เธออุ้มแรบบิทขึ้นเตียง ในขณะที่กำลังจะวางลูกสาวไว้ระหว่างเธอกับโห้หลีเฉิน กลับถูกโห้หลีเฉินปฏิเสธ
“ให้ลูกนอนข้างคุณ”
พูดจบ โห้หลีเฉินก็ดึงเย้นหว่านนอนลงบนเตียง เขากอดเย้นหว่านไว้ ส่วนเย้นหว่านกอดแรบบิทไว้
เย้นหว่านเม้มปากยิ้มบาง ไม่ว่าจะด้านซ้ายหรือด้านขวาก็เป็นคนที่เธอรัก ท่านอนแบบนี้เธอชอบที่สุดเลย
แต่ว่า เด็กน้อยตัวเล็กในอ้อมกอดกลับไม่ยินยอม
เธอลุกขึ้นมา “หนูจะนอนข้างคุณแม่กับปาปา หนูจะนอนตรงกลาง”
โห้หลีเฉินสีหน้าบึ้งตึง “ไม่ได้”
“ทำไมไม่ได้ล่ะคะ หนูยังเป็นทารกอยู่ ต้องนอนตรงกลางจะได้ไม่พลิกตัวตกจากเตียง”
เธอพูดด้วยความมั่นใจ ก่อนจะใช้มือปีนป่ายไปตรงกลาง
โห้หลีเฉินไม่ปล่อยให้โอกาสเธอ เขาวางฝ่ามือลงบนหัวเล็กๆ ของเธอ แล้วผลักเธอกลับไป
เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ลูกเป็นเด็กผู้หญิง ต้องนอนข้างแม่ของลูก คนที่พ่อจะกอดนอนหลับได้ มีแค่แม่ของลูกคนเดียวเท่านั้น”
แม้แต่ลูกสาวของเขาก็ไม่ได้
คำพูดที่เอาแต่ใจนี้ทำให้หัวใจของเย้นหว่านเต้นแรง แก้มของเธอก็ร้อนจนรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ โห้หลีเฉินพูดบ้าอะไรของเขา
นี่ยังเอามาพูดต่อหน้าลูกอีก จะไม่ทำให้เธอรู้สึกเขินอายได้ยังไงกัน
เธอกอดแรบบิทที่กำลังหน้าบูดบึ้งไว้ หน้าแดงจนไม่รู้ว่าควรจะพูดว่าอะไรแล้ว
แรบบิทมีสีหน้าน้อยใจ แล้วมองไปที่โห้หลีเฉินอย่างน่าสงสาร ก่อนจะส่งสายตาให้เธอ
เธอเสียใจจนร้องไห้ออกมา “ปาปาลำเอียง แงแงแง ฉันจะไปนอนข้างพี่ชายของหนู แงแงแง”
เย้นหว่านปวดหัวขึ้นมาทันที
ตอนที่แรบบิทน่ารักขึ้นมาก็น่ารักเอามากๆ ออดอ้อนขึ้นมาก็ไม่มีใครต้านทานได้
เธอรีบพูดเกลี้ยกล่อมลูก ในขณะที่กำลังจะพูด เธอกลับเห็นสิ่งที่ไม่คาดคิด เต็นท์ที่ก่อนหน้านี้ปิดสนิทมีช่องเล็กๆ เปิดออกมา โห้หยูเซิงโผล่ศีรษะออกมาครึ่งหนึ่ง กำลังแอบมองออกมา
ดวงตาสีเข้มของเขากำลังมองแรบบิทตาไม่กะพริบ
แววตาของเขาสั่นไหว ราวกับกำลังคิดเรื่องที่เคร่งเครียดที่สุดในชีวิตอยู่
สิ่งที่เย้นหว่านเตรียมจะพูดถูกกลืนลงคอไป เธอพบว่า ให้แรบบิทงอแงบ้างก็ดีเหมือนกัน นี่ไง มันสามารถดึงดูดเด็กน้อยที่เอาแต่ปิดกั้นตัวเองออกมาดูได้
แต่ว่า โห้หยูเซิงรับรู้ได้ถึงการจ้องมองของเย้นหว่าน จึงเหมือนกระต่ายตัวน้อยที่ตื่นกลัว รีบมุดศีรษะของเขากลับเข้าไปทันที
แล้วรูดซิปปิดเต็นท์ให้แน่นหนา เพื่อปกปิดให้เหมือนว่าเขาไม่เคยออกไปมาก่อน
เย้นหว่านอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
แรบบิทมองดูแม่ของเธอที่ยังยิ้มอยู่ จึงร้องไห้ออกมาอย่างน้อยใจ “คุณแม่ก็ลำเอียง”
เย้นหว่าน “…”
เธอได้สติอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบปลอบลูกน้อยอีกคน
หลังจากได้รับการปลอบโยนด้วยความรักของคนเป็นแม่อยู่นาน ในที่สุดแรบบิทก็อาการดีขึ้น ก่อนจะนอนหลับอยู่ในอ้อมกอดของเย้นหว่าน
เย้นหว่านนอนหันข้างแล้วกอดเธอไว้ บนใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มที่มีความสุขประดับอยู่
ส่วนโห้หลีเฉินที่อยู่ข้างหลังเธอ เขากอดเธอไว้
ริมฝีปากบางของโห้หลีเฉินเข้าใกล้เย้นหว่าน แล้วพูดกระซิบข้างหู “ที่รัก ตอนนี้ในสายตาของคุณ ในอ้อมกอดของคุณ ไม่มีผมอยู่เลย”
คำพูดน้อยอกน้อยใจ พร้อมกับไอร้อนที่แฝงไปด้วยความหลงใหลเป่าเข้าหูของเย้นหว่าน
เย้นหว่านหน้าแดงและร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ทั้งตัวของเธอแดงเหมือนกุ้งที่ถูกปิ้งจนสุก อายแทบตาย
ผู้ชายบ้าคนนี้ ลูกก็อยู่ด้วย พูดบ้าอะไรก็ไม่รู้?
ไม่รู้จักอายเอาซะเลย
“เดินมาทั้งวัน เหนื่อยมากเลย ฉันง่วงแล้วค่ะ ฝันดีนะคะ”
เย้นหว่านแสร้งทำเป็นหาว แล้วหลับตาลงเตรียมนอนหลับ
โห้หลีเฉินมองคนที่แกล้งหลับ ด้วยรอยยิ้มที่มุมปากของเขา โอบแขนของเธอไว้รอบตัวเธอ และกระซิบเบาๆ “ฝันดีครับ ที่รัก”
ใบหูของเย้นหว่านแดงเถือก
แต่มุมปากของเขาก็อดที่จะยกยิ้มไม่ได้
ค่ำคืนนี้ช่างเงียบสงัด มีโห้หลีเฉินกับลูกๆ อยู่เคียงข้าง แม้ว่าข้างนอกจะเต็มไปด้วยอันตราย แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่มีความสุข
ค่ำคืน เริ่มผ่านไปเรื่อยๆ
ช่วงตีสอง
“ตึงตึงตึง!”
“ตึงตึงตึง!”
เสียงเคาะประตูอย่างแรงดังขึ้นมา มันดังลั่นรบกวนการนอนหลับราวกับฟ้าร้อง
เย้นหว่านตกใจจนลืมตาขึ้นมา แม้แต่แรบบิทที่อยู่ในอ้อมกอดของเธอก็ยังลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง ด้วยท่าทางไม่สบายตัวที่ถูกรบกวนการนอนหลับ
เย้นหว่านรีบกล่อมเธอ “ไม่เป็นไรจ้ะ นอนต่อเถอะ แม่ไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
แรบบิทหลับตาลงอีกครั้ง
เย้นหว่านหันกลับ จึงสบตาเข้ากับแววตาที่ลึกลับของโห้หลีเฉิน เขาลุกขึ้นยืนแล้วใส่ผ้าคลุมชุดนอนให้เธอ ก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ผมจัดการเอง”
พูดเสร็จเขาก็ใส่รองเท้าแตะแล้วเดินไปเปิดประตู
ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก ความหนาวเย็นก็พัดผ่านเข้ามา ตรงประตูมีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ใส่ชุดดำสี่ห้าคนยืนอยู่ด้วยสีหน้าดุร้ายมาก
พวกเขามองไปที่โห้หลีเฉินด้วยสายตาที่แหลมคม แล้วพูดเสียงดัง
“ตรวจห้อง!”
รูปลักษณ์ของโห้หลีเฉินถูกปลอมแปลงทั้งหมด จนเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป การแสดงออกของเขานิ่งอึ้ง และดูงุนงงมาก
“พวกเราอยู่ที่นี่กันเป็นครอบครัว ตอนกรอกข้อมูลก็เขียนไว้แล้วว่าเป็นห้องครอบครัว ไม่มีอะไรต้องตรวจสอบแล้วมั้ง”
“ฉันได้ดูข้อมูลแล้ว แต่ก็ต้องตรวจสอบ”
หลังจากที่ผู้ชายคนนั้นพูดอย่างไม่ยอมให้ปฏิเสธ เขาก็เดินตรงเข้าไป
โห้หลีเฉินดูไม่เต็มใจ แต่ตอนที่ผู้คนนั้นจะผลักเขา เขากลับก้าวถอยหลัง หลีกเลี่ยงการสัมผัสของผู้ชายคนนั้น
ผู้ชายร่างใหญ่สี่ห้าคนเดินเข้ามา ทำให้ห้องเล็กๆ ดูแออัดขึ้นมาทันที
การกระทำที่ดังนี้ปลุกให้แรบบิทตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์
เธอกะพริบตากลมโต แล้วมองคนชุดดำที่เข้ามาด้วยสีหน้าสงสัยและไม่พอใจ
“คุณแม่คะ พวกเขาเป็นใครคะ เข้ามาในห้องเราทำไม หนูง่วงจัง แงแงแง”
เสียงที่น่ารักนั้นฟังดูน่าสงสารมาก จนแม้แต่ชายร่างใหญ่ก็ยังรู้สึกสงสารเล็กน้อย
ผู้ชายคนหนึ่งกระซิบบอก “นี่เป็นครอบครัวธรรมดา ไม่ใช่คนที่เรากำลังตามหา ออกไปกันเถอะ”
หัวหน้ากลุ่มไม่ได้ออกไปในทันที เขามองไปรอบๆ และดวงตาแหลมคมก็มองลงไปที่เต็นท์บนเตียงนอนเด็ก
“มีอะไรอยู่ในนั้น?”
เย้นหว่านรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบพูดว่า “ในนั้นเป็นลูกชายคนเล็กของเรานอนอยู่”
“ทำไมต้องนอนในเต็นท์? มีอะไรให้คนอื่นดูไม่ได้หรือไง”
ผู้ชายคนนั้นพูดในขณะที่เดินไปที่เต็นท์
เขาเอื้อมมือไปรูดซิปเปิดเต็นท์ออกดูทันที
เย้นหว่านหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม รีบพูดห้ามทันที “อย่าดึงนะ ลูกชายของฉันเป็นโรคปิดกั้นตัวเอง เขาต้องนอนคนเดียวในตอนกลางคืน ถ้าเขาตื่นขึ้นจากการนอนหลับ เขาจะกลัวได้”
“โรคปิดกั้นตัวเองเหรอ?”
มือของผู้ชายคนนั้นหยุดชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็หันไปมองที่แรบบิทที่อยู่ในอ้อมแขนของเย้นหว่าน
รูปร่างหน้าตาของพวกเธอแตกต่างไปจากคนที่พวกเขากำลังตามหาอย่างสิ้นเชิง แต่อายุประมาณหนึ่งขวบกว่านั้นใกล้เคียงกัน
ในข้อมูลที่ให้มาคือมีลูกชายหนึ่งคนและลูกสาวหนึ่งคน
เป็นฝาแฝดกัน
แล้วครอบครัวนี้ก็มีลูกชายอีกหนึ่งคนพอดี
จึงปล่อยไปไม่ได้
ผู้ชายคนนั้นตัดสินใจในใจ ก่อนจะยื่นมือออกมาโดยไม่พูดอะไร แล้วเปิดเต็นท์ขนาดเล็กของโห้หยูเซิงออก
แสงที่เจิดจ้าส่องเข้าไป ทำให้โห้หยูเซิงไม่สบายตัวเอามากๆ พอเขาเห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งท่าทางชั่วร้ายยืนอยู่ที่หน้าเต็นท์ เขาก็ขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของเต็นท์ แล้วนั่งกอดเข่าส่งเสียงร้องอย่างหวาดกลัว
“อ๊ากๆ ๆ ๆ ๆ !”
เสียงแหลมสูงนั้นบาดหูมาก มันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความเจ็บปวด
หัวใจของเย้นหว่านถูกบีบแน่น
เธอเป็นห่วงมาก จึงรีบเข้าไปผลักผู้ชายคนนั้นออกไป
“ฉันบอกว่าเขากลัวไง พวกคุณทำให้เขากลัว รีบออกไปเลยนะ”
ผู้ชายคนนั้นเซถอยหลังไปสองก้าว แต่กลับไม่ยอมออกไป สายตาของเขาคมเข้ม และแหลมคมมาก
“ลูกชายของคุณ หน้าตาดูไม่เหมือนพวกคุณเลยสักนิด”