Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน – ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด ตอนที่ 7 ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในกองกำลัง

ภาคที่ 36 ขั้นสุดยอด ตอนที่ 7 ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในกองกำลัง

ใบหน้าหมอกดำขนาดมหึมานั้นกลับทะยานตรงไปทางท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ที่อารมณ์ดีมาตลอดผู้นั้น

“ตู้ม!” ผิวกายของท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้กลับมีเปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นมา กลิ่นอายก็ปะทุขึ้น หมัดหนึ่งของเขาต่อยออกไป อากาศเบื้องหน้ากลับถูกแผดเผาจนบิดเบี้ยวไปหมด ใบหน้าหมอกดำกลับก่อตัวขึ้นเป็นสาวน้อยชุดดำคนหนึ่ง สาวน้อยชุดดำต้านทานการโจมตีของเปลวเพลิงเอาไว้แล้วบุกตรงไปเบื้องหน้าท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้ จากนั้นกรงเล็บหนึ่งก็ปกคลุมเข้าไปทันที

มือทั้งคู่ของสาวน้อยชุดดำคนนี้กลับดำทะมึนและใหญ่โต ทั้งยังคมกริบราวกับมีด

ยังมีเผ่ามรณะทมิฬอีกยี่สิบกว่าคนที่ล้อมโจมตีไปทางยอดฝีมือชนพื้นเมืองคนอื่นๆ ยอดฝีมือชนพื้นเมืองเหล่านี้ก่อตัวขึ้นเป็นค่ายกลรบอันหนึ่งเพื่อรับมือศัตรูทันที

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเป็นผู้ที่สบายที่สุดในที่นั้น เขาไม่รีบร้อนลงมือ หากแต่มองดูสถานการณ์การต่อสู้อย่างสบายอกสบายใจ

“ท่านชายชนพื้นเมืองผู้นี้ หากพูดถึงอานุภาพแล้วสามารถบีบบังคับบุคคลผู้ไร้เทียมทานได้ ทว่ากระบวนท่ากลับหยาบกร้านกว่ามาก ห่างชั้นกับผู้บำเพ็ญอยู่มากโข” ตงป๋อเสวี่ยอิงวิเคราะห์ อานุภาพของพละกำลังแข็งแกร่ง แต่ด้านความเร้นลับของกฎเกณฑ์กลับบกพร่องมากยิ่งนัก ควรจะเทียบกับพลังสองถึงสามส่วนของของบรรพชนราตรีนิรันดร์

ส่วนผู้ใตับังคับบัญชาคนอื่นๆ อีกสิบห้าคน แต่ละคนกลับไม่อ่อนแอเลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่ายกลรบที่ทั้งสามคนร่วมกันสร้างขึ้นมา ค่ายกลรบที่อ่อนแอที่สุดก็มีพลังรบขั้นสุดยอดแล้ว ส่วนที่แข็งแกร่งที่สุดก็บีบบังคับระดับท่านชายผู้นั้นได้โดยตรง

“มิน่าเล่าจึงกล้ามายังเกาะลอยคว้าง พลังของกองกำลังนี้แข็งแกร่งนัก ทว่าจอมกระบี่เพียงคนเดียวก็เพียงพอจะกดดันพวกเขาได้แล้วกระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิด

เผ่ามรณะทมิฬทั้งห้าตนบุกสังหารเข้ามาทางพวกตน

อาภรณ์สีดำของบรรพชนแมลงปาถัวเฉินกลายเป็นแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนห้อมล้อมเผ่ามรณะทมิฬผู้นั้นเอาไว้ เพียงแต่ครั้งนี้ใช้ไม่ได้แล้ว ชายชราอาภรณ์ดำหน้าตาอัปลักษณ์เป็นผู้นำของเผ่ามรณะทมิฬ ร่างกายของเขาบิดเบี้ยวแล้วแปรเป็นศีรษะสีดำขนาดมหึมาอ้าปากกว้าง ปากมหึมากลืนแมลงอันแน่นขนัดทั้งหมดลงไปในคำเดียว

แมลงจำนวนนับไม่ถ้วนดิ้นรนอีกครั้ง

หลังจากปากของศีรษะมหึมานั้นปิดลง ศีรษะจำนวนนับไม่ถ้วนก็บิดเบี้ยวไปอย่างไม่หยุดหย่อน แล้วล้อมมฃ“เอ๊ะ” นัยน์ตาของบรรพชนแมลงปาถัวเฉินมีแววเหี้ยมเกรียมกะพริบวาบขึ้นมาปีกทั้งสองขยับไหวแล้วบุกเข้าไปสังหาร

สวบๆๆๆ…

เงาร่างอีกสี่สายล้วนพุ่งตรงไปทางจอมกระบี่และตงป๋อเสวี่ยอิง

“เฮอะ”

จอมกระบี่กลับส่ายศีรษะเบาๆ เขามองออกว่า ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่ามรณะทมิฬนี้ก็คือผู้ที่เซวี่ยเหยียนจี้ประมือด้วยนั่นเอง ทั้งห้าตนที่ล้อมโจมตีพวกเขาอยู่นี้ แม้จะนับว่าร้ายกาจนัก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าจอมกระบี่ก็ยังคงไม่พอดูอยู่ดี

“ฟึ่บๆๆ…” ประกายกระบี่งดงามแพรวพราว ราวกับเส้นแสงสายแล้วสายเล่ากลางอากาศ กวาดผ่านเผ่ามรณะทมิฬแต่ละคนไป

ประกายกระบี่ของจอมกระบี่นุ่มนวลมาก

เหมือนเขาคิดจะอาศัยมันเพื่อให้รู้พลังของเผ่ามรณะแต่ละคนอย่างแน่ชัด

แต่ร่างกายของเผ่ามรณะทมิฬเหล่านี้ก็ยังคงถูกประกายกระบี่เชือดเฉือน บ้างก็กลายร่างเป็นไอหมอกหนีเข้าไปในผืนดินอย่างรวดเร็วด้วยความแตกตื่น บางตนที่อ่อนแอหน่อยก็หนีไม่ทันและต้องสูญสลายไปปอย่างแท้จริง

เพียงพริบตาเดียว เผ่ามรณะทมิฬทั้งสี่ตนก็สิ้นใจไปสอง และอีกสองคนก็อันตรธานหนีหายไป

ส่วนศีรษะขนาดมหึมาที่พันธนาการแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ เห็นเข้าก็ตกใจเสียจนสะดุ้ง มันก็เริ่มทนไม่อยู่แล้ว จากนั้นก็สลายตัวไปเอง กลายเป็นหมอกดำแทรกซึมลงไปในผืนดิน หนีไปเองเลยหรือนี่!

“อ๊าก”

“ไม่ ไม่…

“ไปตายเสียเถอะ”

ขณะที่ทางพวกตงป๋อเสวี่ยอิงรับมืออย่างสบายๆ นั้น ทางด้านชนพื้นเมืองถูกเผ่ามรณะทมิฬโจมตีเป็นหลีก ภายใต้การล้อมโจมตีของเผ่ามรณะทมิฬยี่สิบกว่าตน ทางฝ่ายชนพื้นเมืองกลับมีค่ายกลรบสองแห่งที่ทลายลงแล้ว ค่ายกลรบสองแห่งก็คิดเป็นหกคน บ้างก็ได้รับบาดเจ็บจนบาดเจ็บสาหัสและสิ้นใจไป ส่วนบางคนก็ปะทุออกมาท่ามกลางความบ้าคลั่ง

“แตก” ชนพื้นเมืองคนหนึ่งกำลังตกอยู่ท่ามกลางความบ้าคลั่ง กลิ่นอายเหนือผิวกายพลันทะยานขึ้นเป็นอันมาก พลังที่ออกกระบวนท่าก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก บรรลุถึงระดับขั้นขั้นสุดยอดทันที ความสามารถในการรักษาชีวิตก็เพิ่มพูนขึ้นเป็นอย่างมาก

“ฟิ้ว!”

จอมกระบี่เห็นเข้าก็ขมวดคิ้ว ค่ายกลรบสองแห่งนั้นสลายตัวได้รวดเร็วเกินไปแล้ว เขายังช่วยไว้ไม่ทัน จากนั้นก็โบกมือแล้วนำกระบี่เทพออกมา

ประกายกระบี่วาดข้ามท้องฟ้า โจมตีเผ่ามรณะทมิฬตนแล้วตนเล่า

อานุภาพที่จอมกระบี่ออกกระบวนท่านั้นเหมือนจะอ่อนแอกว่า ‘ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้’ อยู่บ้าง แต่กระบวนท่าพิสดารไม่เป็นสองรองใคร ผลที่ได้ก็น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่า ตัวผู้บำเพ็ญเองมีข้อได้เปรียบมากเรื่องกระบวนท่าอันพิสดาร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจอมกระบี่ยังฝึกฝนสมบัติลับอันสูงส่งอีกด้วย

“ถอย”

สาวน้อยชุดดำที่ห้ำหั่นกับท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้เห็นเข้า ก็เปล่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงทันที

ฟิ้วๆๆ…

เผ่ามรณะทมิฬท้้งหมดกลายเป็นหมอกดำแทรกตัวเข้าไปใต้ดินหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว หากพูดถึงความสามารถในการหลบหนีแล้ว ผู้มาจากภายนอกไม่มีทางสู้สิ่งมีชีวิตภายในเกาะลอยคว้างอย่างเผ่ามรณะทมิฬ ได้เลย เผ่ามรณะทมิฬอยู่ที่นี่สามารถเคลื่อนที่ในพริบตาได้สบายๆ และทะลุพื้นดินไปได้ง่ายๆ อีกทั้งพวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิอาจเคลื่อนที่ในพริบตาหรือท่องผืนดินได้ นอกเสียจากพลังจะแข็งแกร่งอย่างยิ่งจนสามารถสังหารเผ่ามรณะทมิฬได้ในระยะเวลาสั้นๆ มิเช่นนั้นแล้ว การจะสังหารเผ่ามรณะทมิฬคนหนึ่งก็ยากมากทีเดียว

“เผ่ามรณะทมิฬถอยแล้ว”

“พวกมันไปแล้ว”

ทางด้านชนพื้นเมืองถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เพียงแต่บรรยากาศกลับเศร้าโศกอยู่บ้าง

เนื่องจากภายในชั่วพริบตาสั้นๆ พวกเขาก็เสียสหายไปถึงสี่คนด้วยกัน

“จอมเคารพกระบี่ปีศาจ ขอบคุณที่ท่านลงมือ มิเช่นนั้นแล้วครั้งนี้ความเสียหายคงจะมากกว่านี้อีก” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้เดินเข้ามา เขาพูดด้วยความซาบซึ้งใจ ขณะเดียวกันสายตาที่มองไปทางจอมกระบี่ก็แตกต่างออกไปแล้ว สายตาของผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นๆ ของเขาที่มองไปยังจอมกระบี่แฝงไว้ด้วยความเคารพ เห็นได้ชัดว่าปรองดองกับพวกตงป๋อเสวี่ยอิงขึ้นมากทีเดียว

ก่อนหน้านี้พวกเขาเชื่อว่า ระหว่างผู้ที่น่าสงสัยว่าจะเป็นขั้นสุดยอดทั้งสองคน อาจจะมีบุคคลผู้ไร้เทียมทานอยู่ก็เป็นได้

นี่ก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น!

บัดนี้เพิ่งผ่านไปเพียงศึกเดียวเท่านั้น…ให้พวกเซวี่ยเหยียนจี้ได้รู้เสียบ้างว่า พลังของผู้ที่มีนามว่า ‘จอมเคารพกระบี่ปีศาจ’ ผู้นั้น เหนือกว่า ‘ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้’ ผู้แข็งแกร่งที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่น้อยนิดในโลกเซวี่ยเหยียนเสียอีก เกรงว่าพลังคงจะเป็นระดับไร้ศัตรูแล้ว

ผู้ช่วยระดับนี้ แน่นอนว่าพวกเขายิ่งต้องผูกสัมพันธ์ให้ดีเข้าไว้! เมื่อเป็นเช่นนี้ ความหวังที่พวกเขาจะได้ผลวิญญาณทิพย์มาก็เพิ่มสูงขึ้นแล้ว

‘จอมเคารพกระบี่ปีศาจ’ เป็นระดับไร้ศัตรู บรรพชนแมลงผู้นั้นก็มีวิธีการแปลกประหลาด มิอาจรับมือได้ง่ายๆ ส่วนมหาเคารพหิมะเหิน หนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวผู้นั้น พวกเขาต่างก็รู้ว่าผู้ที่สำเร็จเป็น ‘มหาเคารพ’ ในดินแดนจิตโลกาล้วนแต่เป็นเพียงเทพจักรวาลระดับชั้นที่สองเท่านั้น คงจะเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในบรรดากองกำลังทั้งสามคน

“ในเมื่อพวกเราเคลื่อนไหวด้วยกันทั้งที เป็นสหายร่วมทาง ก็ย่อมต้องลงมือช่วยเหลือกัน เพียงแต่การลงมื่วยเหลือของข้าช้าไปหน่อยก็เท่านั้นเอง” จอมกระบี่กล่าว

“พลังของพวกเขาไม่เพียงพอ ยังกล้าเสี่ยงอันตรายเช่นนี้อีกรึ” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินพูดพลางขมวดคิ้ว “สำหรับท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้แล้ว พลังของพวกเขาคงจะไม่มีส่วนช่วยท่านมากสักเท่าใดหรอกกระมัง ไยต้องให้พวกเขาเอาชีวิตไปมอบให้ด้วยเล่า”

“นี่มิใช่การเอาชีวิตไปมอบให้ นี่คือการเคี่ยวกรำ”

“แม้พวกเราจะสู้จนสังหารได้สี่ตน แต่เฟยอวิ๋นหลินก็ปลุกสายเลือดในตัวขึ้นมาได้สำเร็จ พลังเพิ่มพูนขึ้นเป็นอันมาก”

ชนพื้นเมืองเหล่านั้นกลับคัดค้าน

พวกตงป๋อเสวี่ยอิงฟังแล้ว ก็อดสงสัยขึ้นมาในใจมิได้

พวกเขามิได้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชนพื้นเมืองเลย ด้วยการสำรวจ ‘รัฐโบราณคิมหันตวายุ’ ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดคืนวันอันยาวนาน จึงเข้าใจชนพื้นเมืองมากทีเดียว ชนพื้นเมืองนั้นกระจัดกระจายกันอยู่ตามโลกอันเร้นลับแต่ละแห่ง ซึ่งโลกแต่ละใบ…ก็คือหนึ่งเผ่า! เนื่องจากพวกเราสามารถทำให้สายเลือดตื่นรู้แล้วยกระดับพลังได้ ว่ากันว่ามีสายเลือดของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นอยู่

วิธีการตื่นรู้ ในจำนวนนั้นก็มีการเคี่ยวกรำระหว่างความเป็นความตายด้วย!

ภายใต้วิกฤตความตายที่แท้จริงนั้น ความหวังในการตื่นรู้ก็จะเพิ่มขึ้นมากกว่า พลังก็จะสามารถยกระดับขึ้นได้ แต่ว่า ก็มีจำนวนมากที่ล้มลงตรงหน้าความตาย

ดังนั้น…

ผู้เข้าไปในเกาะลอยคว้างเพื่อสู้สุดชีวิตอย่างแท้จริง โดยทั่วไปก็ล้วนแต่เป็นระดับเดียวกันทั้งสิ้น

เช่นกองกำลังทั้งกองที่เข้ามาพร้อมกันนี้ ที่มีพลังแข็งแกร่งก็แล้วไปเถิด ความหวังที่จะรอดชีวิตนั้นสูงมาก อย่างพวกที่พลังอ่อนแอ สามคนร่วมมือกันสำแดงค่ายกลรบ ออกมาก็มีพลังรบขั้นสุดยอดได้อย่างพอถูไถเท่านั้น เมื่อมายังเกาะลอยคว้างก็อันตรายอย่างยิ่งโดยแท้! เหล่าผู้บำเพ็ญของดินแดนจิตโลกามีร่างแยก ไม่กลัวร่างแยกเสียหายก็แล้วไปเถิด แต่โดยทั่วไปบรรดาชนพื้นเมืองก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้

“พวกเราเคี่ยวกรำระหว่างความเป็นความตาย” ท่านชายเซวี่ยเหยียนจี้พูดอย่างง่ายๆ ประโยคหนึ่ง “ในเมื่อเลือกการฝึกฝน เช่นนั้นก็ต้องเตรียมตัวตายเอาไว้ให้ดี ครั้งนี้มีจอมเคารพกระบี่ปีศาจอยู่ ระดับความปลอดภัยก็สูงกว่ามากทีเดียว แต่ข้าก็ต้องเตือนพวกท่านเอาไว้! พลังของจอมเคารพกระบี่ปีศาจจะทำให้เผ่ามรณะทมิฬเกรงกลัว เผ่ามรณะทมิฬที่อ่อนแอคงไม่กล้ามาอีก แต่ว่าเกาะลอยคว้างแห่งนี้มีเผ่ามรณะทมิฬอยู่หลายกลุ่ม ยิ่งแข็งแกร่งเท่าไร่ก็ยิ่งอาศัยอยู่ใกล้ใจกลางมากขึ้นเท่านั้น แม้พวกมันจะมีปัญญาธรรมดาสามัญ แต่ก็สามารถติดต่อสื่อสารกันได้”

“พวกเขาล่วงรู้พลังของพวกเรา เช่นนั้นเมื่อมาครั้งหน้า ก็จะอันตรายยิ่งขึ้นไปอีก เกรงว่าพลังของจอมเคารพกระบี่ปีศาจ คงจะมิอาจปกป้องพวกเราได้” เซวี่ยเหยียนจี้กล่าว “สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้ก็คือมุ่งหน้าไปให้เร็วที่สุดก่อนหน้าที่พวกเขาจะส่งข้อมูลให้กันและลงมือโจมตีครั้งใหม่”

“ก็ดี ท่านชายพวกท่านเข้าใจเกาะลอยคว้างดีกว่า เช่นนั้นก็รีบมุ่งหน้าไปเถิด” จอมกระบี่กล่าว

“เรื่องจะปล่อยให้เนิ่นช้าไปมิได้ ออกเดินทางกันตอนนี้เลย ความเร็วต้องสูงกว่านี้อีก” ครั้งนี้เซวี่ยเหยียนจี้พาคนจำนวนมากทะยานไปด้วยความเร็วสูง เขาล่วงรู้พลังของทางฝ่ายตงป๋อเสวี่ยอิง จึงไม่กังวลว่าจะตามไม่ทัน

ตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งสามคนยังคงอยู่ด้านหลัง

“ได้ยินสิ่งที่ท่านชายผู้นั้นพูดแล้วหรือไม่ ครั้งนี้กระบี่ปีศาจสำแดงพลังออกมา ครั้งหน้าเมื่อเผ่ามรณะทมิฬปรากฏขึ้น เกรงว่ากระบี่ปีศาจก็คงต้านทานเอาไว้มิได้แล้ว” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินถ่ายเสียงบ้าง

“แต่ไหนแต่ไรพวกเราก็คิดไม่ถึงเลยว่าจะสามารถอุกอาจในเผ่ามรณะทมิฬได้ สิ่งที่พวกเราต้องทำ คือเอาชีวิตรอดได้ภายใต้การไล่สังหารในเผ่ามรณะทมิฬก็เป็นอันใช้ได้แล้ว หากได้สมบัติล้ำค่ามาบ้างก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูดยิ้มๆ

“เสวี่ยอิง เจ้าเป็นอาวุธลับของพวกเรา อีกประเดี๋ยวเมื่อข้าต้านทานเอาไว้ไม่ได้ ก็ต้องอาศัยท่าไม้ตายของเจ้าแล้ว” จอมกระบี่ถ่ายเสียงพูด

“ท่าไม้ตายนี้จะมีผลเช่นไร อีกประเดี่ยวจึงจะรู้กัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงถ่ายเสียงพูด

“พี่ใหญ่หิมะเหิน ข้าว่ากองกำลังชนพื้นเมืองกองนี้ พวกเขาเหมือนจะเห็นว่าท่านเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาพวกเราทั้งสามคน! พวกเขากลับไม่รู้เอาเสียเลยว่า ข้าต่างหากคือคนที่อ่อนแอที่สุด” บรรพชนแมลงปาถัวเฉินถ่ายเสียงพูดยิ้มๆ พวกเขาอารมณ์ผ่อนคลายมาก

………………………………………….

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Status: Ongoing
ในแคว้นอันหยางสิงแห่งชนเผ่าเซี่ย
มีดินแดนใต้อาณัติแห่งหนึ่งที่แสนจะเล็กและไม่สะดุดตา นามว่า ‘แดนอินทรีหิมะ’ เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากที่แห่งนี้ เมื่ออายุได้แปดปี บุพการีทั้งสองถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบุคคลอันเป็นที่รักกลับมา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนอย่างหนักวันแล้ววันเล่า หรือการผจญกับเหล่าสัตว์มารแสนอันตราย ล้วนมิอาจทำลายปณิธานอันแรงกล้านี้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท