ครู่หนึ่งนี้นิ้วมือเขาเย็นเยียบ นางถึงขนาดเหม่อลอยชั่วขณะ รู้สึกเพียงว่าความหนาวเหน็บนั้นเข้าสู่ไขกระดูก เป็นความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือนชั่วนิรันดร์
ชั่วครู่นั้นตรงหน้าคือหิมะเหินว่อน ค่อยๆ เยือกแข็งกลายเป็นเงาคน นางจ้องมองเงาคนนั่น ทยอยซ่อนเร้นน้ำตาคลอเบ้าตรงส่วนลึกในใจ
คนคนนั้น นางเคยคิดจะใช้ไออุ่นของตนเองอบอุ่นเขา ทว่าสุดท้ายแล้วแลกมาซึ่งผลลัพธ์แห่งการจากกันสุดขอบฟ้า
มือนางสั่นเทิ้ม เขาปล่อยนิ้วมือออกอย่างแผ่วเบาแล้ว เสียงถอนใจของเขาเยื้องกรายดุจเกล็ดหิมะท่ามกลางความมืดมิด เจือด้วยความเหน็บหนาวเปล่าเปลี่ยวส่วนหนึ่ง เอ่ยว่า “คนที่คว้ามือเจ้าไว้คือข้า ทว่าคนที่เจ้านึกถึงไม่ใช่ข้า”
นางสั่นสะท้านหันหน้าหลบหลีก ไม่รู้ว่าควรกล่าวอะไร และไม่อยากกล่าวอะไรด้วย
“ช่างเถิด” เขากลับหัวเราะออกมาอย่างสบายใจ เอ่ยว่า “ไม่ว่าอย่างไร ยามนี้คนที่เจ้าคลำคือข้า”
แต่ไหนแต่ไรมาจิ่งเหิงปัวไม่เคยขาดคำพูดโต้เถียง เรื่องนี้เป็นผลพลอยได้จากการโต้เถียงตลอดเวลายามที่รู้สึกเบื่อหน่ายของกลุ่มสี่คนแห่งสถาบันวิจัย พอโต้เถียงกันมาเป็นเวลาหลายปี แม้แต่ไท่สื่อหลันที่พูดไม่เก่งที่สุด ถ้คิดจะด่าคนขึ้นมาจริงๆ ยังด่าได้เป็นชุด แต่ตอนนี้นางได้แต่นิ่งเงียบ มือสะบัดลงมาโดยไม่เจตนา สัมผัสความเปียกชื้นที่หลังไหล่ของเขาโดยไม่ตั้งใจ ได้กลิ่นคาวเลือดอบอวล อดจะกล่าวไม่ได้ว่า “เจ้าน่ะ…”
“ถึงแล้ว!” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยโดยพลัน เอื้อมมือผลักเพียงครั้ง
ปากอุโมงค์เปิดออก
ปราดแรกมองเห็นกำแพง
เบื้องหน้าคือกำแพงสูงที่ขวางไว้อย่างแข็งแรงแน่นหนา
จิ่งเหิงปัวชะงักงัน..ทางตันเหรอ?
