กงอิ้นเงยหน้า มองดูคนผู้นั้นที่เดินมาท่ามกลางความมืดมิด ภายในสายตาราวกับสะท้อนยามเคยเยาว์วัยยามแรกของตนเอง
คนผู้นั้นเดินเข้ามา ลักษณะท่าทางตื่นตะลึงอยู่บ้าง จะทำความเคารพอิงไป๋โดยสำนึก อิงไป๋พลันโบกมือยั้งไว้ เอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า “หยุด! ข้าเคยสอนเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องทำความเคารพ! ต้องเย็นชา! ต้องหยิ่งทระนง! ต้องสูงส่งเหนือผู้อื่น ดุจอยู่กลางมวลเมฆ!” เขาหันหน้าผายมือมาทางกงอิ้น ร้องว่า “ดูสิ!”
ครุ่นคิดแล้วดื่มสุราอย่างไม่พอใจ เอ่ยว่า “ห่างไกลนัก! ห่างไกลนัก! ยากเหลือเกิน!”
กงอิ้นเพียงมองปราดเดียวแล้วโบกมือสั่งให้คนผู้นั้นถอยไป เหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “พอใช้ได้ ตั้งใจขัดเกลาให้ดีอีกสักพักน่าจะพอไหว”
อิงไป๋ดื่มสุรากินอาหารไม่เอ่ยวาจา คล้ายหวังระบายความโกรธเคืองลงบนโต๊ะหนึ่งนี้
“ก่อนรุ่งสาง เจ้าจงออกจากนครเถิด ขออภัยด้วยที่ข้าไปส่งไม่ได้แล้ว”
อิงไป๋ดื่มสุราถ้วยสุดท้าย ฉวยมือหยิบกาสุราของกงอิ้นสอดไว้ในเสื้อ เดินไปข้างนอกพลางโบกมือ เอ่ยว่า “พอแล้ว ผู้ใดต้องการให้เจ้าไปส่ง เสแสร้งแกล้งทำ!”
เงาร่างของเขาใกล้จะก้าวออกนอกประตู กงอิ้นก็พลันเอ่ยว่า “อิงไป๋”
อิงไป๋หันหน้ากลับมา
แสงไฟภายในห้องเหลืองสลัว เขานั่งขัดสมาธิ สาบเสื้อสีหิมะพลิ้วสยายเงียบเชียบ บดบังแสงไฟครึ่งหนึ่ง ภาพดอกเหมยกลางหิมะโปรยปรายที่อยู่ข้างหลังถูกส่องสะท้อนจนสีสันลายพร้อย เกล็ดหิมะเฉียดเข้ามาจากหน้าต่างที่แง้มอยู่ครึ่งหนึ่ง ล่องลอยไม่ละลายอยู่ข้างกายเขา บางครั้งบางคราวร่วงหล่นบนผมดำขลับของเขา สะท้อนจนผิวกายแวววาวหนาวเย็น
อิงไป๋พลันรู้สึกว่ากงอิ้นในครู่หนึ่งนี้ ดูท่าทางคล้ายจะละลายหายไปตามหิมะ
“อิงไป๋ สุราน้ำแข็งหลงซานกาสุดท้ายอยู่ภายในช่องลับข้างใต้สามก้าวของห้องหนังสือจิ้งถิงนี้” เขาเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “พอถึงยามนั้นเมื่อเจ้ากลับมา หากข้าไม่อยู่ อย่าลืมมานำมันไปด้วยตนเอง”
อิงไป๋จ้องมองเขา ทว่าเขาเบนสายตาออกไปแล้ว มองหิมะในค่ำคืนหนึ่งนี้อย่างเหม่อลอยอีกครั้ง
หิมะของทุกค่ำคืนคล้ายคลึงกัน ทว่าคนแตกต่างกันแล้ว
“วาจาประโยคนี้เอ่ยได้ดีเหลือเกิน…” อิงไป๋พลันเงยหน้าขึ้น พึมพำว่า “ข้าพลันเกิดอารมณ์ขึ้นมาแล้ว…”
สีหน้าของเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นโมโหจนถึงขีดสุด ยกมือเขวี้ยงกาสุราโดยพลัน
เสียงแตกร้าวดังก้องทั้งภายนอกภายในจิ้งถิง
องครักษ์หันหน้าด้วยความตื่นตระหนกตกใจ จากนั้นรีบหันหน้ากลับไป
“กงอิ้น!” อิงไป๋ยืนอยู่บนระเบียงยาว ชี้จมูกของเขาอยู่ ตะคอกว่า “ด้วยนิสัยเช่นนี้ของเจ้า ข้าเห็นแล้วไม่สบอารมณ์! ไม่รับใช้แล้ว! ลาขาด!”
