เว่ยชีเป็นผู้ช่วยสูงสุดของโห้หลีเฉินอยู่แล้ว ความสามารถไม่เป็นสองรองใคร แม้เวลาจะผ่านไปนานถึงสองปี แต่พอได้อำนาจก็จัดการได้เร็วมาก
เก่อหรูซวนเห็นเว่ยชีใช้ระบบอำนาจที่สอง ก็เคยพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ แต่เย้นหว่านแค่ตอบไปว่าเขาเป็นผู้ช่วยตัวเอง ก็ทำให้หล่อนหมดคำพูดไปทันที
แม้เก่อหรูซวนจะโกรธมาก แต่ก็สู้กับเย้นหว่านไม่ได้ เลยทำได้แค่อดทน
แต่ว่า พอเงินทุนของตระกูลเย้นเข้ามา และหลังจากที่เชื่อมต่อทางการค้าแล้ว ในที่สุดเก่อหรูซวนก็อดไม่ได้อีกต่อไป
เพราะเย้นหว่านมีศักดิ์เป็นเลขาหลัก รับเรื่องนี้ไปดูแลเองทั้งหมด จากนั้นก็ทิ้งไว้เว่ยชีจัดการแทน
ถ้ามีแต่เย้นหว่านจัดการเรื่องนี้คนเดียว เก่อหรูซวนก็หาเรื่องหรือจุดที่เธอทำงานผิดพลาดได้ สุดท้ายก็ไล่เย้นหว่านออกไป และบังคับให้เย้นหว่านสละอำนาจ
แต่เว่ยชีกลับแตกต่างออกไป เขาทำงานได้สมบูรณ์แบบมาก สมบูรณ์แบบจนหาที่ติไม่ได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้เย้นหว่านได้คำชื่นชมจากบริษัทไม่น้อย
ด้วยเหตุนี้ เก่อหรูซวนตัดสินใจต่อต้านไม่ได้เว่ยชีทำงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเย้นทุกอย่าง แถมยังเอาพวกหุ้นส่วนออกมาด้วย
เย้นหว่านกระตุกยิ้ม และดูถูกหล่อนไปว่า “เมื่อก่อนฉันไม่สนใจงานต่างๆ เธอจะจัดการยังไงก็เรื่องของเธอ แต่นี่เป็นธุรกิจของตระกูลเย้น ฉันเป็นคนหามาเอง ฉันจะจัดการยังไงมันก็เรื่องของฉัน อยากให้ใครจัดการมันก็เรื่องของฉัน เธอไม่มีสิทธิ์มาชี้นิ้วสั่งฉัน”
เก่อหรูซวนโกรธจนกระทืบเท้า กัดฟันกรอดและพูดว่า: “ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น แต่ยังไงฉันก็มีอำนาจเยอะสุดในหมู่เลขา เรื่องครั้งนี้ของตระกูลเย้น เธอกลับไม่ให้ฉันทำหรือแตะต้องเลย เย้นหว่าน เธอทำแบบนี้ อยากจะบีบฉันออกไปเหรอ?”
“บีบเธอออกไปเหรอ?”
เย้นหว่านท่องคำนี้ซ้ำๆ หัวเราะแล้วพูดว่า “ถ้าจะบีบเธอออกไป ก็น่าจะบีบบังคับอำนาจหลักที่เป็นของคุณโห้ แต่ไม่ใช่เลขาต๊อกต๋อยอย่างเธอ เธอจะใช้คำนี้มาเปรียบเทียบตัวเองจริงๆ ถึงจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น งั้นก็ได้ ฉันอยากบีบเธอออกไป”
“เธอ!” เก่อหรูซวนสีหน้าบิดเบี้ยว ไม่คิดว่าเย้นหว่านเอาเรื่องที่จะบีบบังคับเพื่อนร่วมงานออกไป มาพูดได้อย่างมั่นหน้าแบบนี้
อีกอย่างเรื่องที่เย้นหว่านไม่ให้เธอร่วมงานกับการค้าขายของตระกูลเย้น เธอตั้งใจทำแบบนี้จริงๆด้วย นี่คิดอยากจะบีบบังคับเธอออกจากบริษัทนี้เร็วๆงั้นเหรอ
“เย้นหว่าน เธออย่ามาทำตัวเป็นเด็กหน่อยเลย! เธอคิดว่าแค่เธอไม่ให้ฉันทำงานของตระกูลเย้น ก็จะไล่ฉันออกไปได้เหรอ? เรื่องที่ฉันคุมอยู่ เธอไม่มีทางแทรกแซงได้หรอก ยิ่งไม่มีทางมาแทนที่ได้ แม้เธอจะเป็นเลขาหลัก แต่เรื่องงานในบริษัท และลูกน้องทุกคน ก็ต่างยอมรับฉันกันหมด ไม่มีทางยอมรับเธอหรอก”
เย้นหว่านแสยะยิ้มเย็นชา “ในเมื่อเธอมั่นใจและจะอยู่ที่นี่ต่อไป แล้วทำไมถึงอยากเข้ามาแทรกแซงเรื่องของตระกูลเย้นอยู่เรื่อยเลยล่ะ? เก่อหรูซวน เธอเริ่มกังวลแล้วเหรอ”
สีหน้าเก่อหรูซวนเปลี่ยนไปเล็กน้อย น้ำเสียงดูไม่มั่นใจเหมือนตอนแรก
แม้เธอจะไม่ให้โอกาสเย้นหว่านได้แทรกแซงเรื่องงาน และทุกอย่างก็อยู่ในมือของเธอ แต่การค้าขายกับตระกูลเย้นใหญ่มากจริงๆ มันเชื่อมโยงกับทุกด้านของบริษัท และมีรายละเอียดที่ค่อนข้างเยอะ
เมื่อก่อนงานและโครงการที่เธอควบคุมอยู่ ก็เป็นงานที่สามารถเปลี่ยนได้ง่ายๆ และพอทุกอย่างเปลี่ยนไป งานที่เธอควบคุมทุกอย่างก็ถูกแทรกแซง และเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด
ดังนั้นเธอเลยเริ่มกังวลใจขึ้นมา ตำแหน่งของเธอเริ่มไม่แน่นอนแล้ว เธออยากเข้ามาแทรกแซงจัดการเรื่องการค้ากับตระกูลเย้น จะได้กลับมาควบคุมอำนาจหลักอีกครั้ง
แต่เย้นหว่านกลับทำตัวเหมือนเม่น กีดกันเธอเหมือนเป็นศัตรู แล้วยังคอยเอาหนามทิ่มแทงเธอตลอด ไม่ให้โอกาสเธอได้เข้ามาจัดการเลย
“เก่อหรูซวน ในบริษัทนี้ มีฉันก็จะไม่มีเธอ อีกไม่นาน ฉันจะไล่เธอออกไปให้ได้”
เย้นหว่านกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา เธอไม่ใช่กระต่ายน้อยที่เชื่อฟังอีกต่อไปแล้ว แต่กลายเป็นสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่ง
เผยกรงเล็บแหลมคมออกมา
เย้นหว่านผลักเก่อหรูซวนออกไปอย่างหยิ่งยโส จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าและพูดไปด้วยว่า “ช่วงนี้เลขาเก่อน่าจะไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ เธอก็คิดเรื่องหยุดพักร้อนได้นะ ฉันอนุญาต”
เก่อหรูซวนยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ สีหน้าบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด ทุกคำที่เย้นหว่านพูด ล้วนแต่กำลังบั่นทอนศักดิ์ศรีของเธอไปเรื่อยๆ
ตั้งแต่เย้นหว่านกลับมาจนถึงตอนนี้ แค่เวลาไม่กี่วัน เธอก็โดนดูถูกสารพัด
ตอนนี้ไม่เพียงแต่เธอเท่านั้น รวมไปถึงอำนาจที่ควบคุมในบริษัททุกอย่าง กำลังจะถูกแทรกแซง และเป็นอันตรายมากขึ้น
เธอจะไม่ฟังคำสั่งเบื้องบนและปล่อยให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้อีกแล้ว
เก่อหรูซวนครุ่นคิดในใจ ต่อมาเธอก็เดินไปที่มืด หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแอบโทร
วันนี้ โห้หลีเฉินเรียกเย้นหว่านเข้าไปในห้องทำงาน
นานๆทีเขาจะไม่ได้ลวนลามเธอ แต่กลับจ้องมองเธออย่างจริงจัง และยื่นบัตรเชิญกับเธอ
“ดูสิ” โห้หลีเฉินพูด
เย้นหว่านเปิดออกอย่างสงสัย นี่เป็นงานเลี้ยงระดับไฮโซที่ฟีเจ๊กมอนจัดขึ้นในเมืองหนาน เชิญโห้หลีเฉินไปร่วมงานในคืนนี้
บัตรเชิญพวกนี้จะต้องผ่านมือเลขาหลักอย่างเธอก่อน แต่บัตรเชิญนี้กลับข้ามเธอไป แล้วส่งให้โห้หลีเฉินโดยตรง
เย้นหว่านถาม “ใครให้นายเหรอ?”
โห้หลีเฉินตอบไปตามตรง “เก่อหรูซวน” หยุดสักพัก เขาก็พูดว่า “คำเชิญของฟีเจ๊กมอนคือ อยากให้เก่อหรูซวนไปร่วมงาน”
ความหมายก็คือ ให้เก่อหรูซวนเป็นคู่ผู้หญิงของเขา
แม้เมื่อก่อนเรื่องนี้จะเกิดขึ้นบ่อยๆ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เย้นหว่านกลับมาแล้ว ถ้าให้โห้หลีเฉินใช้เก่อหรูซวนเป็นคู่ผู้หญิงอีก นี่มันตบหน้าเย้นหว่านชัดๆเลยนี่?
นี่คิดจะท้าทายกันงั้นเหรอ
เย้นหว่านกระตุกยิ้มเย็นชา มองโห้หลีเฉินแล้วถามเขาว่า “นายจะทำยังไง?”
“เธอจะให้ฉันทำยังไง ฉันก็จะทำตาม ถ้าเธอไม่อยากให้ฉันไป ฉันก็จะไม่ไป” โห้หลีเฉินให้สิทธิ์เย้นหว่านตัดสินใจเอง
ถ้านิสัยของผู้หญิง ตอนนี้ก็ตอบไปว่าฉันไม่อนุญาตให้นายไป
จากนั้นโห้หลีเฉินก็ปฏิเสธ ทุกอย่างก็จบลงด้วยดี
แต่ว่า โห้หลีเฉินสามารถปฏิเสธคำเชิญนี้ได้ ไม่จำเป็นต้องให้เธอดูด้วยซ้ำ และไม่จำเป็นต้องให้เธอเลือกด้วย ที่เขาเอาออกมา นั่นก็หมายความว่า งานเลี้ยงนี้อาจจะสำคัญกับเขามาก
ดังนั้น เขาจึงให้เย้นหว่านเป็นคนตัดสินใจเอง
เย้นหว่านรู้ดีว่าเขาคิดอะไรอยู่ เธอจึงไม่ลังเลอีก แล้วตอบไปว่า: “ฉันไม่มีทางยอมให้เก่อหรูซวนเป็นคู่ผู้หญิงที่ไปร่วมงานเลี้ยงของนายได้อีก”
เป็นคำตอบที่คาดเดาไว้อยู่แล้ว
โห้หลีเฉินหัวเราะ “ได้ งั้นคืนนี้ฉันไม่ไป……”
“ไปสิ ทำไมจะไม่ไปล่ะ? ฟีเจ๊กมอนจัดงานเลี้ยงนี้ขึ้นเพื่อนาย นายต้องไปอยู่แล้วสิ”
เย้นหว่านพูดแทรกโห้หลีเฉิน เธอแสยะยิ้มกว้าง ยิ้มเหมือนสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ “คืนนี้ ฉันจะเป็นคู่ผู้หญิงที่ไปร่วมงานกับนายเอง”
โห้หลีเฉินอึ้งเล็กน้อย
ในสังคมไฮโซนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหน้า ฟีเจ๊กมอนเชิญโห้หลีเฉินกับเก่อหรูซวนไปงานเลี้ยง ตามหลักแล้วเย้นหว่านคงจะไปโดยไม่ได้รับเชิญไม่ได้
เย้นหว่านเป็นผู้หญิงที่ขี้อายอยู่แล้ว เธอคงไม่หน้าด้านโผล่ไปงานนั้นหรอก
แต่ตอนนี้……
เย้นหว่านถือบัตรเชิญไว้ในมือ แล้วยิ้มแย้มแจ่มใส รอบตัวแผ่ซ่านไปด้วยความมั่นใจ “ฉันไม่ใช่เย้นหว่านที่อ่อนแอแล้วนะ กล้ามาท้าทายฉันงั้นเรอะ คอยดูเถอะ เดี๋ยวแม่จะฟาดกลับแรงๆเลย!”
“ฟีเจ๊กมอนอยากให้ฉันขายหน้างั้นเหรอ? เหอะ เดี๋ยวฉันจะทำให้เขาอับอายกลับบ้านเกิดไปเลย”