เหยียลี่ว์ฉีเอื้อมมือผลักอีกครั้ง
ประตูบนกำแพงหมุนพลิกกะทันหัน แท้จริงแล้วประตูนั้นซ่อนอยู่กลางกำแพง พื้นผิวสีสันเสมือนกำแพง มองไม่เห็นได้โดยง่าย
ประตูทางนั้น
สะบั้นฟ้าดินเงางาม พบเจอสายลมหิมะค่ำคืนข้ามปีอีกครั้ง
จิ่งเหิงปัวถูกแสงแวววาวขาวราวหิมะจากข้างนอกเสียดแทงจนตรงหน้าเลือนรางชั่วคราว
ข้างนอกถูกโอบล้อมหรือเปล่า? นางไม่กล้าออกไปชั่วขณะ เพราะว่าครู่ต่อมานางได้ยินเสียงฝีเท้าจากปลายเส้นทางทั้งสองฝั่ง รวมทั้งเสียงเกราะทหารกับอาวุธกระทบกัน
มีกองทัพ
ที่นี่น่าจะยังเป็นบริเวณคฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลเหยียลี่ว์ เบื้องหน้าคือตรอกที่แคบมากๆ คงจะมีคนสัญจรผ่านน้อยครั้งนัก ทั้งมืดทั้งยาว ฉะนั้นเหล่าพลทหารเพียงรักษาการณ์ปลายสองฝั่งไว้ ไม่จำเป็นต้องเข้าไปในตรอกนี้อีก
สถานที่แห่งนี้คือศูนย์รวมเขตพักอาศัยของขุนนางตระกูลผู้ดี ฝั่งตรงข้ามตรอกเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลอื่น ทว่าด้วยเพราะตระกูลเหยียลี่ว์เกิดคดีสังหารล้างจวน ทหารจินหลินจึงโอบล้อมตระกูลเหยียลี่ว์ไว้ จวนพักอาศัยบริเวณใกล้เคียงพากันตกอกตกใจ จะกล้าหลับสนิทได้อย่างไร แต่ละจวนจุดตะเกียงสว่างไสว องครักษ์ทั้งกองทัพเคลื่อนพลลาดตระเวนทั่วทิศ นางเหนื่อยล้าอ่อนแรงหลังการต่อสู้ ประกอบกับเหยียลี่ว์ฉีที่บาดเจ็บสาหัส ไม่ว่าวิ่งหนีไปจวนตระกูลไหนก็อาจเผชิญหน้าการล้อมสังหารไม่รู้จบสิ้นได้ทั้งนั้น
พอมองพื้นตรอกแห่งนี้ปกคลุมด้วยหิมะครึ่งฟุต ไม่มีร่องรอยเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าตรอกนี้แคบเกินไปไม่สะดวกสัญจร คนธรรมดาไม่อยากเดินผ่าน น่าจะต้องรีบร้อนถึงเดินผ่านที่นี่
ทำอย่างไรดี?
จิ่งเหิงปัวกำลังคิดจะปรึกษาเหยียลี่ว์ฉีสักหน่อย พอหันหลังมองเห็นเขากำลังถอยไปข้างหลัง
“ทำอะไรของเจ้า?”
“ข้าพลันนึกขึ้นมาได้ ข้าลืมของสำคัญติดกายชิ้นหนึ่งไว้ในทางลับแล้ว” เขายิ้มแย้ม น้ำเสียงขออภัยเอ่ยว่า “ข้าต้องกลับไปหยิบสักหน่อย”
จิ่งเหิงปัวคว้าแขนเสื้อเขาไว้ในครั้งเดียว ยิ้มเยาะ
“เล่นลูกไม้กับข้าให้น้อยหน่อย หวังกลับไปเสียสละตนเองช่วยข้าหนีรอดหรือ?”
“เจ้าก็ช่างคิดได้นะ” เขายิ้มแย้ม ไอโขลกพลางเอ่ยว่า “ชีวิตข้ามีค่ามากกว่าเจ้าเยอะเลย”
“เช่นนั้นจงกลับมา” นางออกแรงลากครั้งหนึ่ง แต่เดิมแค่อยากคว้าเขาไว้ ใครจะรู้ว่าเขาโซเซเพียงครั้ง แล้วทิ้งตัวลงบนไหล่นาง
จิ่งเหิงปัวตกใจ รู้สึกทันทีว่าบนไหล่เปียกชื้นแล้ว ไม่ต้องมองยังรู้ว่าเป็นเลือด นางขยับเขยื้อนร่างกายเคลื่อนย้ายเขามาไว้ในอ้อมแขน พอก้มหน้ามอง ในใจอดจะเกร็งแน่นไม่ได้
หากกล่าวว่ามีสีหน้าที่เรียกว่าความตาย คงเป็นสีหน้านี้เอง
นางนึกขึ้นมาได้ว่าเดิมทีเหยียลี่ว์ฉีถูกพิษได้รับบาดเจ็บ วิ่งแจ้นตลอดทางทั้งคืน ดึงดูดศัตรูมากมายขนาดนั้นมาล้อมโจมตีเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ น่าจะได้รับบาดเจ็บขณะล้อมโจมตีแล้ว หลังจากนั้นยังแทงกระบี่ทะลุหัวใจคนแบบคุณชายสามนั่นขณะล้อมโจมตีด้วย คงได้แผลใหม่เพิ่มมาอีกแน่ สุดท้ายยังรับกระบี่แทนนางครั้งหนึ่ง
แผลเก่าเพิ่มแผลใหม่ แค่เลือดออกก็เกือบจะทำคนตายได้แล้ว
เขาจำเป็นต้องหยุดก่อน พักผ่อนให้อาการดีขึ้น
แต่อันตรายรอบด้านทุกขณะแบบนี้ กองทัพโอบล้อมรอบด้าน จะไปหาสถานที่นอนลงอย่างเงียบสงบสักแห่งตรงไหนได้?
ปากตรอกพลันมีเสียงฝีเท้ากับเสียงตะโกนออกคำสั่ง คล้ายมีคนเดินผ่าน กำลังถูกกองทัพซักถามสอบสวน
ค่ำคืนสายลมหิมะแบบนี้ใครจะมาเดินข้างนอก?
จิ่งเหิงปัวก้มตัวหมอบลง ไม่กล้าขยับเขยื้อน ได้ยินคนที่ถูกซักถามนั่นคล้ายผ่านด่านอย่างรวดเร็ว จากนั้นเข้ามาทางตรอกนี้ เสียงฝีเท้าทั้งยุ่งเหยิงทั้งถี่กระชั้นมาก ซ้ำยังมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดๆ รำไร คล้ายเป็นเสียงที่ดังขึ้นระหว่างแบกเกี้ยว
“เข้าเกี้ยว…” เหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ในอ้อมแขนพลันเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
“สองคนหนักเกินไป…” จิ่งเหิงปัวลังเล นางพาเหยียลี่ว์ฉีเข้าเกี้ยวด้วยได้ แต่ถ้าเข้าไปจะถูกคนแบกเกี้ยวพบเข้าแน่นอน นับเป็นการเดินเข้าหลุมพรางเช่นเดียวกัน
“แยกกัน…” เหยียลี่ว์ฉีหันหน้ามองปราดหนึ่งจากบนเข่าของนาง เอ่ยว่า “เกี้ยวเจ้านายข้างหน้า เจ้าเข้าไป เกี้ยวสาวใช้ข้างหลัง ข้าเข้าไป…”
เกี้ยวทุกหลังดำทะมึนท่ามกลางสายลมหิมะ ลำบากเหลือเกิน เขามองออกว่าเป็นเกี้ยวเจ้านายกับเกี้ยวสาวใช้ได้อย่างไร
จิ่งเหิงปัวยังรู้สึกว่าอันตราย คราวนี้ถ้าเจอสายโหดเข้าจะทำอย่างไร?
“ผู้ติดตามกลุ่มเล็ก เดินทางรีบร้อน ผ่านด่านราบรื่น…พฤติกรรมลับๆ ล่อๆ” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างขาดๆ หายๆ ว่า “…คงเป็นญาติพี่น้องของผู้กุมอำนาจแท้จริงในเมือง กระทำเรื่องไม่อาจแพร่งพราย ต้องปิดบังผู้อื่นและต้องรีบกลับไป…ลงมือได้ง่ายเป็นที่สุด…”
จิ่งเหิงปัวประหลาดใจมากว่าแค่แวบเดียวเองเขามองออกได้อย่างไร?