เสียงดังก้องทั้งภายนอกภายในจิ้งถิงเช่นเดียวกัน ทุกคนได้ยินชัดเจน
ทุกผู้คนเก็บตัวเงียบเชียบ เหมิงหู่ที่รอคอยด้วยความรู้สึกร้อนอกร้อนใจโดยตลอดขยี้มือพลางวิ่งมา สีหน้าร้อนรนกระวนกระวายท่วมท้น ขวางอยู่เบื้องหน้าอิงไป๋ อยากเอ่ยวาจาทว่าไม่กล้าเอ่ย ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงกระอ้อมกระแอ้มเอ่ยว่า “สมุหราชองครักษ์ ท่านอย่าได้โทษราชครู…”
“อย่าเรียกข้าว่าสมุหราชองครักษ์! ข้าไม่ใช่สมุหราชองครักษ์แล้ว!” อิงไป๋ผลักเขาออกด้วยความเดือดดาล ยกเท้าเดินจากไป เดินไปพลางซ้ำยังด่าทอไปพลางว่า “ออกจากที่นี่ได้ก็ดี ตำหนักอวี้จ้าวไร้ชีวิตชีวาบ้าบอแห่งนี้ ข้าต้องดวงซวยแปดชาติถึงอยากกลับมาอีกครั้ง! ถุย! กงอิ้นคนอย่างเจ้าน่ะ ครอบครองตำหนักอวี้จ้าวจนแก่เฒ่าหัวหงอก อ้างว้างเป็นหม้ายตลอดชีวิต สิ้นชีพอยู่ที่นี่น่าจะดีที่สุด!”
“สมุหราชองครักษ์…” เหมิงหู่จะไล่ตามทว่าโกรธเคือง วาจานี้แทงใจโดยแท้ ราชครูฟังแล้วจะคิดอย่างไร?
เขาหันกลับไปมองดูห้องหนังสือของจิ้งถิงอย่างเป็นกังวล ไร้ซึ่งสรรพเสียงเช่นเดิม แสงไฟเหลืองอ่อนลากเงาคนเงานั้นวูบไหวยืดยาวบนภาพดอกเหมยกลางหิมะโปรยปราย เนิ่นนานไม่ขยับเขยื้อน
…
พระราชวังเป็นสถานที่แปลกประหลาดยิ่งนักตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ท่าทางคุ้มกันทางเข้าออกเข้มงวด ทุกคนระวังเรื่องเล็กน้อยไม่เอ่ยวาจามากมาย ทว่าทุกครั้งยามเกิดเรื่องใดขึ้น ข่าวสารมักแพร่กระจายอย่างรวดเร็วยิ่งนักเสมอ ราวกับว่าเพียงชั่วพริบตาเดียว เรื่องเหล่านั้นจะสามารถงอกปีกแห่งความลับ ล่องลอยตามสายตาซ่อนเร้นกับริมฝีปากขยุกขยิก พาดผ่านทั่วทั้งพระราชวังปานธารหลาก
อิงไป๋ระเบิดโทสะเขวี้ยงกาสุรา ก่นด่าราชครูที่จิ้งถิงเป็นเพียงเรื่องเมื่อครู่ก่อนหน้า พอครู่ต่อมา บางคนรอเขาอยู่ตรงทางโค้งแห่งหนึ่งบนเส้นทางจากจิ้งถิงสู่วังบรรทมของราชินีแล้ว
สตรีนางนั้นสวมเสื้อคลุมแดงเข้มใต้ร่มดำขลับ สวมมงกุฎแต่งกายหรูหรา หิมะปกคลุมทั่วหัวไหล่ นางประคองถาดรองไว้ด้วยมือของตนเอง บนถาดรองคือกาหนึ่งใบและถ้วยสองใบ
ราชินีหมิงเฉิงที่เก็บเนื้อเก็บตัวหลังจากคืนสู่ตำแหน่ง ขุนนางใหญ่ทุกคนแทบจะไม่เคยได้พบเจอนาง ยามนี้นางรอคอยอยู่ท่ามกลางสายลมหิมะ
อิงไป๋หยุดยั้งฝีเท้า ความโกรธเคืองบนใบหน้าหายไปแล้ว หน้าตาเฉยเมย
“ฝ่าบาท” เขาโค้งคำนับเรื่อยเปื่อยครั้งหนึ่ง
ราชินีหมิงเฉิงคล้ายไร้ความรู้สึกต่อความเฉยชาของอิงไป๋ ยกถาดรองในมือขึ้นข้างบนเล็กน้อย
“ได้ยินว่าสมุหราชองครักษ์ชื่นชอบสุรา” นางยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ทางเจิ้นนี้เก็บรักษาสุราชั้นดีไว้กาหนึ่งด้วย แม้ว่ามิใช่หลงซานร้อยปี ทว่าเป็นสุราล้ำค่าหมักบ่มใต้ดินห้าสิบปี เจิ้นตั้งใจรอคอยกลางสายลมหิมะ เพียงเพื่อหวังอำลาสมุหราชองครักษ์”
นางกำนัลข้างกายนางก้าวขึ้นมารินสุราให้อิงไป๋ กลิ่นสุราหอมกรุ่นอบอวล ลูกกระเดือกของอิงไป๋ขยับเขยื้อนโดยสำนึก
หมิงเฉิงยิ้มแย้มบริสุทธิ์งดงามมากยิ่งขึ้น น่าประทับใจมากยิ่งขึ้น
“สมุหราชองครักษ์” สายตาสุกสกาวของนางวูบไหว จ้องมองใบหน้าของเขา เอ่ยว่า “จอกน้ำจัณฑ์กลั่นร้อยถ้อยนิราศ อย่าเกรี้ยวกราดหนทางห่างพวกพ้อง สหายรักหักหลังไร้ปรองดอง จิตผุดผ่องส่องสว่างกลางเหมันต์ สิ่งนี้คือวาจาในใจของหมิงเฉิง สมุหราชองครักษ์โปรดอย่าได้โศกเศร้าท้อแท้ ไม่ว่าอย่างไร หมิงเฉิงเคารพเลื่อมใสสมุหราชองครักษ์เสมอ”
นางกำนัลยกถ้วยสุราขึ้นเหนือศีรษะด้วยสองมือ อิงไป๋ชะงักเล็กน้อย รับถ้วยสุราไว้
หมิงเฉิงยิ้มแย้มสุขสันต์มากยิ่งขึ้น โบกมือบอกใบ้ให้นางกำนัลรินสุราให้นางด้วย ประคองถ้วยไว้ในมือ แย้มยิ้มพริ้มพรายเอ่ยว่า “มาสิ สมุหราชองครักษ์ เพื่อเส้นทางยากลำบากนับแต่นี้ เพื่อการรู้ใจกันของเจ้ากับข้ายามนี้ ดื่มสุราถ้วยนี้ด้วยกันเถิด”
นางชูถ้วยขึ้น ยิ้มแย้มประสานสายตากับอิงไป๋ ตนเองยังไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าตนเองเรียนรู้รอยยิ้มบ่อยครั้งกับองศายามเงยหน้าขึ้นของจิ่งเหิงปัวอย่างควบคุมมิได้
อิงไป๋ชูถ้วยขึ้น
มุมปากพลันกระหวัดเป็นรอยยิ้มบิดเบี้ยวผืนหนึ่ง
จากนั้น
คว้าสุราหนึ่งถ้วยค่อยๆ ราดรดบนมวยผมของนาง
ร่างกายของหมิงเฉิงแข็งทื่อขึ้นมาโดยพลัน
ใบหน้าอมชมพูซีดเผือดในพริบตา ริมฝีปากสั่นเทาหลายระลอก คล้ายอยากเอ่ยวาจาทว่าคล้ายเอ่ยวาจาไม่ออกแล้ว คล้ายถูกสายลมหิมะทั่วท้องฟ้าในค่ำคืนนี้พัดผ่านใบหน้า อุดตันตรงคอหอยแล้ว
น้ำสุราค่อยๆ ไหลลงมาตามมวยผม ไหลผ่านหน้าผาก ไหลสู่บนขนตาของนาง ขนตาแบกรับน้ำหนักนั้นไม่ไหว น้ำสุราสั่นไหวไหลรินอีกครั้งดุจดั่งหลั่งน้ำตา
หางตานางมีของเหลวค่อยๆ ไหลลงมาจริงแท้ หลอมรวมกับน้ำสุรา ผิวกายที่ซึ่งของเหลวไหลผ่านปวดแสบปวดร้อน
“สมุ…สมุหราชองครักษ์…เจ้า…เจ้าเข้าใจข้าผิดแล้วใช่หรือไม่…” ท่ามกลางสายลมหิมะ นางสวมเสื้อคลุมหนาหนักร้องไห้สะอึกสะอื้น เสียงเอ่ยวาจาแหบพร่าแหลกสลายถูกลมพัดสูญสิ้น สายตาที่เชิดขึ้นยังคงโศกเศร้า เป็นการตำหนิกับความไม่เข้าใจ ซ้ำยังมีความเสียใจไม่มีที่สิ้นสุด
