จูจั้นรู้สึกว่าตนเองเห็นผีแล้วจริงๆ
เขาทำไมเห็นผู้หญิงคนนี้ได้?
ผู้หญิงคนนี้อยู่ที่นี่ได้อย่างไร? นางไม่ใช่ไปเป็นโจรแล้วรึ?
อีกอย่าง นางเรียกอะไรนะ?
สามี…
จูจั้นหนาวสะท้านยืนตัวตรง
ไม่ใช่กระมัง…
คุณหนูจวินกลั้นหัวเราะสุดกำลัง
“สามี…” นางก้าวเข้ามาแล้วยื่นมืออกมา
จูจั้นตกใจถอยหลังก้าวหนึ่งจากนั้นยื่นมือชี้นาง
“เฮ้ยเฮ้ย เจ้าคิดจะทำอะไร…” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินคว้าแขนเขาไว้แล้ว
“ทุกคนดูอยู่นะ” นางกดเสียงเบาสีหน้าจริงจังเอ่ยขึ้น
ร่างกายจูจั้นแข็งทื่อไม่ชักแขนออกอีก เขาถลึงตามองคุณหนูจวินครู่หนึ่งแล้วยื่นมืออีกข้างออกมากอดนางไว้ในอ้อมแขน
การเคลื่อนไหวรุนแรงอยู่บ้าง คุณหนูจวินไม่ทันตั้งตัวศีรษะชนกับหัวไหล่ของเขา จมูกเกือบเบี้ยว ตามติดด้วยแผ่นหลังถูกมือใหญ่ใช้แรงตบสองที
“ภรรยา”
เสียงของจูจั้นดังวิ้งๆ ข้างหู
“ลำบากเจ้าจริงๆ”
คุณหนูจวินถูกตบจนไอโขลกๆ ชนหัวไหล่จูจั้นอีกครั้ง
“พอแล้ว พอแล้ว” นางน้ำตาคลอเอ่ยเสียงเบา “มีอะไรเข้าไปคุยกัน”
จูจั้นหัวเราะแห้งๆ กลับ พลิกมือคว้าแขนคุณหนูจวินไว้ ลากนางเดินเข้าไปในกระโจม
รอบด้านสายตานับไม่ถ้วนหันกลับไป
จ้าวฮั่นชิงที่ยืนอยู่ด้านข้างตลอดกระบวนการม้วนเส้นผมที่ตกลงมา
“เล่นอะไรกันล่ะนี่” นางพึมพำหนึ่งประโยคก็สะบัดแส้เดินจากไป
ส่วนเหลยจงเหลียนท่าทางทอดถอนใจอยู่บ้าง แม้ห่างกันไกลมองไม่เห็นใบหน้าของจูจั้น แต่ท่าทางกับบรรยากาศยังคุ้นเคยนัก
เดิมทีบังเอิญพบพานเผชิญดาบกระบี่ด้วยกัน คิดไม่ถึงท้ายที่สุดเจ้าช่วยข้าข้าช่วยเจ้า เวลานี้ที่ติ้งโจวแห่งนี้พบหน้ากันในสถานการณ์เช่นนี้อีก ทั้งสองคนต้องซาบซึ้งอย่างยิ่งแน่
……………………………………….
ในกระโจมกลับไม่มีความซาบซึ้งยามสหายเก่าพบพาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจับมือมองกันน้ำตาคลอ มีเพียงเสียงหัวเราะของคุณหนูจวินดังขึ้น
จูจั้นเข้ามาปุบก็สะบัดนางออกขยับห่างหลายก้าว สีหน้าระแวงมองนาง
เห็นท่าทางของเขา คุณหนูจวินก็อดไม่ได้หัวเราะฮ่าฮ่าขึ้นมาอีกครั้ง
“ทำไมเป็นเจ้าได้?” จูจั้นตวาดเสียงเบา “ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมเจ้า…”
เขามองประเมินคุณหนูจวิน
“หลอกแม่ข้าอย่างไร?”
เสียงหัวเราะของคุณหนูจวินดังไม่หยุด
“หลอกอะไร” นางยิ้มพลางเอ่ย “ข้าเป็นคนประเภทนั้นหรือ?”
จูจั้นหัวเราะเฝื่อนๆ สองที
“เจ้าไม่ใช่หรือ?” เขาเอ่ย “แม่ข้ากับพ่อข้ายังไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใครใช่หรือไม่? ไม่เช่นนั้นตอนแม่ข้าตอบจดหมายทำไมไม่บอกข้า”
คุณหนูจวินเม้มปากดวงตาโค้งเป็นวง
“ท่านหญิงกับท่านกั๋วกงรู้ว่าข้าเป็นใคร ส่วนท่านหญิงทำไมไม่บอกท่าน” นางหัวเราะคิกคัก “เป็นข้าไม่ให้นางบอกเอง ตกใจล่ะสิ? ตกใจสะดุ้งโหยงเลยใช่ไหม?”
จูจั้นสีหน้าประหนึ่งเห็นผีอีกครั้ง
“เจ้าผู้หญิงคนนี้ ช่าง…” เขาถลึงตาคล้ายไม่รู้จะพูดอะไร
คุณหนูจวินปิดปากแย้มยิ้ม
จูจั้นหน้าตายมองนาง
“สนุกไหม?” เขาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินปิดปากหัวเราะพยักหน้า
“สนุกสิ” นางยิ้มๆ เอ่ยตอบอย่างจริงจัง
“เบิกบานใจไหม?” จูจั้นหน้าตายเอ่ยถามอีก
เสียงหัวเราะพรืดของคุณหนูจวินเล็ดลอดออกมาจากฝ่ามือ
“เบิกบานใจสิ” นางตอบอย่างจริงจัง
จูจั้นสีหน้าเรียบเฉยเบ้ปากใส่นาง
“พ่อข้าเล่า?” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินทิ้งมือลง หยุดหัวเราะแล้ว
เวลานี้สำหรับลูกชายแล้วเรื่องสำคัญที่สุดก็คือบิดา
“ท่านกั๋วกงกำลังรักษาอาการบาดเจ็บอยู่” นางเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
นับว่านางยังรู้ว่าอะไรเรียกสมควรอยู่
จูจั้นพ่นลมหายใจออกจากจมูก
คุณหนูจวินก้าวเท้านำทางแล้วมองจูจั้นทีหนึ่งยื่นมือทำท่าเชิญ
“สามี เชิญด้านนี้” นางเอ่ย
หางคิ้วของจูจั้นกระตุกอีกครั้งทันที
ผู้หญิงคนนี้! ไม่จริงจังทำหน้าจริงจังจริงๆ!
คุณหนูจวินเงยหน้าหัวเราะลั่นอย่างไร้เสียง ก้าวไปข้างหน้า
จูจั้นกัดฟังถลึงตา ยกเท้าเตะใส่ด้านหลังนางสองที สะบัดแขนเสื้อหน้าบึ้งติดตามไป
……………………………………….
ด้านในกระโจมของเฉิงกั๋วกงกลิ่นหอมของยาอบอวล
มองเห็นเฉิงกั๋วกงที่หน้าดั่งกระดาษทองนอนอยู่บนเตียงนุ่ม จูจั้นพลันคุกเข่าลงไปหน้าเตียงทันที
“พ่อ” เขาร้องเรียกเสียงขึ้นจมูกชัด
เฉิงกั๋วกงตอนนี้เพิ่งลืมตา คล้ายถูกปลุกตื่นจากฝัน มองเห็นคนที่คุกเข่าอยู่หน้าเตียงก็เผยรอยยิ้ม
“จั้นเอ๋อร์มาแล้ว” เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน
จูจั้นตาแดงพยักหน้าอยากพูดอะไร ปลายหางตาก็มองเห็นคุณหนูจวินที่ยืนอยู่ด้านข้าง นางวางมือไพล่หลัง เอียงศีรษะเล็กน้อยจับจ้องมองดูอย่างสงสัยใคร่รู้
จูจั้นกัดฟัน
“คุณหนูจวิน” เขามองนางแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าอยากพูดกับพ่อของข้าสักหลายประโยค”
เฉิงกั๋วกงยิ้มน้อยๆ แล้ว
“ไม่เป็นไร มีอะไรเจ้าพูดได้เลย” เขาเอ่ย
ไม่รอจูจั้นเอ่ยอะไร คุณหนูจวินก็ยิ้มแล้ว
“ท่านกั๋วกง ท่านควรทานยาแล้ว ข้าจะไปต้มให้ท่านสักครู่” นางเอ่ยบอก
เฉิงกั๋วกงไม่พูดอะไรอีก อมยิ้มพยักหน้าให้นาง
คุณหนูจวินหมุนตัวเดินออกไป ตอนเลิกกระโจมเปิดก็ได้ยินจูจั้นร้องเรียกพ่อเสียงขึ้นจมูกอีกครั้ง
เสียงนี้แตกต่างจากยามจูจั้นเอ่ยวาจาก่อนหน้านี้ มีความละอายร้อนรนกังวล แต่ก็มีความออดอ้อนจางๆ ด้วย
ออดอ้อน…
คุณหนูจวินอดไม่ได้หันกลับไปมองทีหนึ่ง เห็นจูจั้นก้มศีรษะไปบนเตียง เฉิงกั๋วกงยื่นมือลูบศีรษะเขา
คุณหนูจวินเบิกตากลม
คิดไม่ถึง…
ตัวโตปานนั้นกลับประหนึ่งแมวน้อยอิงแอบข้างกายบิดาถูกลูบศีรษะ ภาพนี้ไม่สมควรมีบุคคลที่สามอยู่ด้วยจริงๆ
คุณหนูจวินปล่อยประตูกระโจมลงกั้นภาพด้านใน
……………………………………….
ตอนที่เสียงฝีเท้าดังขึ้นหลังร่าง คุณหนูจวินกำลังจ้องหม้อยาที่มีฟองปุดๆ อยู่บนเตาอันน้อยอย่างตั้งใจอยู่
นางได้ยินเสียงฝีเท้าแต่ไม่ได้สนใจ หยิบแผ่นไม้เล็กๆ ท่อนหนึ่งโยนเข้าไปในเตา
ประกายไฟพลันลอยแรงขึ้นกว่าก่อนหน้า
“เฮ้”
จูจั้นคล้ายรำคาญแล้วจึงเอ่ยเรียก
คุณหนูจวินยังคงไม่หันกลับมา
“อย่าเอะอะ” นางเอ่ย “ต้มยาที่สำคัญคือความร้อนของไฟ”
เด็กสาวที่นั่งยองอยู่บนพื้นสีหน้าจดจ่อดูไปแล้วตั้งใจยิ่งนัก
จูจั้นแค่นเสียง แต่ไม่เอ่ยวาจาอีกตามคำบอก หมุนตัวก้าวเท้าจะจากไป
“แต่สำหรับข้าแล้วนี่ล้วนเป็นเรื่องไม่สำคัญ อย่างไรวิชาแพทย์ของข้าก็สูงส่ง”
หลังร่างเสียงหัวเราะคิกคักของเด็กสาวคนนั้นกลับลอยมา
อีกแล้ว! จูจั้นอับอายกรุ่นโกรธอยู่บ้างหมุนกายหันกลับมา คุณหนูจวินยิ้มตาหยีลุกขึ้นยืนมองเขา
เจ้าดูสิสภาพไม่จริงจังนี่สิ!
จูจั้นกัดฟัน
ทำไมมีคนเช่นนี้ได้!
เขาสูดหายใจลึกทีหนึ่งทำให้ตนเองสงบ
“ว่ามาสิ” เขาเอ่ยเรียบเฉย “เงื่อนไขของเจ้า”
คุณหนูจวินร้องอ้อ
“เรื่องนี้มารดาท่านรู้ สิบหมื่นตำลึง” นางยื่นมือวาดนิดหนึ่ง
เรื่องที่พบท่านหญิงเฉิงกั๋วได้อย่างไร รวมถึงตกลงช่วยเหลือที่เมืองเหอเจียนอย่างไร คุณหนูจวินย่อมไม่มีทางปิดบังเฉิงกั๋วกง ตั้งแต่แรกก็บอกเขาแล้ว
ถ้าอย่างนั้นเมื่อครู่เฉิงกั๋วกงก็คงบอกจูจั้นแล้ว
คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม
“เจ้ายิ้มอะไร?” จูจั้นระแวงเอ่ยถามทันที
เรื่องครั้งนี้ตนทำให้เขาตกใจไม่เบาจริงๆ คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“แต่นั่นเป็นเพียงราคาที่ข้าส่งมารดาของท่านรวมถึงคุ้มครองชาวบ้านอพยพจากป้าโจวเท่านั้น” นางเอ่ยขึ้นสีหน้าจริงจังอีกครั้ง “หลังจากนั้นที่ไปอี้โจวช่วยบิดาของท่านย่อมไม่รวมอยู่ในนั้น”
พูดถึงตรงนี้ก็มองจูจั้นแล้วยิ้มน้อยๆ
“ราคานี้น่ะหรือ…”
คำพูดนางยังเอ่ยไม่ทันจบ จูจั้นก็ทะลึ่งถอยหลังก้าวหนึ่งท่าทางระแวงยกมือปฏิเสธ
“เจ้าอย่าคิดแต่งให้ข้า!” เขาเอ่ย “อย่าคิดเอาบุญคุณช่วยชีวิตมาบีบข้า! ข้าไม่มีทางยอมถูกบังคับหรอก!”