หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง เว่ยชีก็ออกมาจากบริษัท เขายืนอยู่ตรงหน้าเย้นหว่าน
เขามองดูหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยความเจ็บปวด น้ำเสียงของเขาฟังดูราบเรียบ “คุณนาย ตอนกลางคืนมันหนาว ผมไปส่งคุณกลับบ้านก่อนดีกว่านะครับ”
ในขณะที่พูด เย้นหว่านก็เดินตรงไปทางบริษัท
เว่ยชีตกใจมาก เขารีบพูดห้ามปรามเธอ “คุณนาย ตอนนี้คนในบริษัท ต่างก็เห็นคุณเป็นศัตรู ถ้าคุณเข้าไปมันจะอันตรายมาก และมันเป็นเรื่องยากมากที่จะห้ามไม่ให้พวกเขาทำร้ายคุณ”
“ถ้าเกิดว่าพวกเขาอยากจะทำร้ายฉัน ต่อให้ฉันจะหนีไปอยู่ในอาคารส้ายน่า ผลสรุปมันก็เป็นเหมือนเดิม” เย้นหว่านพูด
เว่ยชี “แต่ที่อาคารส้ายน่ามันคือพื้นที่ของเรา ผมได้เตรียมคนคุ้มกันไว้หมดแล้ว ซึ่งสามารถคุ้มครองคุณได้เป็นอย่างดี และถ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ก็สามารถส่งคุณไปในเมืองหนานได้ทันที”
เย้นหว่านยังคงส่ายหน้าอยู่ “ถ้าเกิดว่าฉันปลอดภัย นั่นก็หมายความว่า โห้หลีเฉินกำลังเผชิญหน้ากับความอันตราย”
เว่ยชีรู้สึกสับสน
เย้นหว่านพูดต่อไปว่า “ฉันอยู่ที่นี่ ฉันก็เป็นเหมือนตัวประกันให้กับคนพวกนั้น หลังจากที่เกิดเรื่องเกินกว่าที่พวกเขาจะควบคุมได้ พวกเขาก็จะจับตัวฉันในทันที ซึ่งฉันก็จะเป็นฟางเส้นสุดท้ายของพวกเขา ถ้าความปลอดภัยของฉันอยู่เหนือการควบคุม พวกเขาทั้งหมดก็จะทำทุกอย่างโดยไม่สนใจอะไร”
“แต่การที่คุณทำแบบนี้มันจะทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตราย” เว่ยชีขมวดคิ้วแน่นมากขึ้นกว่าเดิม
หลังจากที่กลับมา เขาก็ช่วยเย้นหว่านจัดการทุกอย่าง สำหรับสถานการณ์ตอนนี้ รวมถึงแผนการทั้งหมดของเธอ เขารู้เรื่องทุกอย่าง มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาไม่รู้ก็คือ หลังจากเรื่องทุกอย่างถูกเปิดเผย เย้นหว่านกลับตัดสินใจทำแบบนี้
บริษัทตี้เหาก็คือชีวิตของคนพวกนั้น ทุกอย่างจะต้องล่มสลายนั้นเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้ คนพวกนั้นก็จะต้องหมดหนทาง และพวกเขาก็จะเอาเย้นหว่านเป็นตัวประกันสุดท้าย
เธอรู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องราวมันจะกลายเป็นแบบนี้ แต่เธอก็ไม่ลังเลใจเลยสักนิด การที่เธอทำแบบนี้ ก็เพียงเพราะไม่ต้องการให้คนพวกนั้นทำอะไรกับโห้หลีเฉิน
เว่ยชีรู้สึกว่าเมื่อก่อนเย้นหว่านนั้นดูอ่อนแอ แต่เขาเพิ่งจะรู้ในตอนนี้ หญิงสาวที่เคยเชื่อฟังเมื่อก่อนนี้ หลังจากที่เธอได้เติบโต ก็กลายเป็นเช่นนี้
ไหล่ที่เล็กและอ่อนแอของเธอ สามารถแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไว้ได้ แล้วก็สามารถปกป้องสามีของเธอได้
“ถ้าเกิดว่าคุณชายรู้ว่าคุณทำแบบนี้ ยังไงเขาก็จะไม่เห็นด้วย”
เย้นหว่านยิ้ม ก่อนที่จะยักไหล่ “โห้หลีเฉินก็ได้ประกาศสงครามกับฉันแล้ว เรื่องที่ฉันทำอยู่ในตอนนี้ ไม่มีเรื่องไหนเลยที่เขาจะเห็นด้วย”
เว่ยชีหมดคำพูด
เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในตอนนี้เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย เย้นหว่านเผชิญหน้ากับโห้หลีเฉินโดยที่ไม่เกรงกลัวอะไร…
“ไม่ต้องกังวลอะไรขนาดนั้นหรอก ฉันก็ไม่ได้โง่นะ และไม่มีทางยอมไปเป็นตัวประกันแน่นอน พวกเขาไม่กล้ามาแตะต้องฉันหรอกนะ ฉันอยู่ที่นี่ ก็เป็นเหมือนกับอุปสรรคของพวกเขามากกว่า การสมรู้ร่วมคิดทั้งหมดที่นี่ ล้วนเป็นกองกำลังที่อยู่เบื้องหลัง และก็จะถูกกำจัดออกไปโดยเร็วที่สุด”
เว่ยชีไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเธอได้ เขาทำได้เพียงแค่ตามเธอไป
เขาพูดอย่างราบเรียบ “ผมจะตามไปปกป้องคุณ”
ถ้าเกิดคิดที่จะทำอะไรเย้นหว่าน ก็คงต้องข้ามศพของเขาไปก่อน
“อืม ความปลอดภัยของฉันก็ต้องยกให้เป็นหน้าที่ของคุณแล้วนะ เว่ยชี”
เย้นหว่านยิ้มอย่างจริงใจ ก่อนจะเดินก้าวเข้าไปข้างใน ในตอนที่เดินเข้าไปเธอก็ถามเขาไปด้วย “สถานการณ์ของทางด้านป่ายชีเป็นยังไงบ้าง?”
เว่ยชี “ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ”
เย้นหว่าน “ช่วงนี้ฉันอาจจะไม่ค่อยสะดวกไปเจอกับเขา ถ้าเกิดว่าต้องติดต่อกับเขา ก็คงต้องรบกวนคุณด้วย”
เว่ยชี “คุณนายวางใจได้เลย ผมจะทำให้ดีที่สุด”
ในระหว่างที่พูดคุยกันทั้งสองก็เดินเข้าไปในบริษัท สายตาของคนที่เฝ้าอยู่หน้าประตูบริษัทก็มีความโกรธแค้นแอบแฝงอยู่
เย้นหว่านมีความสุข “พี่ชาย แม้ว่าบริษัทตี้เหาจะเปลี่ยนผู้บริหาร แต่ฉันคงไม่เปลี่ยนยามหรอกนะ คุณไม่จำเป็นต้องใช้สายตาแบบนั้นจ้องมาที่ฉัน ฉันจะยังไม่ทำให้คนตกงานก่อนชั่วคราว”
ยามคิดไม่ถึงว่าเย้นหว่านจะให้ความสนใจกับตัวเขา และยังจะพูดจาแบบนี้ต่อหน้าทุกคนอีกด้วย มันทำให้เขารู้สึกกระวนกระวาย จนเขารีบก้มหน้าลงทันที
“คุณนายเข้าใจผิดไปแล้ว ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น เดินทางปลอดภัยครับ”
เว่ยชีมองไปยังหญิงสาวตรงหน้าที่ยังคงมีรอยยิ้มด้วยความเจ็บปวด ท่าทีที่เธอแกล้งทำเป็นว่าไม่เป็นอะไร ซึ่งสิ่งนี้มันกำลังตอกย้ำความเจ็บปวดของเธอ
การที่เธอต้องมาทะเลาะกับคุณชายแบบนี้ คนที่เสียใจที่สุดก็คงจะเป็นเธอ
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นกลางดึก แต่ภายในบริษัทเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น นอกจากพวกหุ้นส่วนที่เป็นกระวนกระวายแล้ว ก็ยังมีพวกพนักงานธรรมดาที่ถูกดึงตัวให้กลับมาทำงานล่วงเวลา
ในห้องโถงก็ยังมีคนเดินไปเดินมา
เย้นหว่านเดินจากประตูไปที่หน้าลิฟต์ เมื่อพบเจอกับพนักงานพวกนั้น พวกเขาก็มีท่าทีที่โกรธแค้นเธอ สายตาที่ไม่พอใจและในรูปแบบต่างๆ ต่างก็จดจ่อไปที่เธอ
บางคนก็ทักทายเธออย่างไม่เต็มใจ บางคนก็เพิกเฉยต่อเธอ
หลังจากที่เธอมายังเมืองหลวง นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่มีคนปฏิบัติตัวแย่ขนาดนี้กับเธอ
เว่ยชีพูดปลอบเธอด้วยเสียงทุ้มต่ำ “คุณนายอย่าไปใส่ใจนะ หลังจากเรื่องทุกอย่างผ่านไป ก็สามารถเอาพวกเขาออกได้ทั้งหมด”
“อืม เอาพวกเขาออกให้หมด”
เย้นหว่านตอบรับ และบนใบหน้าของเธอก็มีรอยยิ้มอยู่ตลอด
เธอกับเว่ยชีเดินไปยังห้องประธานพร้อมกัน ในห้องเลขาว่างเปล่า ข้างในเหลือเพียงแค่เลขาหลิวและเลขาเจียง
พวกเขาทั้งสองโดยปกติมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเย้นหว่าน เมื่อเห็นว่าเย้นหว่านมา พวกเขาก็ทำตัวแตกต่างจากคนอื่น โดยการรีบเข้ามาต้อนรับเธอ
“เย้นหว่าน คุณกลับมาแล้วเหรอ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม ฉันได้ข่าวมาว่าพวกหุ้นส่วนพวกนั้นทำให้คุณลำบากอยู่ข้างล่าง”
เลขาหลิวถามเธอด้วยความเป็นห่วง
เลขาเจียงก็พูดอีกว่า “พนักงานพวกนั้นถูกล้างสมองไปหมดแล้ว ก็เลยไม่พอใจคุณ พวกเขาทำอะไรคนหรือเปล่า?”
“ไม่ได้ทำอะไร สบายใจได้ ไม่มีใครกล้าทำอะไรฉันหรอก”
แม้ว่าทั้งสองคนนี้จะจริงใจกับเธอจริงๆ หรือแค่ทำเพื่อผลประโยชน์ ในเวลานี้พวกเขาเลือกจะยืนอยู่ข้างเธอ แค่นี้เย้นหว่านก็รู้สึกอุ่นใจมากแล้ว
เธอยิ้มออกมาก่อนจะถามว่า “ทำไมในนี้เหลือแค่พวกคุณสองคน แล้วคนอื่นๆล่ะ?”
พนักงานส่วนใหญ่ถูกเรียกกลับมาให้ทำงานล่วงเวลา ดังนั้นในห้องเลขาไม่น่าจะมีเพียงแค่พวกเขาสองคน ที่สำคัญเก่อหรูซวนก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย
เลขาหลิวพูดว่า “ท่านประธานเพิ่งจะกลับมา ก็รีบเรียกประชุมเลย เพราะเก่อหรูซวนเป็นหัวหน้า เธอก็เลยเลือกเลขาคนอื่น…และไม่ให้พวกเราเข้าร่วม”
เมื่อยิ่งพูด น้ำเสียงของเธอก็ทุ้มต่ำมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอก็ต้องพยายามเก็บความหงุดหงิดและความโกรธเอาไว้
เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะความสัมพันธ์ของพวกเธอที่มีต่อเย้นหว่าน ตอนนี้ ก็เลยจงใจบีบบังคับพวกเธอสองคนให้ออกมา
เมื่อก่อนเก่อหรูซวนจะไม่ทำอะไรที่โจ่งแจ้งขนาดนี้ แต่ตอนนี้ เธอไม่มีความรอบคอบเลย
ไม่ว่าในใจของเลขาหลิวและเลขาเจียงจะคิดยังไง แต่ในเวลานี้ ยังไงพวกเธอก็ต้องถูกบังคับให้มาอยู่ฝั่งเดียวกับเย้นหว่านอยู่ดี
เย้นหว่านไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกเห็นใจพวกเธอหรือรู้สึกหดหู่ดี
“การประชุมของพวกเขา คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการหาวิธีการแก้ไข แล้วจัดการกับตระกูลเย้น ต่อให้พวกคุณได้เข้าร่วมด้วย ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร ฉันไม่อยากจะต้องจัดการกับพวกเธอสองคนด้วยนะ”
เย้นหว่านตบไปที่ไหล่ของเลขาทั้งสองเบาๆ “พอดีเลย พวกคุณทั้งสองก็ไปช่วยเว่ยชีจัดการทุกอย่างแล้วกัน หลังจากที่ทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว และเมื่อฉันได้ขึ้นมาเป็นประธานบริษัทตี้เหา ฉันจะเลื่อนตำแหน่งและเพิ่มเงินเดือนให้พวกคุณเอง”
เมื่อได้ยินคำว่าเลื่อนตำแหน่งและเพิ่มเงินเดือน แววตาของเลขาหลิวและเลขาเจียงก็เปล่งประกายในทันที
และพวกเธอก็ได้ยินคำสำคัญที่แอบแฝงอยู่ในนั้น “คุณนาย คุณจะแย่งตำแหน่งประธานบริษัทของคุณชายจริงๆเหรอ?”
การที่บีบบังคับสามีตัวเองให้ออกไป และตัวเองก็ขึ้นมาเป็นประธานแทน มีพวกเขาเป็นสามีภรรยากันปลอมๆ หรือเปล่า?