ไม่รอให้จิ่งเหิงปัวลงมือ เหยียลี่ว์ฉีโยนเฟยเฟยออกไปด้วยฝ่ามือเดียวแล้ว ร้องว่า “ไปก่อกวน!”
หางใหญ่ของเฟยเฟยฟูฟ่องกลางอากาศ กะพริบวูบประหนึ่งดอกผู่กงอิง[1] กระโดดออกไปจากตรงเท้าของคนแบกเกี้ยวดัง ฟิ้ว พัวพันจนคนแบกเกี้ยวนั่นโซเซ
คนแบกเกี้ยวก้มหน้า เฟยเฟยมุดเข้าใต้เกี้ยวตั้งนานแล้ว คนแบกเกี้ยวมองไม่เห็นสิ่งใดเลย อดจะตกใจไม่ได้ คนแบกเกี้ยวทั้งสี่ด้านมีสีหน้าไม่สบายใจ ถามเขาว่า “อะไรหรือ”
“สะดุดสิ่งใดไม่รู้…”คนแบกเกี้ยวปาดเหงื่อกลางอากาศหนาวเหน็บ
“ชักช้าอยู่ไย! รีบไป!” เสียงตำหนิด้วยความรำคาญแว่วมาจากเกี้ยวคันแรก เป็นเสียงของสตรี
เกี้ยวคันที่สองกำลังหยุดอยู่หน้าปากอุโมงค์ที่สองคนซ่อนตัว จิ่งเหิงปัวกำลังจะส่งเหยียลี่ว์ฉีออกไป แต่เหยียลี่ว์ฉียั้งมือของนางไว้
มือเขาเย็นเยียบ นางสูดหายใจเข้าลึกๆ สองมือถูไถมือของเขา
เหยียลี่ว์ฉีคล้ายสั่นสะท้าน เงยหน้ามองนาง นางกำลังก้มหน้า นัยน์ตาสองข้างประสานกัน ต่างคนต่างเปล่งประกายแสงริบหรี่
เกี้ยวข้างนอกถูกยกขึ้นอีกครั้ง ทว่าคนแบกเกี้ยวยังเดินได้ไม่ถึงสองก้าว เฟยเฟยกระโดดออกไปอีกครั้ง
มันไปมาตรงเท้าคนแบกเกี้ยวหลายครั้งปานอสนีบาต สุดท้ายกระโดดไปตรงหน้าคนแบกเกี้ยวคนหนึ่ง หางใหญ่ฟูฟ่องขาวราวหิมะเชิดขึ้น เริงระบำอ่อนช้อยดุจเกล็ดหิมะ ค่อยๆ หันหน้ากลับมากลางอากาศ ดวงตากลมโตม่วงเรืองกะพริบให้นัยน์ตาคนผู้นั้นอย่างเชื่องช้า
แลไม่รู้ว่าเจ้าผู้นั้นมองเห็นสิ่งใด ดวงตาแข็งทื่อชะงักครู่ใหญ่ กระโดดขึ้นฉับพลัน ชนเข้ากับคนแบกเกี้ยวข้างกาย ร้องว่า “ผีหลอก!”
แต่เดิมเหล่าคนแบกเกี้ยวทยอยสะดุดล้มจิตใจหวาดหวั่น ยามนี้ได้ยินเสียงร้องตะโกนน่าหวาดกลัวเสียงหนึ่งนี้ พลันรู้สึกว่าไอหนาวทะลุผ่านทั่วร่าง พากันกรีดร้องพลางชนเข้าด้วยกันอย่างสับสนวุ่นวาย
“ผีหลอก!”
“เอ่ยกันว่าตรอกนี้เคยมีคนตาย ผ่านไปไม่ได้! ผีหลอก!”
คนแบกเกี้ยววิ่งหนีกระเจิดกระเจิง แม้สตรีนั้นกรีดร้องห้ามปรามอย่างต่อเนื่องอยู่ในเกี้ยวยังขัดขวางไว้ไม่ได้
“นี่มันอะไรกันวะเนี่ย?” จิ่งเหิงปัวมองตาค้างพึมพำว่า “คนแบกเกี้ยวตกใจวิ่งหนีหมดแล้ว ผู้ใดจะแบกพวกเรา? อีกทั้ง เสียงร้องเช่นนี้ทำให้พลทหารตกใจไม่ใช่หาเรื่องหรือ?”
ไม่มีเสียงตอบกลับ พอก้มหน้ามองเห็นเหยียลี่ว์ฉีสลบไปอีกแล้ว เขายังกุมนิ้วมือนางไว้ คล้ายอยากจะบอกให้นางไม่ต้องรีบร้อนเข้าไปตอนนี้
จิ่งเหิงปัวมีความเข้าใจตนเองอย่างยิ่งตลอดเวลา รู้สึกอยู่เสมอว่าแม้ตนเองไม่ได้โง่เขลา แต่ปริมาณสมองยังน้อยกว่าหลายคนนี้นิดหน่อย ขณะนี้จึงได้แต่ไม่รีบร้อน ได้แต่รอคอยต่อไป
คนแบกเกี้ยวทั้งวิ่งทั้งร้อง พลทหารสองฝั่งตกอกตกใจพากันวิ่งมาทางนี้ ได้ยินเสียงถามแต่ไกลว่า “เกิดเรื่องใดขึ้น!”
“พวกสวะ! พวกสวะ!” สตรีในเกี้ยวร้องด่า โยนป้ายห้อยเอวอันหนึ่งออกมาดังเพียะ เอ่ยว่า “ไม่ต้องให้ไอ้สารเลวพวกนี้แบกแล้ว! รบกวนขุนพลจัดหาพลทหารหลายนายส่งข้ากลับไป!”
ป้ายห้อยเอวเขียวคล้ำเปล่งประกายเลือนรางบนพื้นหิมะ ขุนพลนายนั้นมองเห็นแล้วมีสีหน้าตกตะลึง ขานรับด้วยความรีบร้อน สั่งให้เหล่าพลทหารลากคนแบกเกี้ยวน่าสมเพชเหล่านั้นออกไป ซ้ำยังตะโกนเรียกทหารหนุ่มแข็งแรงหลายนายมาแบกเกี้ยว
จิ่งเหิงปัวเข้าใจทันทีว่าโอกาสมาถึงแล้ว!
เปลี่ยนคนแบกเกี้ยว น้ำหนักก่อนหลังไม่เท่ากันคงไม่ชัดเจนอีกต่อไป
นางหยิกเหยียลี่ว์ฉีให้ตื่นขึ้นมาทันที กล่าวว่า “จะต้องได้สติหนึ่งนาที!” เปิดประตูลับบนกำแพงอย่างเงียบเชียบ
ประตูลับตรงกับเกี้ยวสาวใช้นั้นพอดี สาวใช้นางนั้นกำลังเปิดหน้าต่างชะโงกหน้าออกมามอง พลันรู้สึกว่าข้างกายผิดปกติ พอหันหน้าท่าทางตื่นตระหนก
ไม่รอให้นางเปล่งเสียงร้อง จิ่งเหิงปัวก็สะบัดมือเพียงครั้ง เหยียลี่ว์ฉีเข้าไปในเกี้ยวของสาวใช้นางนั้นแล้ว จิ่งเหิงปัวมองเห็นด้วยตาตนเองว่าครู่หนึ่งที่เหยียลี่ว์ฉีเข้าไปในเกี้ยวนั้น มือข้างหนึ่งบีบลำคอของสาวใช้นางนั้นไว้แล้ว
นางโล่งใจ ก่อนที่เรือนร่างจะกะพริบวูบ
[1] ดอกผู่กงอิง ดอกแดนดิไลออน ชื่อวิทยาศาสตร์ Taraxacum