ยามราตรี
ภายในโถงตำหนักแห้งหนึ่งของสกุลอวี้เฟิง ขณะนี้อวี้เฟิงจวิ้นซาน พ่อบ้านถง สามผู้อาวุโสประจำตระกูลแห่งสกุลอวี้เฟิงรวมไปถึงสองพี่น้องอวี้เฟิงเหลยและอวี้เฟิงจิ่นล้วนรวมตัวกันอยู่ที่นี่
“นายท่าน คุณหนูสามกลับมาแล้วขอรับ” ยอดฝีมือคนหนึ่งที่เข้ามาจากนอกโถงตำหนักเอ่ยขึ้นด้วยความเคารพ
อวี้เฟิงจวิ้นซาน อวี้เฟิงเหลย อวี้เฟิงจิ่น พ่อบ้านถงและสามผู้อาวุโสประจำตระกูลต่างก็นัยน์ตาเป็นประกาย อวี้เฟิงจวิ้นซานสั่งการว่า “ดี เจ้าถอยออกไปได้”
พวกเขารออยู่ก่อนแล้ว
รอคอยให้อวี้เฟิงชิงอินกลับมา พวกเขากำชับเอาไว้ว่า อวี้เฟิงชิงอินกลับมาเมื่อใด ก็ให้นางตรงมาที่นี่ทันที
“ไม่รู้ว่าที่แท้แล้วผู้อาวุโสหิมะเหินผู้นี้จะคิดอะไรอยู่ในใจ” พ่อบ้านถงเอ่ยปากพูดเสียงต่ำ
“หวังว่าเขาจะสามารถอยู่ในเมืองจวิ้นซานของเราต่อไปได้” อวี้เฟิงจวิ้นซานก็ออกจะประหวั่นใจอยู่บ้าง สามารถรอดพ้นหายนะครั้งใหญ่มาได้ครั้งหนึ่ง ทั้งสกุลอวี้เฟิงก็ล้วนแต่ยินดีปรีดา เพียงแต่อวี้เฟิงจวิ้นซานก็เกิด ‘ความคิดทะเยอทะยาน’ ขึ้นมา หากผู้แกร่งกล้าซึ่งมีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายคนหนึ่งสามารถรั้งอยู่ในเมืองจวิ้นซานได้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อสกุลอวี้เฟิงของพวกเขามากทีเดียว
เสียงฝีเท้าดังเข้ามาจากด้านนอก อวี้เฟิงชิงอินเดินเข้ามา นางมองเห็นบิดา พี่ชายและผู้อาวุโสทั้งหลายมองมา ก็อดสะดุ้งมิได้
“ชิงอิน รีบเข้ามานั่งเร็วเข้า” อวี้เฟิงจวิ้นซานพูดยิ้มๆ
“เจ้าค่ะ ท่านพ่อ” อวี้เฟิงชิงอินนั่งลงด้วยความตื่นเต้นอยู่บ้าง
“น้องสาม ครั้งนี้ผู้อาวุโสหิมะเหินช่วยเหลือสกุลอวี้เฟิงของเรา บุญคุณใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ เขามีอะไรอยากให้สกุลอวี้เฟิงเราทำให้หรือไม่” อวี้เฟิงเหลยถาม
อวี้เฟิงชิงอินส่ายหน้ารัว “ไม่มีเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์มิได้ให้สกุลอวี้เฟิงเราทำอะไรเลย”
“ผู้อาวุโสหิมะเหินคงมิได้คิดจะจากเมืองจวิ้นซานไปหรอกกระมัง” อวี้เฟิงเหลยไล่ถามต่อ อวี้เฟิงจวิ้นซานและคนอื่นๆ ที่อยู่อีกด้านหนึ่งต่างก็เป็นกังวลขึ้นมา
หากช่วยเหลือสกุลอวี้เฟิงของพวกเขาแล้วก็จากไป!
