้แล้ว
โห้หลีเฉินนั้นไม่พอใจป่ายฉีมานานแล้ว
ป่ายฉีแตะจมูกอย่างค่อนข้างอึดอัด “โอเค ๆ ๆ ฉันรับรองว่าจะไม่ทำให้เสี่ยวหว่านตกใจอีก”
เย้นโม่หลินมองป่ายฉีอย่างรังเกียจ หนีจากความตายมาได้ก็ประจบโห้หลีเฉินเลยรึไง?”
หน้าไม่อาย
ป่ายฉีถูกจ้องจนมุมปากกระตุก อึดอัดสุด ๆ
เขาก็แค่ตอบแทนบุญคุณไงเล่า
คนธรรมดาไม่เข้าใจ
เย้นโม่หลินเองก็ขี้เกียจจะสนใจเขาเช่นกัน เขาเอ่ยออกคำสั่ง
“ดันทางต่อไป อีกเดี๋ยวจะสร้างสะพานขึ้นที่นี่”
ถนนทรุดไปส่วนหนึ่ง อีกสักครู่มีแต่ต้องสร้างสะพานขึ้นมาเท่านั้น จึงจะสามารถทำให้รถข้างหลังผ่านไปได้
เมื่อได้ยินคำสั่ง เหล่าบอดี้การ์ดก็รีบเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แต่ป่ายฉีกลับรีบพูดขึ้น
“ไม่ได้ ไปจากตรงนี้ไม่ได้หรอก”
เย้นโม่หลินมองเขาอย่างสงสัย
ป่ายฉีเก็บท่าทีเยาะเย้ยถากถางสังคมแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง
“เมื่อกี้ตอนที่ฉันอยู่ด้านล่าง เห็นสภาพของโขดหินด้านล่างแล้ว มันมีรอยแตกเยอะมาก โครงสร้างไม่เสถียรมากและอาจถล่มลงมาได้ตลอดเวลา”
“พวกเราอาจยังไม่ทันได้เปิดทาง ที่นี่ก็ถล่มแล้ว”
เมื่อครู่เป็นเพียงการทรุดตัวเป็นพื้นที่เล็ก ๆ ก็ทำป่ายฉีหล่นลงไปแล้ว
แต่ถ้าถล่มต่อไป หากพื้นที่มันใหญ่อีกนิด ขบวนรถของพวกเขาจะร่วงลงไปทั้งหมด
เย้นโม่หลินขมวดคิ้วแน่น นี่เป็นเส้นทางเดียวที่รู้ในตอนนี้ ที่อื่น ๆ เป็นภูเขาที่ทอดยาวและไม่มีทางไปได้เลย
โห้หลีเฉินกลับพิจารณาอย่างไร้ความลังเล เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น
“ขบวนรถจะรีบหันกลับไปจากที่นี่ทันที ออกไปแล้วค่อยหาทางกันใหม่อีกที”
หยุดไปเล็กน้อย เขาก็พูดขึ้นอีกประโยคด้วยอารมณ์พาล “ถ้ามันไม่มีทาง ก็สร้างทางตัดถนนไปเลย”
สถานที่ที่เขาจะไป ที่ราบสูงภูเขาหิมะก็ไม่สามารถกีดขวางได้
แค่เพียงแบบนั้นคงต้องเสียเวลามากหน่อยเท่านั้น
แต่ถ้าตอนนี้ดันถนนต่อไปข้างหน้าล่ะก็ ปัจจัยด้านความไม่แน่นอนของความปลอดภัยนั้นใหญ่เกินไป เป็นไปได้สูงว่าทุกคนจะตกภูเขาหิมะลงไปกันหมด
เขาไม่สามารถทำให้ทุกคนมารับความเสี่ยงนี้
เย้นโม่หลินมองโห้หลีเฉินด้วยแววตาซับซ้อน คนที่จะหายาต่อคือเขา คนที่ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวก็คือเขา
กล้าหาญมาก
เขาเองก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ก่อนกวักมือ พูด “ถอย”
เหล่าบอดี้การ์ดเริ่มเก็บอุปกรณ์อย่างรวดเร็ว
โห้หลีเฉินโอบเย้นหว่านแล้วเดินไปยังรถของพวกเขาที่จอดอยู่ด้านหลัง
เว่ยชียังช่วยกันอยู่ด้านหน้า โห้หลีเฉินพาเย้นหว่านขึ้นรถไปก่อน
“รอสักเดี๋ยว ไม่นานพวกเราก็จะออกไปจากที่นี่”
โห้หลีเฉินปลอบขวัญเย้นหว่านเสียงเบา ขณะเดียวกันก็ถอดโค้ทกันหนาวออก
เขาเพิ่งจะวางเสื้อผ้าลง ในตอนนั้นเอง การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน.