ณ ‘อากาศอันสับสนอลหม่าน’ ของโลกกำเนิดบ้านเกิด เรือแบนราบราวใบไม้ลำหนึ่งกำลังลอยละล่องอยู่กลางอากาศ ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหัวเรือ
บัดนี้เขาบำเพ็ญมาจนถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นร่างแยกในดินแดนจิตโลกา หรือว่าร่างแยกทางบ้านเกิด หรือแม้กระทั่งร่างแยกที่อยู่ใต้ ‘ต้นไม้เทพผลาญจิต’ ก็หยุดการรับรู้วิถีเขตลวงโลกเทียมลงชั่วคราว ร่างแยกทั้งหมดล้วนค้นคว้าวิถีอากาศจนหมดทั้งกายและใจ!
“ฟ้า ดิน ลวง แท้ ปะทุ ห้าภาพพันพาดกัน ภาพอากาศ โอบล้อมพวกมันไว้ ภาพสาย ร้อยเชื่อมพวกมันไว้!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวเรือ มือขวายกขึ้นมาเบาๆ
แคว่ก…
รอยแยกสีดำสายหนึ่งพลันแหวกฟ้าดินออกมา และแหวกอากาศอันสับสนอลหม่าน รวมไปถึงฉีกทึ้งผนังเยื่อของโลกกำเนิดด้วย นอกจากรอยแยกสีดำสายนี้แล้ว ก็มีพลังคละถิ่นที่ม้วนตัวเข้ามา รอยแยกสายนี้ยาวประมาณร้อยกว่าลี้ ขนาดกว้างราวนิ้วมือหนึ่ง!
แคว่ก! แคว่ก! แคว่ก!
ทุกครั้งที่ยกมือขึ้นมาเบาๆ คราหนึ่ง หรือลากนิ้วไป โลกกำเนิดก็จะถูกตัดเฉือนออกจนกลายเป็นรอยแยก
ตงป๋อเสวี่ยอิงทดลองกระบวนท่าอยู่ที่นี่ ส่วนร่างแยกที่อยู่ในเจดีย์เจ็ดระฆังแห่งดินแดนจิตโลกาก็พยายามผลักดันการบำเพ็ญอย่างสุดกำลัง การบำเพ็ญในเจดีย์เจ็ดระฆังนั้นมีประสิทธิภาพสูงยิ่งนัก แสงทิพย์ผุดขึ้นมา แล้วทำให้กระบวนท่าสมบูรณ์ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องทดลองครั้งแล้วครั้งเล่าจึงจะทำให้สมบูรณ์ขึ้นได้ครั้งหนึ่ง
“แคว่ก แคว่ก”
เสียงฉีกทึ้งผนังเยื่อโลกกำเนิดทำให้คนหวาดหวั่นใจ
เสียงนี้ค่อยๆ แผ่วเบาลงเรื่อยๆ รอยแยกที่แหวกออกมาก็ยิ่งไม่สะดุดตาขึ้นเรื่อยๆ
สิบกว่าวันให้หลัง
“ฟิ้ว”
เสียงนุ่มนวลราวกับหายใจ
ฝ่ามือโบกเบาๆ ระหว่างฟ้าดินก็มีรอยแยกยาวต่อเนื่องสายหนึ่งปรากฏขึ้น รอยแยกนี้ยาวมาก ยาวถึงสามร้อยลี้ ทั้งยังบางมาก บางเสียจนแทบจะแยกไม่ออกด้วยตาเปล่า ร่องรอยของมันยังขยับเป็นจังหวะน้อยๆ มิได้ตรงแน่วหรือว่าคดโค้งเสียทีเดียว
“ใกล้แล้ว ควบคุมได้ถึงขั้นนี้ก็เพียงพอแล้ว ต่อไปก็คือ ‘ภาพสาย’ สามสายผสานรวมซึ่งกันและกัน เมื่อ ‘พหุธาตุ’ หลอมรวมเป็นหนึ่งก็จะกลับสู่การทำลายล้างร่วมกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงครุ่นคิด
วิถีอากาศมีทั้งหมดเก้าสาย ก็คือฟ้า ดิน ลวง แท้ ปะทุ สาย อากาศ พหุธาตุและทำลายล้าง
“ภาพสายพัวพัน พหุธาตุรวมเป็นหนึ่ง ทั้งหมดคืนกลับสู่การทำลายล้าง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงบ่นพึมพำเสียงต่ำ
มือขวาโบกออกไปอีกครั้ง
เพียงแต่ครั้งนี้ นิ้วมือแต่ละนิ้วโบกเบาๆ
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว
รอยแยกสามสายที่ฉีกทึ้งผนังเยื่อโลกกำเนิดปรากฏขึ้นต่อเนื่องกัน หลังจากทั้งสามสายปรากฏขึ้นแล้วก็ประสานกันอย่างรวดเร็ว แล้วกระแทกจนเกิดเป็นคูหาดำทะมึนซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางสิบกว่าเมตรขึ้นมาทันที
“ไม่ถูกต้อง โง่เง่าเกินไปแล้ว”
เขาโบกมืออีกครั้ง
ทดลองกระบวนท่าแล้วกระบวนท่าเล่า
ความทรงจำของร่างแยกทั้งหลายเชื่อมต่อกัน ความรู้สึกทั้งหลายก็หลอมรวมกันอย่างต่อเนื่อง ความคิดบางอย่างเมื่อผ่านการพิสูจน์แล้วก็กำจัดทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ส่วนที่ถูกต้องก็ดูดซับเอาไว้! แล้วเข้าใกล้ภาพความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ที่จินตนาการเอาไว้มากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงถือครองอาวุธเทพคละถิ่น และมีสมบัติลับระดับยอดสุด ดังนั้นจึงเคยสัมผัสวิถีอากาศ ‘ขั้นสุดยอด’มาแล้ว! เขามุ่งหน้าเข้าใกล้วิถีอากาศขั้นสุดยอดอย่างต่อเนื่อง
……
“ห้าสายรวมเป็นหนึ่งนี่เอง” หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงทดลองมาครึ่งปีจึงพบข้อผิดพลาด ท่าไม้ตายที่หกที่เขาเกิดแสงทิพย์ขึ้นมาและหมายจะคิดค้นขึ้นมานั้นอ้างอิงจากการโบยบินและเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นตนนั้น แต่เนื่องจากทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ย่อมมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง เมื่อหวนนึกถึงภาพที่ได้ ‘เห็น’ สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นตนนั้นโบยบินและเคลื่อนไหวโดยละเอียดหลายครั้งเข้า จึงมั่นใจได้อย่างเต็มที่
คือห้าสายรวมเป็นหนึ่งอย่างแท้จริง
หางที่เคลื่อนไหวนั้นเป็นสามสายจริงๆ
แต่ร่างกายอันใหญ่โตกลับเป็น ‘หนึ่งสาย’ แล้ว ส่วนพลังคละถิ่นที่โหมซัดอยู่รอบด้านผสานรวมกับร่างกายที่เคลื่อนไหวอยู่อย่างสมบูรณ์แบบ ก็เป็น ‘หนึ่งสาย’ เช่นเดียวกัน
นี่จึงจะเป็น ‘ห้าสาย’
“ห้าสายรวมเป็นหนึ่ง”
“หนึ่งคือดึงดูด สองคือท่วงท่า สามคือแก่นแท้”
“พหุธาตุรวมเป็นหนึ่ง กลับคืนสู่ความเงียบเหงา!”
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่หัวเรือ ยามนี้เขาทดลองกระบวนท่าครั้งแล้วครั้งเล่า แค่ละครั้งอานุภาพของกระบวนท่าก็ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ ‘จอมกระบี่’ และ ‘เจ้าศิลา’ ตกใจจนต้องมาดู พวกเขาทั้งสองมองดูอยู่ห่างๆ ก่อนจะจากไปพลางหัวเราะร่า ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญจนมีความเคลื่อนไหวเช่นนี้ก็เป็นเรื่องปกตินัก
******
ต่อให้มีแบบจำลองแล้ว และยังมีเจดีย์เจ็ดระฆังคอยช่วยเหลือด้วย ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ต้องเสียเวลาไปสองหมื่นกว่าปีจึงสำเร็จได้
ระหว่างนั้นก็พบปัญหามากมายยิ่งนัก
เช่นห้าสายรวมเป็นหนึ่ง แต่ละสายเกิดความเปลี่ยนแปลงนับพันนับหมื่นอย่างและช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน พหุธาตุพันพาด รวมตัวกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“ตู้ม”
วันหนึ่งในระหว่างสองหมื่นกว่าปีที่ตงป๋อเสวี่ยอิงบำเพ็ญอยู่ที่หัวเรือนั้น จู่ๆ นัยน์ตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา กำปั้นหนึ่งต่อยออกไปข้างหน้า
ตู้ม…
อากาศรอบกำปั้นนี้พลันเงียบสงบไป แล้วแตกสลายกลายเป็นผุยผงจนสิ้น ทำเอาผนังเยื่อของโลกกำเนิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นปะทะเข้าไปกลางมิติคละถิ่นอันเวิ้งว้าง
กำปั้นนี้ราวกับการโบยบินของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นตนนั้น ใหญ่โตมโหฬาร มิอาจต้านทานได้!
เหิมเกริม!
ท่วงท่าแข็งแกร่ง!
วิถีอากาศเก้าสายของตงป๋อเสวี่ยอิงรวมเป็นหนึ่ง โดยมี ‘ผลาญเอกา’ เป็นจุดสิ้นสุดสุดท้าย ทุกสิ่งกลับคืนสู่ผลาญเอกา
“ท่าไม้ตายที่หกสำเร็จแล้ว ขั้นสุดยอดก็สำเร็จแล้ว” หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงเต้นรัว บนใบหน้าฉายรอยยิ้มอันยากจะปกปิด ท่าไม้ตายที่หกก็คือเก้าสายรวมเป็นหนึ่งอย่างครบสมบูรณ์! ในที่สุดเขาก็รู้แจ้งวิถีอากาศอย่างสมบูรณ์แล้ว
“ขั้นสุดยอด ในที่สุดข้าก็บรรลุขั้นสุดยอดแล้ว!”
“ขั้นสุดยอดด้านวิถีอากาศ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า…”
ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะฮ่าฮ่าขึ้นมาอย่างอดมิได้
นานเกินไปแล้ว
นับตั้งแต่รู้ว่าบ้านเกิดเข้าใกล้การแตกสลายครั้งใหญ่อยู่ทุกชั่วขณะจิต เขาก็รู้สึกมาตลอดว่าภาระหนักหน่วงอันไร้รูปร่างกดดันเขาเอาไว้ตลอดเวลา! เขามิอาจทนรับการแตกสลายครั้งใหญ่ของบ้านเกิดได้ คนใกล้ชิดค่อยๆ ล่วงลับไปทีละคนๆ มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่รอดชีวิตภายใต้การแตกสลายครั้งใหญ่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง ความเงียบเหงาเช่นนี้ทำให้เขาคลุ้มคลั่งเอาได้! เขาไม่กล้าย่อหย่อนมาตลอด หลังจากแปดสายหลอมรวมกันแล้ว ก็ค้างเติ่งอยู่ เขาไม่มีหนทางอื่น ทำได้เพียงพยายามคิดค้นกระบวนท่าที่ตนคิดว่าสมบูรณ์แบบพอขึ้นมาอย่างสุดกำลังเท่านั้น
เขาใฝ่หาความสมบูรณ์แบบอย่างไม่หยุดหย่อน ท่าไม้ตายที่หนึ่ง ท่าไม้ตายที่สอง ท่าไม้ตายที่สาม…เขาคิดค้นขึ้นมากระบวนท่าแล้วกระบวนท่าเล่า แต่ละกระบวนท่าล้วนทำให้เขาสั่งสมหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุด พื้นฐานก็หนาแน่นพอ รอเพียงถึงคราวเหมาะเจาะก็จะสำเร็จ
ภายใต้การกระตุ้นด้วยความเร้นลับที่แฝงเอาไว้ในท่วงท่าการโบยบินและก้าวเดินของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นตนนั้น แสงทิพย์ก็วาบขึ้นมา ท่าไม้ตายที่หกถูกคิดค้นขึ้นมา ซึ่งนี่ก็คือกระบวนท่าที่เก้าสายหลอมรวมกัน
“ขั้นสุดยอดทางด้านวิถีอากาศ ความรู้สึกไม่เหมือนกันเลยจริงๆ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ เมื่อยืนอยู่ที่หัวเรือ เพียงชั่วความคิดเดียวเขาก็แผ่กำจายปกคลุมไปทั่วทั้งโลกกำเนิด ตามอณูมิติจำนวนนับไม่ถ้วน เขามองเห็นบริเวณต่างๆ มองเห็นจอมกระบี่ เจ้าศิลา บรรพชนเทียนอวี๋และราชันย์มีด ยังมีอวี๋จิ้งชิวผู้เป็นภรรยา ตงป๋ออวี้บุตรสาว และตงป๋อชิงเหยา…ล้วนไม่รู้ตัว
เมื่อเห็นผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน พวกเขาล้วนไม่รู้ตัว
เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการสัมผัสรับรู้ผ่านอณูหมอกดำทรงกลมซึ่งเป็นแก่นแท้ของอากาศ
มีคนหนึ่งที่สามารถสัมผัสได้แล้ว
“โอ๊ะ” เจ้าเมืองหลัวซึ่งจำแลงกายเป็นช่างเหล็กอยู่ในจักรวาลธรรมดาแห่งหนึ่งกำลังตีดาบเล่มหนึ่งขึ้นมาอย่างตั้งใจ ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง สายตามองทะลุผ่านระยะทางอันไกลโพ้น เขาหัวเราะร่าพลางมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิง ขณะเดียวกันก็เอ่ยปากพูดว่า “ตงป๋อเสวี่ยอิง ยินดีกับเจ้าด้วย ที่วิถีอากาศสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นสุดยอดและสามารถช่วยเหลือคนที่เจ้าเป็นห่วงก่อนการแตกสลายครั้งใหญ่จะมาถึงได้”
บัดนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้ตัวตนของเจ้าเมืองหลัวผู้นี้แล้ว
ภายในหุบเขาเขี้ยวหัก มีตำนานของเจ้าเมืองหลัวอยู่ทั่วไปหมด
นี่คือสิ่งมีชีวิตคละถิ่นหน้าใหม่ที่เพิ่งรุ่งโรจน์ขึ้นมา ใช้พลังทำลายกฎและสำเร็จขั้นคละถิ่นได้ นอกจากนี้ ตามตำนานยังว่ากันว่าเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับยอดสุดของยอดสุดที่น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่งด้วย เกรงว่าพลังคงไม่ด้อยไปกว่า ‘หยวน’ เลย หากต้องมีคำบรรยายสักประโยค สิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นทั้งสองแห่งหุบเขาเขี้ยวหักซึ่งสิ้นใจไปแล้วนั้น พลังคงจะสู้เจ้าเมืองหลัวไม่ได้เสียด้วยซ้ำ!
นี่คือความแตกต่างระหว่างผู้บำเพ็ญและสิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิด
ต่อให้สิ่งมีชีวิตคละถิ่นโดยกำเนิดแข็งแกร่งกว่านี้ การควบคุมและใช้งานพละกำลังก็ด้อยกว่าอยู่มาก ผู้บำเพ็ญจึงจะค่อยๆ บำเพ็ญขึ้นมาทีละขั้นๆ จึงสามารถควบคุมความเร้นลับของกฎเกณฑ์ได้อย่างละเอียดลอออย่างยิ่ง ต่อให้เจ้าเมืองหลัวมีพลังทัดเทียมกับสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่น่าหวาดหวั่นนั้น แต่ความสามารถในการรักษาชีวิตก็น่าจะแข็งแกร่งกว่าเป็นสิบเป็นร้อยเท่า
อย่าง ‘จักรพรรดิเซี่ย’ แห่งดินแดนจิตโลกาและบรรดาประมุขโลกในหุบเขาเขี้ยวหักเหล่านั้น หากพูดถึงอานุภาพแล้ว ก็แค่ระดับจักรพรรดิขั้นต้นเท่านั้น!
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับจักรพรรดิ!
บรรดาประมุขโลกก็แทบจะไร้เรี่ยวแรงต้านทาน จักรพรรดิเซี่ยกลับสามารถหนีเอาชีวิตรอดได้ หากห้ำหั่นกันซึ่งหน้า ตัวคนเดียวก็สามารถสู้กับหลายคนได้ ความสามารถในการรักษาชีวิตและหนีเอาชีวิตรอดก็แข็งแกร่งกว่ามากทีเดียว
“หากไม่มีบุปผาโลกาของเจ้าเมืองหลัว ข้าก็คงไม่รู้ว่าจะต้องรอไปถึงเมื่อใด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก
“คนรอบข้างสามารถมอบโอกาสให้ได้ แต่พลังก็ยังต้องไขว่คว้าด้วยตนเอง” เจ้าเมืองหลัวยิ้มน้อยๆ “บำเพ็ญให้ดีๆ เถิด หากเจ้าสามารถทำให้เขตลวงโลกเทียมบรรลุถึงขั้นสุดยอดได้ ข้าก็จะนับถือเจ้ามากทีเดียว”
วิถีอากาศสำเร็จขั้นสุดยอดหรือ
ระดับอย่างเจ้าเมืองหลัวซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นที่ยืนอยู่ในระดับยอดสุดและเหลือบมองลงมายังโลกกำเนิดจำนวนนับไม่ถ้วนมิได้ใส่ใจจริงๆ หรอก!
เส้นทางวิญญาณต่างหากเล่า
จวบจนบัดนี้ยังไม่มีผู้ที่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดเลยแม้แต่คนเดียว หากตงป๋อเสวี่ยอิงสำเร็จได้ แน่นอนว่าเจ้าเมืองหลัวก็ต้องนับถือ ไม่ว่าผู้แกร่งกล้าคละถิ่นหน้าไหนก็ต้องนับถือด้วยกันทั้งนั้น
“ข้าจะพยายามอย่างแน่นอน” ตงป๋อเสวี่ยอิงมิได้รู้สึกกดดันแต่อย่างใด
เมื่อไม่มีการกดดันจากการแตกสลายครั้งใหญ่ เขาก็มีเวลาบำเพ็ญเพียงพอ
แต่เขาก็เข้าใจดีว่า แม้จะมองเห็นหนทางที่วิถีเขตลวงโลกเทียมจะสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้ว แต่กลับมิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น! ตั้งแต่วิถีอากาศสำเร็จเป็นขั้นสุดยอด ก็สามารถล่วงรู้ได้วายากเย็นเพียงใด เขาถึงขีดจำกัดตั้งนานแล้ว ทั้งยังมีเคล็ดสืบทอดลับอันสูงส่งและคิดค้นท่าไม้ตายที่หกขึ้นมาได้ จึงสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดได้!
เจ้าเมืองหลัวก้มหน้าก้มตาตีดาบในมือต่อไปพลางพูดเสียงแผ่วเบา “หากเส้นทางวิญญาณบรรลุถึงขั้นสุด ไม่รู้ว่าจะน่าอัศจรรย์เพียงใด ตงป๋อเสวี่ยอิงน่ะหรือ ไม่แน่ว่าอาจจะมีหวังสำเร็จขั้นคละถิ่นก็เป็นได้! ถึงตอนนั้นข้าก็จะไม่จำเป็นต้องรักษาการณ์อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว”
เสียงค้อนตอกเหล็กดังก้องขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ช่างเหล็ก ช่างเหล็ก เอาดาบที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้ามาให้ขาเดี๋ยวนี้ ข้าต้องการดาบที่แข็งแกร่งที่สุด! หากพบดาบที่ข้าพอใจ ข้าย่อมไม่เอาเปรียบเจ้าแน่” เสียงหนึ่งลอยมาจากด้านนอก บุรุษร่างกำยำคนหนึ่งบุกเข้ามา
“มาแล้ว” เจ้าเมืองหลัวพูดพลางหัวเราะ
………………………………….