ถ้ารอเขารู้สึกตัว ตอนที่พบอีกที เกรงว่ากู้จื่อเฟยจะ……
“อย่ารีบร้อน”
ฝ่ามือใหญ่ของโห้หลีเฉินขยี้บนเส้นผมของเย้นหว่านพลางเอ่ยปลอบโยน
“ไม่เกิดเรื่องขึ้นกับกู้จื่อเฟยหรอก”
น้ำเสียงที่มีความมั่นใจขนาดนี้ของโห้หลีเฉิน โดยทั่วไปจะมีความมั่นใจว่าสำเร็จ
สายตารีบร้อนของเย้นหว่านจ้องมองเขาอย่างร้อนผ่าว “นายมีวิธีแล้วเหรอ?”
โห้หลีเฉินพยักหน้า พลางเอ่ยสั่งที่หน้าจอ
“เสียสละคนสอดแนมหนึ่งคน ไปติดต่อเย้นโม่หลิน ให้เขาไปหากู้จื่อเฟย”
“ครับ คุณชาย”
การรับคำสั่งนั้นที่หน้าจอ
เย้นหว่านจ้องมองโห้หลีเฉินอย่างเหม่อลอย ก็เข้าใจแล้ว พวกเขาเป็นน้ำที่อยู่ไกลไม่อาจดับไฟที่อยู่ใกล้ได้ แม้ว่าคนสอดแนมทั้งหมดเปิดโปงก็ใช่ว่าจะสามารถช่วยเหลือกู้จื่อเฟยได้
แต่เย้นโม่หลินทำได้
ขอเพียงเขารับรู้กู้จื่อเฟยประสบอันตราย จะต้องไปหากู้จื่อเฟยอย่างแน่นอน
หากเขาลงมือ ใครจะกล้าขวางล่ะ? มีเสียงเขาออกคำสั่ง หากว่าคนพวกนั้นคิดอยากทำอะไรกู้จื่อเฟย ก็อาจจะกลับเนื้อกลับตัวใหม่ยังทัน
ให้เย้นโม่หลินลงมือ เป็นวิธีที่ดีที่สุดและเร็วที่สุดอย่างแน่นอน
เย้นหว่านใคร่ครวญอยู่สักพัก ก็เอ่ยที่หน้าจออย่างรีบร้อน
“ฝากบอกพี่ชายฉันหน่อยว่าให้ติดต่อฉันถ้าเขาว่าง จื่อเฟยสถานการณ์เป็นอย่างไรก็บอกฉันทันที”
“ได้ครับ คุณเย้น”
หลังจากมอบงานชัดเจนแล้ว ก็วางสายไป
เย้นหว่านยังคงมองหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตึงเครียด จิตใจกระวนกระวายจนอยู่ไม่สุข แทบอยากจะไปที่นั่นด้วยตัวเอง จะได้ช่วยเหลือกู้จื่อเฟยได้
ผ่านไปสองชั่วโมงแล้ว เธอไม่กล้าคิดมากว่าตอนนี้กู้จื่อเฟยประสบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดแล้วหรือเปล่า
“เอาล่ะ อย่ากังวลจนเกินเหตุ ไม่เกิดเรื่องกับกู้จื่อเฟยหรอก”
โห้หลีเฉินนวดร่างเล็กอรชรของเย้นหว่านเข้ามาในอ้อมกอดของตัวเอง น้ำเสียงอ่อนโยนเป็นพิเศษ “เธอก็ต้องเชื่อพี่ชายของเธอ เขาจะต้องปกป้องหล่อนได้แน่นอน”
“ฉันไม่เชื่อเขาหรอก” เย้นหว่านเอ่ยด้วยความโกรธเคือง “นี่ผ่านมาตั้งนานแล้ว กู้จื่อเฟยได้รับความอยุติธรรมมากมายขนาดนั้น เขากลับไม่รู้อะไรเลย”
เป็นแฟนที่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งเสียจริงเลย
หากครั้งนี้กู้จื่อเฟยได้รับบาดเจ็บ เย้นหว่านจะต้องเสียใจที่แนะนำให้พวกเขาอยู่ด้วยกัน
โห้หลีเฉินกลับพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เอ่ยยิ้มอย่างใคร่ครวญ
“อืม จากนี้ไม่เชื่อเขาแล้ว ถึงยังไงไม่ว่าใครก็ไม่เก่งเท่าฉัน”
น้ำเสียงเขาก็ยิ่งทุ้มต่ำ สายตาจ้องมองเธออย่างสบายใจ “เธอเชื่อสามีก็พอแล้ว”
สามี……
อักษรสองตัวนี้ เสมือนไฟฟ้าสัมผัสเข้าที่ส่วนลึกในหัวใจของเย้นหว่านอย่างไรอย่างนั้น ทำให้จิตใจที่อยู่ไม่สุขของเธอ ทันใดนั้นก็ถูกกระแสไฟฟ้าสัมผัสจนไหลไปทั่ว ใจเต้นไม่หยุด
ดูเหมือนว่าเป็นครั้งแรกที่ได้ยินการเรียกชื่อนี้
หรือว่าเรียกเขาเอง
น่าอายและเย้าแหย่แบบนั้น ทำให้รู้สึกใจเต้นแบบนั้น
เย้นหว่านราวกับตัวแข็งทื่ออย่างไรอย่างนั้น หัวใจสับสนวุ่นวาย เต้นรัวอย่างบ้าคลั่งไม่หยุด
โห้หลีเฉินมองเธอย่างไม่ละสายตา สายตาก็ยิ่งอึมครึมและเย้าแหย่
ริมฝีปากบางของเขาเข้าใกล้เธอ ไอร้อนจากคำพูดปะทะใบหน้าของเธอไม่หยุดหย่อน
“เย้นหว่าน เราจะแต่งงานกันแล้ว เธอควรจะเปลี่ยนชื่อเรียกฉันแล้วใช่ไหม?”
เปลี่ยนเป็นเรียกสามีไหม?
ทันใดนั้นสมองของเย้นหว่านก็เหมือนระเบิดปรมาณูที่ระเบิดออก ระเบิดจนฟ้าถล่มดินทลาย สับสนอลหม่าน
เธอหวั่นไหวเสียจนแทบจะมุดดินหนีหายไป
อักษรสองตัวนี้ ดูสนิทสนมชิดเชื้อเกินไปแล้วจริงๆ
ยิ่งเป็นคำมั่นสัญญาชั่วชีวิต
คราวนี้เธอถูกเขาเย้าแหย่ ไม่ได้ตั้งใจจะให้เอ่ยออกจากปากอยู่แล้ว
เธอพูดตะกุกตะกักด้วยความเขินอาย “นั่น นั่นไม่ได้ ยัง ยังไม่ได้แต่งงานกันเลยนะ หลังแต่ง ค่อย ค่อยเรียก”
โห้หลีเฉินเลิกคิ้วอย่างใคร่ครวญ “ไม่ฝึกซ้อมล่วงหน้าสักหน่อยเหรอ?”
“ไม่ ไม่เอา”
เย้นหว่านลุกขึ้นจากอ้อมกอดของเขาอย่างอับอายและขุ่นเคือง “ฉันจะอาบน้ำแล้ว”
พูดจบ เธอก็เข้าไปในห้องอาบน้ำเหมือนกับวิ่งหนี แล้วหันมือกลับไปล็อกประตู
โห้หลีเฉินเป็นปีศาจใช่ไหม ทำไมถึงสามารถเย้าแหย่คนได้แบบนี้ล่ะ?
เกินทนเหลือเกิน
โห้หลีเฉินมองประตูห้องอาบน้ำที่ปิดอยู่ มุมปากที่ยกยิ้มอย่างใคร่ครวญก็ค่อยๆ หายไป
สายตาของเขาเงียบขรึมและดำมืด ฉายไปด้วยความซับซ้อน
ผ่านไปสองชั่วโมงกว่าแล้ว จะช่วยไว้ได้หรือไม่ ก็อยู่ที่โชคชะตาของเย้นโม่หลินกับกู้จื่อเฟยแล้ว
เรื่องเกิดห่างนานเกินไป เขาไม่สามารถรับประกันได้เต็มร้อย
แต่ก็ทำให้เย้นหว่านกังวลไม่ได้
ก็ทำได้แค่เบี่ยงเบนความสนใจของเธอ
……
เย้นโม่หลินนั้นไม่ได้อยู่ตระกูลเย้น สองวันนี้เขาจัดการธุระน่าปวดหัวอยู่ข้างนอก
เดิมป่ายฉีเป็นผู้ช่วยที่มีความสามารถที่สุดของเขา ทว่าไปดูแลเย้นเจิ้นจื๋อแล้ว เขาไม่เพียงสูญเสียความช่วยเหลือดีๆ อย่างป่ายฉีไป ยิ่งต้องแบกรับภาระหน้าที่ของตระกูลเย้นไว้ทั้งหมดอีก
ยุ่งเสียจนไม่ต้องพูดถึงเรื่องเวลานอน แม้แต่เวลางีบหลับก็ไม่มี
เขาอดนอนจนเบ้าตาเริ่มแดง
ทว่าในช่วงเวลาที่อยู่ในสภาพน่าอึดอัดนี้ ก็ได้ยินเรื่องที่ทำให้เขายิ่งพังทลายลง
เจ้าหนุ่มที่ดูไม่เตะตาคนหนึ่ง พุ่งเข้ามารายงานต่อหน้าเขาอย่างสุดกำลัง
พูดว่า กู้จื่อเฟยถูกคนลักพาตัว หายไปแล้ว
ทันใดนั้นเย้นโม่หลินเหมือนโดนฟ้าผ่า ร่างกายโซซัดโซเซ เกือบจะล้มลง
ความกลัวที่ออกมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณเป็นช่วงๆ ก็ยิ่งแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างกายภายในพริบตา ทำให้ร่างกายของเขาเริ่มหนาว รู้สึกสับสนวุ่นวายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เขาโยนงานทุกอย่างในมือทิ้งโดยไม่แม้แต่จะคิด จับเจ้าหนุ่มที่แจ้งข่าวให้ทราบแล้วแผดเสียงเอ่ย
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? เธอหายตัวไปที่ไหน ถูกใครลักพาตัวไป? เธออยู่ที่ไหน? พาฉันไป!”
คนที่แจ้งข่าวก็ไม่ทำให้เสียเวลา ใช้วิธีการพูดที่เร็วและสั้นกระชับที่สุด บอกต้นสายปลายเหตุให้เย้นโม่หลิน
ถูกลักพาตัวไปจากที่ตึกเล็กของเขา
หนีจากถนนเล็กไป ตอนนี้ไม่ทราบร่องรอย
สองชั่วโมงแล้ว บางทีอาจหลบซ่อนที่ตระกูลเย้น หรือบางทีถูกพาไปด้านนอกแล้ว
ส่วนคนพวกนั้นทำอะไรเธอบ้างนั้น เป็นตายไม่รู้
พูดจบ เย้นโม่หลินบีบรีโมทในมือจนแตกเป็นชิ้นด้วยความโกรธ ร่างกายแผ่ความไม่พอใจออกมา
เขาไม่ลังเลใจ สาวเท้ายาวเดินออกไปด้านนอกอย่างเร่งรีบ
เอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“หน่วยหนึ่งทีมหนึ่ง หน่วยหนึ่งทีมสองตามฉันมา!”
“นายน้อย คุณจะไปที่ไหน? ตอนนี้คุณไปไม่ได้นะครับ”
“นายน้อย ถ้าคุณไปแล้วที่นี่จะทำยังไร? มันไม่มีคุณคอยควบคุมไม่ได้นะครับ ไม่งั้นจะเกิดเรื่องใหญ่ ”
“นายน้อย นายน้อย……”
ภายในห้องควบคุม คนกลุ่มหนึ่งตามออกมาอย่างรีบร้อน แต่เสียงของพวกเขา ไม่กระทบการก้าวเดินจากไปของเย้นโม่หลินเลยไม่แต่น้อย
แม้กระทั่งคำสั่งมอบงานสักคำก็ไม่ได้ทิ้งไว้
พวกเขาเบิกตาจ้องมองเย้นโม่หลินขึ้นรถออฟโรดอย่างร้อนใจ พอเท้าเหยียบคันเร่ง ก็พุ่งออกไปรวดเร็วดั่งสายลม
ด้านหลังตามด้วยเจ้าหน้าที่ยอดฝีมือของหน่วยหนึ่งทีมหนึ่งและหน่วยหนึ่งทีมสอง
กลุ่มคนที่เหลืออยู่ก็แทบเสียสติหมดแล้ว
ตอนนี้ตระกูลหยูกำลังโจมตีอย่างดุเดือด พวกเขาที่นี่ยุ่งจนหัวหมุนแล้ว ทั้งหมดอาศัยเย้นโม่หลินควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด จึงพอทำให้สถานการณ์มีเสถียรภาพขึ้น
ทว่าตอนนี้เย้นโม่หลินไปแล้ว เรื่องทั้งหมดนี้ควรจะทำอย่างไรดี?
ไม่มีใครมีฝีมือกล้าหาญเด็ดเดี่ยวและฉลาดเฉียบแหลมได้เท่าเย้นโม่หลิน ที่จะสามารถควบคุมสถานการณ์ในตอนนี้ได้
ต้องเกิดเรื่อง
นี่มันต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่
“เร็วเข้า รีบติดต่อนายหญิง”
บางคนที่ได้สติกลับมา ตะโกนอย่างรีบร้อน
……
กู้จื่อเฟยสั่นเทาอยู่ในความมืดจนไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้ว จากนั้นก็เหมือนถูกคนยกขึ้นมา เดินไปสักพักก็ถูกคนโยนลงบนพื้นอย่างแรง
เธอตกลงมาจนมึนหัว
“โอ๊ย อูยยย……”
กู้จื่อเฟยส่งเสียงร้องไม่สบาย พูดเสียงอู้อี้ ปากที่ถูกอุดไว้ก็ส่งเสียงร้องตะโกนออกมา
เธอเบิกตาโตขึ้น ทว่ากลับมองไม่เห็นอะไร มีแต่ความมืด ความมืดที่ไร้ที่สิ้นสุด