ท่าทางนี้คือลักษณะท่าทางที่ทำให้คนใจแข็งยังต้องใจอ่อนตำหนิตนเอง ทว่าอิงไป๋ยิ้มแย้มเช่นเดิม
“ลูกผู้ชายดื่มสุรา เคารพเพียงผู้ควรเคารพ” เขาเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลว่า “กระหม่อมคงไม่อาจเคารพนังโสเภณีนางหนึ่ง ได้แต่เคารพพระมงกุฎบนพระเศียรของพระองค์แล้ว”
หมิงเฉิงดุจถูกอัสนีบาตรฟาดเปรี้ยง สีหน้าโศกเศร้าเยือกแข็งอยู่บนใบหน้าโดยสิ้นเชิง
อิงไป๋เสแสร้งแกล้งโค้งคำนับให้มงกุฎหงส์เหินทองคำเจ็ดสมบัติบนศีรษะนาง ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “โอ้ พระมงกุฎของฝ่าบาท พระองค์ทรงรู้สึกว่าน้ำจัณฑ์นี้เลิศรสหรือไม่? โอ้ พระมงกุฎของฝ่าบาท ย่ำค่ำแล้ว ขอโปรดทรงอภัยที่กระหม่อมต้องทูลลา”
เขายืดกายยืนตัวตรง ไม่มองราชินีสักปราดเดียวด้วยซ้ำ หัวเราะลั่นเดินจากไป แขนเสื้อกว้างใหญ่กวัดแกว่งกลางสายลมหิมะ
เพล้ง! ถ้วยสุราร่วงพื้น เรือนร่างของหมิงเฉิงอ่อนยวบล้มลงบนพื้นหิมะ นางกำนัลร้องเรียกองครักษ์อย่างตื่นตะลึง อิงไป๋เดินจากไปโดยไม่หันหน้ากลับมามองด้วยซ้ำ
วันที่ยี่สิบเก้า เดือนสิบสอง ปีเหรินเซิน[1]
อิงไป๋ สมุหราชองครักษ์อวี้จ้าวหลงฉี ออกจากนครหลวง
…
หิมะในคืนนี้แตกต่างจากหิมะในคืนนั้น ไม่ได้ตกหนักมากตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ เพียงมีหยาดหิมะโปรยปรายโดยตลอด ร่วงหล่นดังซ่าๆ อย่างต่อเนื่อง
เงาคนบอบบางสายหนึ่งโซซัดโซเซ เดินบนพื้นหิมะมุ่งสู่ทางข้างหน้า รองเท้าหุ้มข้อผ้าฝ้ายเหยียบย่ำหยาดหิมะบนพื้นจนแตกร้าวไม่หยุดหย่อน เปล่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดออกมา
ข้างหลังนางมีนางกำนัลติดตามด้วยความร้อนรนกังวลใจ ทว่าไม่กล้าเปล่งเสียง และไม่กล้าขัดขวาง
ราชินีได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจจนคล้ายเกิดอาการป่วยไข้ คนรับใช้ตะโกนเรียกองครักษ์อยู่เนิ่นนาน ทว่าไม่มีคนสนใจเลยด้วยซ้ำ ค่ำคืนนี้องครักษ์ได้รับความเมตตาเป็นกรณีพิเศษจากราชครู อนุญาตให้ผิงไฟย่างเนื้อภายในสำนักราชการได้ เบื้องหน้ากระถางไฟอันอบอุ่นมีคนชุมนุมกันหนาแน่น ไม่มีผู้ใดสนใจเสียงตะโกนน่าเวทนาของนางกำนัลนางหนึ่งเลย
แท้จริงแล้วยังคงมีองครักษ์ยืนอยู่ รอบด้านจิ้งถิงวางกำลังป้องกันแน่นหนาเสมอ ทว่าผู้คนที่มีหิมะปกคลุมหัวไหล่ซ่อนกายลับตาเหล่านั้นต่างจ้องมองเงาคนเงานั้นบนพื้นหิมะอย่างเย็นชา ภายในสายตาไม่มีความสงสาร มีเพียงความเกลียดชัง
ให้นางเสียสติเถิด!
ให้นางดิ้นรนสิ้นชีพเองเถิด!
ผู้ใดบังคับให้พระองค์นั้นจากไปกลางค่ำคืนสายลมหิมะ ผู้นั้นจงลิ้มรสความทุกข์เข็ญนั้นกลางค่ำคืนสายลมหิมะด้วยตนเองเถิด!
…
เหมิงหู่ยืนอยู่บนกำแพง มองดูเงาร่างล้มลุกคลุกคลานกลางพื้นหิมะเงานั้น สีหน้าเย็นชายิ่งกว่า
สายตาของเขาพลันวูบไหว หันมองทางจิ้งถิง…กงอิ้นพลันเปิดประตูออกมา เดินมุ่งสู่ประตูข้าง
สีหน้าของเหมิงหู่ตึงเครียดโดยพลัน
ตำหนักข้างเคียงคือวังบรรทมของจิ่งเหิงปัวยามนั้น…
นับตั้งแต่คืนนั้น ประตูข้างที่ปิดสนิทบานนั้นไม่เคยได้เปิดออกอีกเลย เหล่าองครักษ์ไม่มีผู้ใดเข้าใกล้ที่นั่น ทว่าบางครั้งเมื่อกวาดสายตาผ่านแล้วจะเหม่อลอยเสมอ ราวกับว่าพลันมองเห็นประตูข้างเปิดออก องค์ราชินียกอาหารและขนมหลากหลายชนิดไว้ เดินเข้ามาพร้อมเสียงหัวเราะแจ่มใส
ทุกคนจะผลิแย้มรอยยิ้มในยามนี้…องค์ราชินีที่เป็นมิตรใกล้ชิดราษฎรไม่เคยโกรธเคืองแม้ส่งขนมไม่ได้ นางจะร้องเรียกทุกผู้คนมากินขนม บางครั้งถึงขนาดนั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้กินขนมด้วยกันกับพวกเขา
รอยยิ้มเลือนรางจากการหวนรำลึกจะถูกประตูข้างที่ปิดสนิทบานนั้นทำลายจนสูญสิ้นในชั่วพริบตา
ครู่หนึ่งนั้น ในใจของทุกคนท่วมท้นด้วยความผิดหวัง
ไม่เพียงแต่ประตูข้าง แม้กระทั่งป่าหงเฟิง หอหลานเซิ่ง ศาลาเฟยหลาน หอชุ่ยหวาและทะเลสาบเหยี่ยชุนเหล่านั้น…สถานที่ทุกแห่งที่นางเคยเที่ยวเตร่เคยเหยียบย่ำ เขาจะไม่เหยียบย่ำอีกเลย สะพานโค้งเก้าช่องที่เคยจดจำการสารภาพรักก้องกังวานของนางแห่งนั้นทอดผ่านผิวน้ำอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายยิ่งนัก ไม่มีผู้ใดส่องเงากับแม่น้ำจากบนสะพานอีกเลย
ทว่าคงหลีกเลี่ยงไม่ได้หรอก ทั่วทั้งจิ้งถิง ทุกแห่งทุกหนท่วมท้นด้วยความทรงจำและลมหายใจที่เกี่ยวกับนาง หลบซ่อนไม่ได้ หลบหนีไม่พ้น เป็นเพียงการกลบกลืนเรื่องราวในอดีตโดยละเอียดท่ามกลางความนิ่งเงียบวันแล้ววันเล่า
แต่เดิมนึกว่าประตูบานนี้คงไม่เปิดออกอีกแล้ว ทุกคนกำลังรอคอยวันหนึ่งที่ราชครูจะออกคำสั่งปิดผนึกประตูบานนี้ชั่วนิรันดร์
กลับนึกไม่ถึงว่าในคืนนี้ ยามนี้ประตูข้างได้เปิดออกแล้ว
เขาค่อยๆ เดินเข้าไป
เหมิงหู่มองราชครูปราดหนึ่ง จากนั้นก็มองหมิงเฉิงที่อยู่ไกลออกไปปราดหนึ่ง นางเหม่อลอยกะโผลกกะเผลกตลอดทาง คล้ายเดินมาทางนี้ด้วยเช่นกัน
เหมิงหู่คิดจะตักเตือน แต่สุดท้ายแล้วกลับนิ่งเงียบ
ความมัวเมาบางอย่างรบกวนไม่ได้
ส่วนเรื่องบังเอิญพบเจอนั้น ต้องอาศัยโชคชะตาของนางเองแล้ว!
…
[1] เหรินเซิน หนึ่งในก้านฟ้า-กิ่งดิน (กานจือ) เป็นคำบอกลำดับในการนับวันเดือนปี ก้านฟ้ามีสิบลำดับ กิ่งดินมีสิบสองลำดับ