เย้นโม่หลินที่เดินนำหน้าสะดุดกึก เกือบจะล้มลงเพราะทรงตัวไม่อยู่
ยาเสน่ห์?
กลยุทธ์หลอกล่อ?
อันแรกยังกับนิยายเพ้อฝัน อันที่สองต่ำขนาดนั้น ใช่เรื่องที่คนอย่างเย้นโม่หลินต้องทำไหม?
เย้นโม่หลินมองมาที่กู้จื่เฟยอย่างจนใจ “เธออยากให้ฉันใช้หน้าตาหลอกล่อเหรอ?”
กู้จื่อเฟยครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็พยักหน้าหงึกๆ
เธอเอ่ยพูดว่า “ใช่แล้ว ฉันคาดหวังนะ”
ใบหน้าของเย้นโม่หลินทะมึนในทันที
เมื่อคืนยังบอกว่ารักเขาจะตายอยู่แล้ว มาวันนี้คิดจะให้เขาไปใช้หน้าตาหลอกล่อคนอื่น แถมยังเป็นผู้ชายอีก นี่เธอใจกว้างขนาดนั้นเลยเหรอ?
พูดกันว่าคนที่เป็นคู่รักกันมักจะมีความขี้หวง เธอคง……..ไม่ได้รักเขาจริงๆสินะ
น่าเสียใจที่เขาคิดไปเองว่ามันจริง แอบดีใจอยู่ตั้งนาน
เย้นโม่หลินหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เขาเม้มริมฝีปาก แล้วหันหลังเดินจากไปทันที
กู้จื่อเฟยมองใครคนนั้นอย่างไม่ละสายตาไปไหน รังสีแห่งความหนาวเหน็บเปลี่ยนจากความสดใสในเดือนมีนาเป็นความเยือกเย็นในเดือนธันวา
จนร่างกายของเธอสั่นไหวอย่างไม่อาจห้ามได้
แต่กู้จื่อเฟยกลับไม่ได้รู้สึกกลัว หรืออาจจะพูดได้ว่า เธอเคยชินกับรังสีดุดันของใครคนนั้นแล้วก็ได้
เธอเดินดุ๊กดิ๊กๆไล่ตามหลังไป จากนั้นก็เป็นฝ่ายจับมือของเย้นโม่หลินเอาไว้ก่อน
เอ่ยพูดอย่างคาดหวังว่า “ฉันคาดหวังมาก ความรู้สึกที่ถูกพี่ใช้หน้าตาหลอกล่อมันจะเป็นยังไงกันนะ”
ฝีเท้าของเย้นโม่หลินพลันค้างเติ่ง เหมือนมีขนนกเฉียดผ่านหัวใจ ให้ความรู้สึกคันๆ แถมจั๊กจี้ และเหน็บชาอย่า
งหาที่สุดไม่ได้
เมื่อป่ายฉีหันกลับมามอง แล้วเห็นว่าใบหูของเย้นโม่หลินแดงระเรื่อ ถูกหยอกเย้าจนมีท่าทางทนไม่ไหว ในใจก็รู้สึกสงสารขึ้นมา
เย้นโม่หลินน่าสงสารเกินไปแล้ว
เมื่อชายหนุ่มผู้ด้อยประสบการณ์มาพานพบกับกู้จื่อเฟยที่มีชั่วโมงบินสูง ชีวิตนี้คงโดนกินเรียบแน่
เกินเยียวยาแล้ว อย่าคิดที่จะกลับตัวเลย
……
ตระกูลหยู
บริเวณข้างๆคฤหาสน์หลังใหญ่ ยังมีบ้านเดี่ยวเล็กๆอยู่หลายหลัง
เดิมทีโห้หลีเฉินอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ แต่ตอนนี้เขาพาเย้นหว่านย้ายออกมาอยู่บ้านเดี่ยวแล้ว
บริเวณรอบบ้านของเขา มีบอดี้การ์ดที่ฝึกฝนมาอย่างดีล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนาทั้งข้างในและข้างนอก แม้แต่มดตัวเล็กๆก็ไม่อาจหลุดลอดเข้ามาได้
ถึงแม้จะเป็นหยูฉู่สอง ก็ต้องผ่านการรายงานตัวในแต่ละขั้น ถึงจะสามารถเข้ามาข้างในได้
นั่นก็เท่ากับว่า โห้หลีเฉินสร้างโลกแคบๆที่แข็งแกร่งขึ้นมาภายในอาณาเขตของตระกูลหยู
และข้างในนั้น ยังมีเย้นหว่านอาศัยอยู่ด้วย
เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยให้เย้นหว่าน ในขณะเดียวกัน ไม่ว่าโห้หลีเฉินจะปรึกษาหารือเรื่องอะไร ก็จะดำเนินการอยู่ที่นี่ เพื่อยืนยันว่าไม่มีใครสามารถแอบฟังได้
การทำแบบนี้ เหมือนกำลังท้าทายอำนาจของหยูฉู่สองอย่างไม่ต้องสงสัย
เขากรุ่นโกรธไม่พอใจ แต่ว่าภายใต้เงื่อนไขของสถานการณ์ในตอนนี้ กลับไม่สามารถทำอะไรได้
จุดยืนของเขา เปลี่ยนเป็นเสียเปรียบทั้งภายในและภายนอก
ปัญหาภายนอกคือ ตระกูลเย้นรู้ข่าวแล้ว จึงแตกหักกับตระกูลหยู แต่ในเวลาแค่สองสามวัน สภาพเศรษฐกิจของตระกูลหยูกลับเสียหายอย่างรุนแรง ยังไม่นับรวมอำนาจในการแข่งขันด้านธุรกิจหลังจากนี้อีก
ส่วนปัญหาภายใน แม้ว่าโห้หลีเฉินจะเป็นหลานของเขา และเป็นว่าที่ผู้นำตระกูลคนต่อไป แต่กระนั้นก็ยังเข้าข้างคนอื่น ในใจเอนเอียงไปทางตระกูลเย้น ตอนนี้ยังย้ายออกจากคฤหาสน์ จนหลุดจากอำนาจการควบคุมของหยูฉู่สองอย่างสิ้นเชิง
พูดได้เลยว่า อีกฝ่ายคือเนื้อร้ายที่แทรกแซงอยู่ในตระกูลหยู จะดึงก็ดึงไม่ออก
แต่หยูฉู่สองก็เป็นบุคคลที่มีอิทธิพล ต่อให้สถานการณ์ในตอนนี้จะยุ่งเหยิงน่ารำคาญขนาดไหน แต่เขาก็จะไม่เปลี่ยนความตั้งใจเดิม เขาจะทำลายตระกูลเย้นให้ย่อยยับโดยไม่สนราคาที่ต้องจ่าย
ด้วยเหตุนี้ในขณะเดียวกัน เขาจึงต้องไตร่ตรองหาทางรับมือเพื่อกำราบโห้หลีเฉินอย่างเงียบๆ
เพราะตอนนี้กูลหยู กำลังประสบพบเจอกับมรสุมอย่างต่อเนื่อง
ณ เวลานั้น ในห้องรับแขกของตึกเล็ก
ท่านอาวุโสรองเอ่ยพูดด้วยความร้อนใจว่า
“ผู้นำตระกูลส่งพวกท่านอาวุโสสาม ไปจุดชนวนในวงศ์ตระกูล จนข่าวลือกระจายไปทั่ว อ้างว่าคุณฆ่าท่านอาวุโสสี่ และทำร้ายท่านอาวุโสห้าเป็นเหตุผลในการพูดปลุกปั่นให้ทุกคนคิดว่าคุณทรยศตระกูลหยู ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป คุณอาจจะถูกถอดถอนอำนาจ สถานการณ์หลังจากนี้ ก็จะยากลำบากขึ้น”
ตอนนี้โห้หลีเฉินมีกำลังและความช่วยเหลือจากท่านอาวุโสรองคอยหนุนหลัง บวกกับบารมีสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวที่สั่งสมนานตั้งแต่อดีต ตำแหน่งของเขาในตระกูลหยูจึงไม่ใช่เล็กๆ
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ต่อให้หยูฉู่สองจะโกรธมากเพียงใด ก็ไม่กล้าลงมือทำอะไรโห้หลีเฉินตรงๆ
แต่ถ้าโห้หลีเฉินสูญเสียความไว้วางใจจากทุกคนในตระกูลหยู ต่อให้มีท่านอาวุโสรองคอยหนุนหลังมากแค่ไหน หยูฉู่สองก็มั่นใจว่าจะรับมือกับโห้หลีเฉินได้อย่างแน่นอน
พอถึงตอนนั้น ก็อาจจะมีศึกนองเลือดภายในตระกูลหยูก็เป็นได้ ซึ่งมันไม่เป็นผลดีต่อโห้หลีเฉินแน่ๆ
ท่านอาวุโสแปดเองก็พูดเสริมด้วยสีหน้าหนักแน่นว่า
“นายน้อย ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ใช่ทางออก เราต้องหาทางรับมือถึงจะถูก จะยอมปล่อยให้ท่านประมุขวางแผนทำร้ายลับหลังอย่างนี้ไม่ได้ ตระกูลหยูมีหน่วยพิทักษ์กฎของตระกูล ปกติจะไม่เข้าร่วมการฟาดฟันกันระหว่างวงศ์ตระกูลไม่ว่ากรณีใดๆ แต่ถ้าหากใครถูกชี้ว่าเป็นผู้ทรยศต่อวงศ์ตระกูล หน่วยพิทักษ์กฎตระกูลก็จะทำลายให้ดับ ผมกังวลว่าเป้าหมายของหยูฉู่สอง คือการใช้หน่วยพิทักษ์กฎตระกูลมาเล่นงานคุณ”
“เขาคิดจะใช้หน่วยพิทักษ์กฎตระกูลเลยเหรอ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น ท่านอาวุโสรองก็ดีดผึงขึ้นมาจากโซฟาอย่างเดือดๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยกรุ่นโกรธ และหวาดหวั่น
หน่วยพิทักษ์กฎตระกูลเป็นของตระกูลหยูก็จริง แต่กลับเป็นอิสระไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของตระกูลหยู
ไม่กี่ปีมานี้ จึงไม่มีใครกล้าต่อกรกับหน่วยพิทักษ์กฎตระกูลทั้งนั้น
แต่จากที่ได้ยินมา คนข้างในล้วนแล้วแต่เป็นคนฝีมือระดับสูง เก่งกาจยิ่งกว่ากองทัพระดับสูงสุดเสียอีก หากได้ลงมือ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจต้านทานคมมีดของพวกเขาได้
ถ้าหากหยูฉู่สองคิดจะใช้หน่วยพิทักษ์กฎตระกูลจริงๆล่ะก็ ต่อให้พวกเขามีคนมากมายไว้คอยป้องกันเท่าไหร่ โห้หลีเฉินก็อาจจะตายไปเงียบๆขณะนอนหลับก็ได้
โจมตีครั้งเดียวตาย และฆ่าได้อย่างไร้ร่องรอย นี่จึงทำให้คนตระกูลหยูรู้สึกหวาดกลัวหน่วยพิทักษ์กฏตระกูลเป็นอย่างมาก
“อย่าให้เขาใช้หน่วยพิทักษ์กฎตระกูลเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น ใครก็ไม่สามารถรักษาความปลอดภัยของนายน้อยไว้ได้แน่ๆ”
ท่านอาวุโสแปดเองก็ขมวดคิ้วอย่างกลัดกลุ้ม “แต่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ยากที่จะรับมือจริงๆ เดิมทีท่านประมุขก็มีอำนาจมากที่สุดในตระกูลหยูอยู่แล้ว ตอนนี้ยังวางแผนเป่าหูทุกคนอีก ผมกลัวว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะเทมาแค่ทางเดียว มันไม่เป็นผลดีกับนายน้อยแน่นอน”
ท่านอาวุโสรองเป็นตาสีตาสาที่ไม่ได้รับการศึกษา จึงชำนิชำนาญในเรื่องของพละกำลังเสียมากกว่า
ปกติเวลาเจอเรื่องอะไรเขาจะลุกขึ้นสู้อย่างเดือดดาล โดยนำพวกไปจัดการ แต่ว่าตอนนี้ เขาต้องข่มกลั้นไฟโกรธภายในร่างกายเอาไว้ ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
คนของตระกูลหยูทั้งนั้น ถ้าไม่มีเหตุผลที่หนักแน่นพอ เขาจะพาพวกไปทำร้ายสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้
ถ้าหากเทียบกันในด้านกำลัง ต่อให้เขาจะมีพรรคพวกมีอิทธิพลมากแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถเอาชนะเครื่องจักรสังหารของหน่วยพิทักษ์กฎตระกูลได้หรอก
พอคิดไปคิดมา ก็เหมือนจะทำอะไรไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ท่านอาวุโสรองขมวดคิ้ว เหมือนตัดสินอะไรได้บางอย่าง ถึงได้เอ่ยพูดกับโห้หลีเฉินเสียงหนักว่า
“นายน้อย ไม่อย่างนั้นคุณหนีไปก่อนไหม หนีจากตระกูลหยู ไปอยู่ตระกูลเย้น ถึงแม้ว่าตอนนี้ทั้งสองตระกูลจะแตกคอกัน แต่รากฐานของตระกูลเย้นก็ไม่ได้อ่อนแอ ตราบใดที่ตระกูลเย้นยังไม่ล้ม คุณก็จะปลอดภัย”
เพียงแต่ว่าแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้กำลังช่วยเหลือของโห้หลีเฉินในตระกูลหยูน้อยลง เรื่องมันก็จะยิ่งยากลำบากขึ้นไปอีก
แต่ถ้าเทียบกับสภาพการณ์ในปัจจุบันแล้ว ดูเหมือนว่าโอกาสในการเอาชีวิตรอดมีเพียงทางเดียวก็คือหนี
โห้หลีเฉินนั่งอยู่บนโซฟา ขาทั้งสองข้าไขว้กันไว้อย่างสง่า สีหน้าท่าทางเฉยชา จนแทบมองไม่เห็นความกังวลและความหวาดหวั่น
เขากระตุกมุมปากขึ้นเบาๆ เอ่ยพูดเอื่อยๆว่า “ผมไม่หนีหรอก”
ท่านอาวุโสรองถูมืออย่างร้อนใจ
“แต่ว่านายน้อย ถ้าไม่หนีคุณก็จะไม่ปลอดภัยนะ ผมรู้ว่าคุณอยากช่วยตระกูลเย้นให้ผ่านช่วงวิกฤตินี้ไปได้ แต่ชีวิตของคุณก็สำคัญนะ”