เช่นนั้นวันคืนในภายหน้าของสกุลอวี้เฟิงก็มิได้แตกต่างอะไรจากตอนนี้มากนัก พวกเขาเมืองจวิ้นซานยังคงเป็นเพียงเมืองเล็กๆ อันไกลโพ้นท่ามกลางโลกเทพจำนวนนับไม่ถ้วนอันกว้างใหญ่ไพศาลดังเดิม ยังคงไม่สะดุดตาดังเดิม! นอกจากนี้ตามที่พวกเขาคาดการณ์เอาไว้ ความเป็นไปได้ที่จักรพรรดิเทพหิมะเหินจะจากไปนั้นมีสูงมาก ข้อแรก โดยทั่วไปแล้วผู้แกร่งกล้าระดับนี้ล้วนมีสิ่งที่ตนเองใฝ่หา เช่นสมบัติล้ำค่าและทรัพยากรต่างๆ มีน้อยมากที่จะอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ ไปตลอด ข้อสอง ที่ผ่านมาจักรพรรดิเทพหิมะเหินเก็บเนื้อเก็บตัวและรักสันโดษมาตลอด คงจะไม่ชมชอบการปะทะคารม และครั้งนี้เขาสังหาร ‘ประมุขสมาคมจิตมาร’ ไป ก็จะต้องชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งโลกเทพแน่นอน เกรงว่าถึงตอนนั้นก็คงต้องเกิดการปะทะคารมกันขึ้นมา แต่หากจากเมืองจวิ้นซานไปแล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองอื่นๆ และเก็บซ่อนตัว คนอื่นคิดจะหาตัวเขาก็หาไม่พบ อย่างน้อยสกุลอวี้เฟิงก็เคยลองมาแล้ว และพบว่ามิอาจสะกดรอย ‘จักรพรรดิเทพหิมะเหิน’ ผู้นี้ได้เลย นอกจากนี้ตามข้อมูล ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพก็แทบจะมิอาจสะกดรอยได้อยู่แล้ว
“ไม่นี่” อวี้เฟิงชิงอินมองดูบิดาและคนอื่นๆ ด้วยความงุนงง นางส่ายศีรษะ “อาจารย์มิได้บอกว่าจะจากไปเสียหน่อย!”
อวี้เฟิงจวิ้นซานและคนอื่นๆ พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“อาจารย์เพียงแค่กล่าวว่า เขาไม่ชอบการปะทะคารมกัน จึงให้ข้ามาบอกท่านพ่อและทุกท่านว่า หากไม่มีเรื่องสำคัญก็อย่าได้ไปรบกวนเขา” อวี้เฟิงชิงอินพูดขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง
“สมควรอยู่แล้วๆ” อวี้เฟิงจวิ้นซานเผยรอยยิ้มออกมา “การบำเพ็ญของผู้อาวุโสหิมะเหินสำคัญเพียงใด ด้วยสถานะของเขา ใช่ว่าผู้ใดอยากพบก็เข้าพบได้เสียที่ไหนกัน พวกเจ้าได้ยินชัดเจนกันหมดแล้วนะ หากไม่มีเรื่องสำคัญก็ห้ามไปรบกวนเขา”
“ขอรับ” อวี้เฟิงเหลยและคนอื่นๆ พากันรับคำ
อวี้เฟิงจวิ้นซานยิ้มสดใส
ไม่ชอบการปะทะคารมหรือ
ขอเพียง ‘ผู้อาวุโสหิมะเหิน’ พำนักอยู่ในเมืองจวิ้นซานของพวกเขา ขุมอำนาจฝ่ายต่างๆ รอบด้านก็ต้องมองพวกเขาสกุลอวี้เฟิงสูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง! พวกเขาสกุลอวี้เฟิงก็จะทำการแลกเปลี่ยนกับเมืองต่างๆ รอบด้านได้สบายขึ้นมากทีเดียว
“ผู้อาวุโสหิมะเหินผู้นี้ไม่ชอบการปะทะคารม แต่ก็ย่อมมีเรื่องจิปาถะที่ต้องจัดการอยู่แล้ว เขาก็ไม่มีลูกน้องที่ไหน ถึงเวลานั้น ก็ย่อมต้องเป็นสกุลอวี้เฟิงเราที่ช่วยเขาจัดการเรื่องจิปาถะจึงจะเหมาะสมที่สุด” อวี้เฟิงจวิ้นซานรู้สึกพึงพอใจมากขึ้น
“ชิงอิน” อวี้เฟิงจวิ้นซานถาม “ผู้อาวุโสหิมะเหินไม่ให้คนไปรบกวน ผู้ที่เป็นศิษย์อย่างเจ้าจะไปพบอาจารย์ คงจะไม่ได้รับผลกระทบกระมัง”
“ข้าสามารถเข้าพบอาจารย์ได้ตลอดเวลา” อวี้เฟิงชิงอินกล่าว
“ดี” อวี้เฟิงจวิ้นซานพูดยิ้มๆ “ชิงอิน ผู้อาวุโสหิมะเหินอาจารย์ของเจ้ามีบุญคุณใหญ่หลวงต่อสกุลอวี้เฟิงเรา บุญคุณนี้จะต้องจดจำเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจ เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ ข้ารู้” อวี้เฟิงชิงอินพยักหน้า
……
เห็นได้ชัดว่าสกุลอวี้เฟิงอยากจะให้ตนขึ้นไปบนเรือรบของ ‘จักรพรรดิเทพหิมะเหิน’ ลำนี้!
และในราตรีนี้เอง
เมืองไม้บูรพาก็ได้รับข่าวนี้เช่นกัน
“เอ๊ะ” เจ้าเมืองไม้บูรพานั่งอยู่บนยอดเขาภายในเมืองแห่งหนึ่งเพียงลำพัง ตัวเขาหลอมรวมกับโลกใบนี้อยู่ตลอดเวลา เขาสวมอาภรณ์เขียวทั้งร่าง กลิ่นอายยิ่งใหญ่และห่างไกลประหนึ่งผืนดินอย่างไรอย่างนั้น เขาลืมตาขึ้นมา แล้วเผยสีหน้าแตกตื่น “ในเมืองเล็กๆ อย่างเมืองจวิ้นซาน มีผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางคนหนึ่งปรากฏขึ้นมาเสียได้ อีกทั้งพลังยังเทียบได้กับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายเชียวหรือ”
“จักรพรรดิเทพหิมะเหินรึ”
เจ้าเมืองไม้บูรพาขมวดคิ้วเล็กน้อย
จะว่าไปแล้ว ภายในบริเวณอันใหญ่โตรอบด้าน เมืองไม้บูรพาเป็นขุมอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุด! เมืองเล็กๆ อย่างเมืองจวิ้นซานล้วนต้องไว้หน้าเมืองไม้บูรพา แต่บัดนี้ภายในบริเวณแถบนี้ กลับมียอดฝีมือที่มีพลังเทียบเท่ากับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายปรากฏขึ้นมา! ต้องรู้ไว้ว่า เขา เจ้าเมืองไม้บูรพาเป็นเพียงแค่จักรพรรดิเทพช่วงท้ายเท่านั้น
“สามารถทำให้จักรพรรดิเทพจิตมารบาดเจ็บสาหัสได้ในกระบวนท่าเดียว สามกระบวนท่าก็ทำให้เขาแหลกสลายเป็นผุยผงไปได้ พลังนี้เทียบได้กับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายอย่างแท้จริง ยังดีที่ดูนิสัยของเขาแล้วไม่ชมชอบการปะทะคารมสักเท่าใดนัก ก่อนหน้านี้ล้วนแต่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองจวิ้นซานโดยไม่เผยพลังออกมา”เจ้าเมืองไม้บูรพาพยักหน้าน้อยๆ “ต้องส่งกองเทวทูตไปเยี่ยมเยียนจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้เสียหน่อย”
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต้องส่งความปรารถนาดีไปสักหน่อย
เดิมทีนิสัยของเจ้าเมืองไม้บูรพาก็ไม่ชอบการช่วงชิงอยู่แล้ว! เพียงแต่การฝึกฝนสายเลือดบรรพเทวะนั้นต้องการสมบัติล้ำค่าและทรัพยากรเป็นอย่างมาก! บวกกับลูกหลานของทั้งตระกูลไม้บูรพาที่พึงพิงเขาอยู่นั้นมีจำนวนนับไม่ถ้วน ดังนั้นเจ้าเมืองไม้บูรพาจึงจำเป็นต้องแย่งชิงทรัพยากรต่างๆ
……
ข่าวสารฉับไวใช้ได้ทีเดียว เพียงไม่กี่วันหลังจากประมุขสมาคมจิตมารสิ้นใจ พวกเขาก็ทยอยกันทราบข่าว และเข้าใจว่าภายในโลกเทพแห่งนี้ มีผู้ทรงอำนาจเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งแล้ว! ยังดีที่อยู่ในดินแดนแถบเดียวกับเจ้าเมืองไม้บูรพา ผลกระทบที่มีต่อผู้แกร่งกล้าทั้งหลายในบริเวณอื่นของโลกเทพก็ย่อมสามารถมองข้ามไปได้
******
ณ จวนหิมะเหิน เมืองจวิ้นซาน
ที่ส่วนสูงสุดของหอ
ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิอยู่เพียงลำพัง เขากำลังเคี่ยวกรำการฝึกกายคละถิ่นต่อไป
แม้เขาจะคิดค้นขึ้นมาหลายฉบับ ซึ่งล้วนทำให้ร่างกายของเขามีพลังระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางได้อย่างพอถูไถ แต่ก็ไม่เสถียรนัก! หากมิใช่มีเพียงสองแขนที่แข็งแกร่ง ก็มีเพียงแค่ขาทั้งสอง หรือไม่ก็มีเพียงส่วนท้อง ส่วนหลังเท่านั้น …มิอาจทำให้ทั้งร่างยกระดับอย่างมั่นคงได้เลย
“คิดไม่ถึงว่า จะต้องเผยพลังที่แท้จริงออกมาเพราะเรื่องของศิษย์ข้า”
“เปิดเผยก็เปิดเผยไปเถิด ก็ดีเหมือนกัน! หากเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นมา อาจจะสามารถทำให้ข้าได้พบกับการเคี่ยวกรำมากขึ้นก็เป็นได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงมั่นใจเต็มเปี่ยม อันที่จริงแล้วต่อให้เปิดเผยพลังออกไป เมื่อถึงระดับอย่างเขาแล้ว ต่อให้เปิดเผยพลังที่แท้จริงออกไป ก็เกรงว่าคงจะมีไม่กี่คนเท่านั้นที่มาหาเรื่องใส่ตัว!
“รอจนรายนามจักรพรรดิเทพเปลี่ยนแปลง…ชื่อของข้าก็จะต้องแพร่ออกไปอย่างกว้างขวางแล้ว หากจักรพรรดิเป่ยเหออยู่ในโลกใบนี้ เขาก็ควรจะล่วงรู้กระมัง” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพลางรอคอย
จักรพรรดิเป่ยเหอถูกส่งถ่ายไป ก็น่าจะร่อนลงมาที่โลกใบนี้เช่นเดียวกัน
ระหว่างเขาและเป่ยเหอนั้นมีความแค้นต่อกันอยู่
“ไม่รู้ว่าเป่ยเหอจะมีปฏิกิริยาเช่นไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเสียงเรียบ
ความนิ่งเฉยนั้นมีสาเหตุมาจากพลังที่แท้จริง
แม้การฝึกกายคละถิ่นของเขายังไม่เสถียรพอ แต่ลำพังแค่วิถีอากาศของเขาก็สามารถคงพลังรบระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงท้าย’ ได้ครึ่งชั่วยามแล้ว พลังเช่นนี้ อยู่ในหุบเขาเขี้ยวหักก็ถือเป็นระดับจักรพรรดิแล้ว!
ส่วนวิถีเขตลวงโลกเทียมนั้น แม้แต่สำหรับ ‘จักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์’ ก็มีผลกระทบ จักรพรรดิเทพครบสมบูรณ์เมื่ออยู่ในหุบเขาเขี้ยวหัก ก็ถือเป็นระดับยอดเคารพแล้ว!
ตอนที่เขาลงมือกับประมุขสมาคมจิตมาร ตั้งแต่ต้นจนจบก็มิได้ใช้งาน ‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ เลย
หากเขาปะทุออกมาอย่างสุดกำลัง
วิถีเขตลวงโลกเทียมบวกกับพลังรบระดับ ‘จักรพรรดิเทพช่วงท้าย’ ทางด้านวิถีอากาศ ก็ล้วนสามารถต่อกรกับยอดเคารพได้! ต่อให้ยังตกเป็นรองอยู่เล็กน้อยก็ตาม…การป้องกันตนเองก็มิได้มีปัญหาอันใด ส่วนความยุ่งยากอื่นๆ ในโลกเทพแห่งนี้ ตนก็ยังมี ‘ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา’ อยู่ด้วย! เมื่อมีพลังเช่นนี้แล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงยังคงพำนักอยู่ในเมืองจวิ้นซานอย่างสงบได้หลังจากสังหารประมุขสมาคมจิตมารแล้ว
“นายท่าน” ทหารคุ้มกันคนหนึ่งมาถึงด้านล่างหอ เขาพูดเสียงดังด้วยความเคารพว่า “ประมุขหอสิงแห่งหอจิตฟ้ามาเยี่ยมขอรับ”
“อ้อ ให้เขาเข้ามาเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงบัญชา
“ขอรับ” ทหารคุ้มกันจากไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก
ประมุขหอสิงก็ไต่ขึ้นมาบนหอ เมื่อเขาเห็นชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ก็โค้งคำนับ “จักรพรรดิเทพ รายนามจักรพรรดิเทพฉบับล่าสุดออกมาแล้วขอรับ” พูดพลาง ม้วนสาส์นม่วนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มแล้วโบกมือคราหนึ่ง ม้วนสาส์นนั้นก็ลอยมาทางเขา “แค่เรื่องเล็กๆ อย่างการนำม้วนสาส์นมาส่ง แค่สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาสักคนมาส่งให้ก็พอแล้ว ประมุขหอผู้องอาจอย่างท่านยังต้องมามอบให้ด้วยตนเองด้วยหรือ”
“จักรพรรดิเทพอย่าได้กลั่นแกล้งข้าเล่นเลย ข้าเป็นเพียงประมุขหอจิตฟ้าตัวเล็กๆ ในเมืองจวิ้นซานคนหนึ่งเท่านั้น สามารถมามอบม้วนสาส์นให้จักรพรรดิเทพได้ ก็ถือเป็นเกียรติของข้า” ประมุขหอสิงกล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงหัวเราะพลางคลี่ม้วนสาส์นออก แล้วเริ่มพินิจดูรายนามจักรพรรดิเทพที่เปลี่ยนแปลงเพราะเขา ทุกครั้งที่รายนามจักรพรรดิเทพมีการเปลี่ยนแปลง จึงจะมีการออกรายนามจักรพรรดิเทพฉบับใหม่ขึ้นมา
………………………………………