บทที่ 8: ผับกุหลาบป่า
เมื่อหวังเฉินกั๋วกลับบ้านมาเวลาประมาณ 18.00 น. หลี่ซิ่วเหม่ยก็ได้ขอให้ป้าเฉินผู้ช่วยของพวกเขาไปเรียนหวังเต็งลงมาทานอาหารเย็น
หวังเต็งเพิ่งอาบน้ำเสร็จ หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เขาก็เป่าผมด้วยไดร์เป่าผม
“ โอเค ป้าเฉิน ฉันกำลังจะลงไปแล้ว” เขาตอบ
หลังจากเป็นศิษย์นักสู้ ประสาทสัมผัสในการได้ยินของเขาก็ดีขึ้น เสียงของไดร์เป่าผมไม่สามารถรบกวนเสียงของป้าเฉินได้เลย
หลังจากนัน้ไม่กี่นาที เมื่อเขาเป่าผมให้แห้งและถอดปลั๊กไดร์เป่าผมเรียบร้อยแล้ว เขาก็ลงไปทานอาหารเย็น
หวังเฉินกั๋วและหลี่ซิ่วเหม่ยกำลังรอเขาอยู่
มันมีจานสองสามจานอยู่บนโต๊ะ ทั้งร้อนและหอมกรุ่น ครอบครัวสามคนนั่งล้อมรอบโต๊ะอาหารเย็นและเริ่มรับประทานอาหาร
“ ลูกแม่ วันนี้เป็นยังไงบ้าง?”
หลี่ซิ่วเหม่ยถามคำถามที่หวังเฉินกั๋วต้องการถาม พวกเขามองไปที่หวังเต็งอย่างอยากรู้อยากเห็น
พูดตามตรง หวังเฉินกั๋วมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการเป็นพ่อของหวังเต็ง เพื่อนๆของเขามักจะโอ้อวดเกี่ยวกับลูกๆของพวกเขาต่อหน้าเขาโดยบอกเขาว่า ลูกของพวกเขาโดดเด่นแค่ไหนหรือลูกของใครได้กลายเป็นศิษย์นักสู้ขั้นกลางและเป็นศิษย์นักสู้ขั้นสูงแล้ว
หวังเฉินกั๋วเป็นคนเดียวที่ไม่สามารถคุยโม้เรื่องลูกชายของเขาได้ เขาเป็นซีอีโอของบริษัทใหญ่ที่มีมูลค่าหลักร้อยล้าน อย่างไรก็ตาม ลูกชายของเขาก็…
ถ้าเขาพูดถึงลูกชายของเขา คนอื่นก็รังแต่จะหัวเราะเยาะเขา
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดลูกชายของเขาก็ตั้งสติได้และเต็มใจที่จะฝึกศิลปะการต่อสู้ และเมื่อหวังเต็งได้กลายเป็นศิษย์นักสู้ขั้นสูง เขาก็จะสามารถเอาเรื่องนี้ไปโม้กับเพื่อนของเขาได้
“ ก็ไม่ได้แย่ ศิษย์พี่ที่สถาบันบอกผมว่าผมมีความสามารถ” หวังเต็งตอบ
เขาไม่ได้บอกพ่อแม่ของเขาว่าเขาได้เป็นศิษย์นักสู้ขั้นกลางแล้ว เพราะเขากลัวว่าพวกเขาจะเป็นลมจากข่าวดีอย่างกะทันหัน
เขาจะค่อยๆปล่อยข่าวดีเหล่านี้ให้พวกเขาฟังอย่างช้าๆในอนาคต
“ ดี ลูกมีความสามารถก็ดีแล้ว”
หวังเฉินกั๋วมีความสุขมากจนหุบยิ้มไม่ได้ เขาโบกมือและพูดว่า “ ลูกต้องฝึกฝนให้หนัก ตระกูลหวังของเราอาจจะไม่ได้มั่งคั่งและมีอำนาจมากนัก แต่อย่างน้อยเราก็ยังพอมีพื้นเพดีกว่าคนทั่วไป ดังนั้นลูกจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับทรัพยากรในการฝึกศิลปะการต่อสู้”
หวังเต็งพยักหน้าไม่พูดอะไร
เขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับทรัพยากร คนอื่นอาจต้องการทรัพยากรในการฝึกศิลปะการต่อสู้ แต่เขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพวกมัน
เขามีบ๊กที่พระเจ้าประทานมาให้กับเขา เพราะฉะนั้นทรัพยากรของคนอื่นจึงสามารถนับเป็นทรัพยากรของเขาได้เช่นกัน!
“ มาเถอะ กินอาหารให้มากๆ ลูกฝึกฝนมาทั้งวันแล้ว ดังนั้นลูกจะต้องเหนื่อยและหิวแน่นอน”
แทนที่จะหวังว่าเขาจะเป็นนักสู้ได้ หลี่ซิ่วเหม่ยกลับกังวลมากกว่าว่าหวังเต็งจะเหนื่อยหรือทนทุกข์ทรมาน เธอรู้สึกปวดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเขายัดอาหารเข้าปากอย่างหิวโหย
หวังเต็งไม่มีเวลาพูดคุย เขาต้องยอมรับว่าเนื้อสัตว์อสูรดารานั้นอร่อยมาก เนื่อของมันนุ่มและละลายในปากของเขาเหมือนกับขนมสายไหม
เมื่อเขากลืนเนื้อลงไป เขาก็รู้สึกได้ถึงกระแสความอบอุ่นที่แผ่กระจายไปทั่วร่างกายของเขา มันบรรเทาความเหนื่อยล้าและความอ่อนเพลียของเขา
หลี่ซิ่วเหม่ยและหวังเฉินกั๋วก็กินเนื้อนี้เช่นกัน แต่พวกเขาไม่กล้ากินมากเกินไป
พวกเขาไม่ได้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นหากพวกเขากินเนื้อสัตว์อสูรดารามากเกินไป มันก็จะเป็นอันตรายต่อร่างกายของพวกเขาแทน
คนทั่วไปในยุคแห่งศิลปะการต่อสู้นั้นจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าปกติเนื่องจากอิทธิพลของพลังฟอร์ส แต่นั่นก็เป็นผลกระทบในระยะยาว
หลังอาหารเย็น ขณะที่หวังเต็งเตรียมจะไปยังสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้จีซินอีกครั้ง โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและได้ยินเสียงของซูเจี๋ยในปลายสาย
“ พี่หวังเต็ง พวกเราอยู่ที่ผับกุหลาบป่าแล้ว มาเร็วเข้า”
ในที่สุดหวังเต็งก็จำเรื่องนี้ได้ เขายิ้มอย่างช่วยไม่ได้และตอบว่า “ เอาล่ะ รอฉันก่อนนะ ฉันจะไปในเร็วๆนี้นี่แหละ”
“ ดูเหมือนว่าวันนี้ฉันจะไปสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้จีซินไม่ได้แล้วสินะ”
หวังเต็งรู้สึกเสียใจนินึง แต่เขาก็รู้ว่าเขาไม่สามารถอยู่ในสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้ได้ทุกวัน
“ ฉันจะถือโอกาสนี้พักผ่อน”
หวังเต็งอำลาพ่อแม่ของเขาและออกจากบ้านของเขาไป
วรูม… วอม… รูม… (เสียงเครื่องยนต์)
เครื่องยนต์ของรถสปอร์ตดังมาก ไม่ว่าจะเป็นตัวรถที่โฉบเฉี่ยวหรือเสียงเครื่องยนต์ที่ดังก้อง ทั้งหมดล้วนสะกดทุกสายตาของผู้สัญจรไปมา
ณ ผับกุหลาบป่า
มันมีถนนมากมายในตงไห่ แต่ถนนสายนี้เป็นถนนสายที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมืองตงไห่
มันมีผับครบทุกประเภทและครบทุกสไตล์ในราคาที่แตกต่างกัน
บาร์สาธารณะเหมาะสำหรับผู้บริโภคระดับล่าง ในขณะที่บาร์ระดับไฮเอนด์มีไว้สำหรับชนชั้นสูงในสังคมหรือกลุ่มคนร่ำรวย
อาจเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับ แต่มนุษย์นั้นก็ถูกแยกออกเป็นชนชั้นต่างๆ
ทุกคืนถนสายนี้จะสว่างไสวและมีสีสัน แสงนีออนที่ส่องประกายระยิบระยับผสมผสานกับแสงสะท้อนและสีสันอันสวยงาม มันทำให้เกิดฉากที่ชวนฝันและน่าตื่นตาตื่นใจ
ในตอนกลางวันความเครียดจากการทำงานจะกดดันเหล่าชายหนุ่มหญิงสาวในเมืองนี้ ดังนั้นในตอนกลางคืนพวกเขาจึงต้องการหาที่พักผ่อนและปลดปล่อยพวกมันทั้งหมดออกมา
ความกดดันทางสังคมไม่จางเคยหายไป และแม้แต่ในยุคแห่งศิลปะการต่อสู้เองก็ไม่มีช้อยกเว้น
อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังจำเป็นต้องคลายเครียด!
แน่นอนว่าสำหรับหวังเต็งและเพื่อนๆของเขาแล้ว นี่ก็เป็นเพียงสถานที่สำหรับมาสนุกสนานสรรสรรค์เท่านั้น
มันมีรถสปอร์ตหรูหราแถวหนึ่งจอดอยู่ด้านนอกผับกุหลาบป่า หวังเต็งต้องหาที่จอดรถอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในผับ
บู้มมม!
ประตูกั้นเสียงภายนอกและภายในผับ เมื่อคนๆหนึ่งก้าวเข้ามา มันก็รู้สึกเหมือนมันเป็นสองโลกที่แตกต่างกัน
ทันทีที่เขาเปิดประตู เสียงเพลงที่ดังกึกก้อง เสียงหัวเราะของชายหนุ่มและหญิงสาว และไฟที่กระพริบไปมาก็ปรากฎสู้สายตาของหวังเต็ง
“ ช่างเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยเสียจริง”
ในชีวิตที่แล้วของเขา นับตั้งแต่ตระกูลหวังล้มละลาย หวังเต็งก็ไม่เคยไปผับอีกเลย
เขารู้สึกเหมือนเขาถูกไล่ออกจากโลกที่วุ่นวาย
แต่ตอนนี้เขาก็กลับมาอีกครั้งแล้ว!
หวังเต็งก้าวเข้าสู่ผับกุหลาบป่า เขามีใบหน้าที่หล่อเหลาและสวมใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนม เนื่องจากการฝึกฝนในช่วงสองวันที่ผ่านมา ร่างกายของเขาจึงแข็งแกร่งมากขึ้น นอกจากนี้กล้ามเนื้อและสภาพจิตใจของเขาก็ยังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาดูโดดเด่นท่ามกลางฝูงชนเหมือนเพชรเม็ดงาม
ผู้หญิงหลายคนสนใจในตัวเขาในทันที รูปลักษณ์ที่สง่างามของเขากระตุ้นจินตนาการของพวกเธอ
หวังเต็งเคยเป็นชายชราเมื่อชาติที่แล้ว แต่ตอนนี้เขาเป็นชายหนุ่มตัวจริงที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ อย่างไรก็ตามออร่าของเขาก็ดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
เขามีประสบการณ์หลายอย่างในชีวิตที่ผ่านมา มันมีขึ้น มีลง และมันก็เหมือนกับการนั่งรถไฟเหาะ
เขาเคยมีความมั่งคั่งและประสบกับปัญหาความยากจนทั้งสองอย่างในชีวิตเดียว เขาเคยเป็นวัยรุ่นที่หยิ่งผยองและเต็มไปด้วยความทรนง จากนั้นเขาก็ตกสู่จุดต่ำสุดในชีวิตและกลายเป็นยาจกผู้น่าสมเพช….
ประสบการณ์ชีวิตอันยาวนานของเขาทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่และสงบเสงี่ยม มันทิ้งความประทับใจแรกพบที่ดีให้กับผู้คนได้อย่างง่ายดายและทำให้พวกเขาชอบเขา
หวังเต็งสแกนผับเพื่อค้นหาซูเจี๋ยและเพื่อนของเขา
ในขณะนั้นเอง มันก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นทางซ้ายของเขา
“ พี่หวังเต็ง ทางนี้ ตรงนี้!”
หวังเต็งมองไปที่ผู้หญิงที่โบกมือให้เขา มันคือไป่เว่ย น้องสาวคนเล็กในกลุ่มเพื่อนของพวกเขา
ผมของเธอถูกมัดเป็นม้วน เธอดูฉลาดและมีหน้าตาที่มีเสน่ห์
หวังเต็งยังคงจำได้ว่าสาวน้อยคนนี้สวยงามเพียงใดหลังจากที่เธอโตขึ้น อันที่จริง เธอสามารถทำลายประชาชาติได้ด้วยความงามของเธอ
ไป่เว่ยขยับเล็กน้อยเพื่อให้พื้นที่แก่หวังเต็ง หวังเต็งนั่งลงข้างเธอ
“ พี่หวังเต็ง พี่มาช้านะ” ซูเจี๋ยบ่น
“ คืนนี้ยังอีกยาว และความสนุกก็เพิ่งเริ่มต้น ดังนั้นแล้วทำไมฉันถึงต้องรีบด้วยล่ะ” หวังเต็งยิ้มตอบ
“ พี่หวังเต็ง!”
ชายหนุ่มอีกคนทักทายหวังเต็ง
“ หยูห่าว ไม่เจอกันนานเลยนะ” หวังเต็งมองไปที่ผู้ชายคนนั้น
“ พ่อของฉันเอาแต่เฝ้าดูจ้องจับผิดฉัน วันนี้ฉันมาได้ก็เพราะแอบหนีออกมาเลยนะ” หยูห่าวพูดอย่างช่วยไม่ได้
“ เจ้านี่ถูกพ่อลากไปเรียนศิลปะการต่อสู้น่ะ” ซูเจี๋ยหัวเราะเบาๆให้กับชะตากรรมของหยูห่าว
“ โอ้? แล้วนายอยู่ขั้นไหนแล้ว” หวังเต็งรู้สึกประหลาดใจ
“ ฉันเป็นศิษย์นักสู้ขั้นเริ่มต้นแล้ว” หยูห่าวลูบหลังหัวและพูดอย่างเขินอาย
“ ไอ้เด็กเหี้ย ไอ้เด็กเวร นี่แกกลายเป็นศิษย์นักสู้ขั้นเริ่มต้นแล้วอย่างงั้นหรอ?!” ซูเจี๋ยอุทานด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
“ นายเป็นศิษย์นักสู้คนเดียวในหมู่พวกเราทั้งหมด หากมีใครมารังแกเราในอนาคต เราก็จะขอความช่วยเหลือจากนายนะ” จากนั้นเขาก็วางแขนไว้รอบไหล่ของหยูห่าวและยิ้มเยาะ
“ หนูน้อย (ชื่อเล่นของหยูห่าว) เราจะต้องพึ่งพานายในอนาคตแล้ว!” ไป่เว่ยยิ้มและเห็นด้วยกับซูเจี๋ย
หยูห่าวเริ่มรู้สึกภูมิใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำชมของพวกเขา และคำชมของไป่เว่ยทำให้เขารู้สึกดีเป็นพิเศษ
พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกัน ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีความรู้สึกดีๆให้กัน
และนี่ก็คือสิ่งที่หยูห่าวรู้สึกเกี่ยวกับไป่เว่ย
หวังเต็งยิ้มและถามว่า “ แล้วทำไมหยวนเฉิงหัวถึงยังไม่มากัน?”
ทุกคนเงียบไป
“ เขาจะไม่มาอีกแล้ว!” ซูเจี๋ยเย้ยหยัน
“ ห้ะ? เกิดอะไรขึ้น?” หวังเต็งขมวดคิ้วและถาม
“ ไอ้เวรนั่นมันกำลังไปติดตามหลี่หรงเฉิงอยู่ในขณะนี้ มันได้ไปเป็นเด็กรับใช้ของไอ้เวรนั่นไปแล้ว” ซูเจี๋ยหน้ามุ่ยและพูดต่อ
“ หลี่หรงเฉิง!”
หวังเต็งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และในที่สุด เขาก็นึกถึงชายคนนี้ได้สำเร็จ
หวังเต็งและเพื่อนๆของเขามีภูมิหลังครอบครัวที่คล้ายคลึงกัน พ่อแม่ของพวกเขารู้จักกันและมีปฏิสัมพันธ์ทางธุรกิจด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงสร้างแวดวงเพื่อนของตนเองขึ้น
สำหรับตระกูลหลี่แล้ว มันก็เป็นตระกูลที่ค่อนข้างใหญ่ในตงไห่ อันที่จริง ตระกูลหลี่มีอิทธิพลมากกว่าตระกูลของพวกเขาเสียอีก
ในสายตาของซูเจี๋ย หยวนเฉิงหัวได้ใกล้ชิดกับหลี่หรงเฉิงเพราะเขาต้องการประจบประแจงกับมัน
นี่คือวิธีการทำงานของวงเวียนธุรกิจรุ่นที่สอง เฉพาะผู้ที่มีภูมิหลังคล้ายคลึงกันเท่านั้นที่จะสามารถเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนกันได้ ถ้าความแตกต่างมันมีมากเกินไป มันก็จะกลายเป็นความสัมพันธ์ในอีกรูปแบบหนึ่ง
“ อย่าพูดถึงเขาเลย ทุกคนมีความทะเยอทะยานของตัวเอง” หวังเต็งไม่ได้สนใจ
“ นายถูก อย่าพูดถึงไอ้คนแบบนั้นอีกต่อไปเลย แค่ได้ยินชื่อของมันก็ทำให้ฉันรู้สึกโกรธแล้ว” ซูเจี๋ยกล่าว
พวกเขาเปลี่ยนหัวข้อและสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และผลไม้มา จากนั้นพวกเขาก็คุยกันอย่างมีความสุข เมื่อเวลาผ่านไปหวังเต็งก็ค่อยๆฟื้นความรู้สึกของวัยหนุ่มของเขากลับมา