Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน – ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 44 จัดการเรียบร้อยแล้ว

ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 44 จัดการเรียบร้อยแล้ว

แม้แต่ประมุขหอสิงแห่ง ‘หอจิตฟ้า’ ผู้มีหูตากว้างไกลซึ่งทำการบันทึกกระบวนการต่อสู้นั้น แม้จะมองดูอยู่ห่างๆ ลำคอก็ยังแหบแห้งไปหมด เขาพึมพำเสียงต่ำว่า “เพียงกระบวนท่าเดียวก็ทำให้ประมุขสมาคมจิตมารได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียแล้ว สามกระบวนท่าก็ทำให้ร่างกายของประมุขสมาคมจิตมารแตกเป็นเสี่ยงๆ เห็นทีจะเป็นผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางคนหนึ่งจริงๆ พลังคงเกือบจะเทียบได้กับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายแล้วกระมัง”

พลังรบเทียบได้กับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย แสดงว่าอะไรหรือ

ยอดฝีมือทั้งหลายในเมืองจวิ้นซานต่างก็เข้าใจว่า อย่าง ‘เจ้าเมืองไม้บูรพา’ ผู้มีสถานะสูงส่งผู้นั้น ก็คือผู้แกร่งกล้าระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้อวี้เฟิงจวิ้นซานคิดหาวิธีจะยกบุตรสาวให้สมรสกับคุณชายเก้าแห่งเมืองไม้บูรพา แม้จะมอบของกำนัลให้มากมาย และคิดหาวิธีขอให้ ‘เจ้าเมืองไม้บูรพา’ ช่วยเหลือโดยผ่านบุคคลระดับสูงของเมืองไม้บูรพา แต่อันที่จริงแล้ว กองทูตที่เมืองจวิ้นซานส่งไปนั้นกลับไม่มีคุณสมบัติพอจะได้พบเจ้าเมืองไม้บูรพาเสียด้วยซ้ำไป!

ต่อให้ทอดสายตามองไปทั่วทั้งโลกเทพ จักรพรรดิเทพช่วงท้ายก็ล้วนแต่เป็นผู้ทรงอำนาจอย่างยิ่งทางฟากฝั่งหนึ่งทั้งสิ้น! แม้แต่สามตระกูลราชันย์ก็ยังต้องรักษามารยาท!

“ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางมีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย สามกระบวนท่าก็สามารถทำให้โจรเฒ่าจิตมารซึ่งจัดอยู่ในรายนามจักรพรรดิเทพพิการได้!” อวี้เฟิงจวิ้นซานใจสะท้าน

โจรเฒ่าจิตมารจัดอยู่ในหนึ่งพันอันดับแรกของโลกเทพ

สามกระบวนท่าก็ถูกตีจนพิการเสียแล้ว!

จะเห็นได้ถึงความน่าเกรงกลัวของท่านอาจารย์หิมะเหิน!

“โอกาสครั้งใหญ่ โอกาสครั้งใหญ่ ชิงอินบุตรสาวข้าสามารถคารวะเข้าอยู่ในสำนักของผู้แกร่งกล้าพรรค์นี้ได้ ทั้งยังกอบกู้ทั้งสกุลอวี้เฟิงเอาไว้ด้วยเหตุนี้” อวี้เฟิงจวิ้นซานมองไปทางอวี้เฟิงชิงอินบุตรสาวตน

สองพี่น้องอวี้เฟิงเหลยและอวี้เฟิงจิ่นพากันมองไปทางน้องสาวที่อยู่ข้างๆ พวกเขาทั้งสองออกจะอิจฉาอยู่บ้าง แต่ก็รู้สึกดีใจกับน้องสาวด้วย

“พลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย”

“สวรรค์!”

“ผู้แกร่งกล้าพรรค์นี้มาซ่อนตัวอยู่ในเมืองเล็กๆ ที่ไกลโพ้นอย่างเมืองจวิ้นซานของพวกเราหรือนี่”

ผู้แกร่งกล้าฝ่ายต่างๆ พากันตกตะลึง

พลังแข็งแกร่งเช่นนี้ทำให้พวกเขาต้องมองอย่างเทิดทูน เพราะถึงอย่างไรไม่ว่าจะอยู่ส่วนใดของโลกเทพ พลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายก็นับว่าเป็นยอดฝีมือตัวยงแล้ว

“ก็ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสหิมะเหินไล่ตามไป จะสามารถสังหารประมุขสมาคมจิตมารผู้นั้นได้หรือไม่” ผู้แกร่งกล้าจำนวนมากต่างทอดสายตามองไปยังทิศที่ประมุขสมาคมจิตมารและตงป๋อเสวี่ยอิงรุกไล่กันแล้วจากไป ความรกร้างไกลออกไปมองไม่เห็นเงาร่างคนแล้ว พวกเขาสองคนรวดเร็วมากจริงๆ

*******

ฟิ้วๆๆ…

เสียงลมพัดหวีดหวิว

ประมุขสมาคมจิตมารกำลังทะยานไปอย่างรวดเร็วจนชวนตกใจภายใต้แสงสีเขียวเข้มที่ห่อหุ้มอยู่ ร่างกายฟื้นฟูกลับมาจนสมบูรณ์ดีแล้ว แน่นอนว่านี่เป็นเพียงผิวเผินเท่านั้น ความเสียหายของพลังชีวิตของเขาจะชดเชยได้ก็ต้องใช้เวลานานมาก

“สมบัติล้ำค่าที่ท่านจ้าวหุบเขามอบให้ ทำให้บัดนี้ความเร็วของข้า จักรพรรดิเทพช่วงท้ายส่วนใหญ่ไล่ตามไม่ทันแล้ว และรวดเร็วกว่าจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นั้นมากด้วย” ประมุขสมาคมจิตมารมองไปด้านหลังซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างน้อยก็มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแล้ว ทว่าเขาก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไปด้วยความเร็วสูงสุดโดยมิกล้าชักช้า ยิ่งสลัดไปได้ไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น

การเหินทะยานไปด้วยความเร็วสูงเช่นนี้ ใช้เวลาชั่วจอกชาหนึ่ง แสงสีเขียวเข้มเหนือผิวกายของเขาก็สลายไปในที่สุด

ประมุขสมาคมจิตมารมองดูกิ่งไม้ที่ถืออยู่ในมือ ยามนี้กิ่งไม้กลับทลายลงแล้วกลายเป็นผุยผงไป สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ถูกเผาผลาญไปจนสิ้นแล้ว

“เวลายาวนานถึงเพียงนี้ ข้าคงจะสลัดเขาไปได้ไกลมากแล้ว” ในใจของประมุขสมาคมจิตมารคิดเช่นนี้ ทว่าก็ยังคงทะยานไปอย่างสุดกำลัง เขามิได้หยิบเอาสมบัติล้ำค่าต่างๆ เช่นเรือรบมาด้วย การเหินทะยานนั้นไม่จำเป็นต้องให้เขาแบ่งจิตใจไปควบคุม แต่ความเร็วในการเหินทะยานกลับสู้ความเร็วในการหนีสุดชีวิตของเขาในตอนนี้ไม่ได้เลย

……

ท่ามกลางความรกร้าง

ตงป๋อเสวี่ยอิงควบคุมกายหยาบไว้ก่อนแล้ว ทำให้อณูโครงสร้างของกายหยาบเปลี่ยนแปลงไป และฟื้นคืนสถานะการฝึกกายคละถิ่นอันมั่นคง เขากำลังนั่งขัดสมาธิอย่างสบายๆ อยู่บนศิลาก้อนใหญ่ท่ามกลางความรกร้าง หยิบสุรามาไหนหนึ่งแล้วนั่งดื่มสุราอยู่ตรงนั้น

อีกฝ่ายหนีไปได้รวดเร็วถึงเพียงนั้น เขาไม่มีทางไล่ตามอย่างโง่งมหรอก จะต้องเหน็ดเหนื่อยเพียงใดกัน

“อื้ม ความเร็วของเขาช้าลงแล้ว เห็นทีพลังของสมบัติล้ำค่าคงจะเผาผลาญไปเกือบหมดแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงสามารถสัมผัสได้ถึงตำแหน่งคร่าวๆ ของประมุขสมาคมจิตมารผ่านวิชาสะกดรอย เพราะถึงอย่างไรเหตุปัจจัยระหว่างทั้งสองฝ่ายในตอนนี้ก็มิใช่ย่อยเลย

“รออีกสักหน่อย ด้วยวิถีกายแมลงมารห้วงอากาศของข้าที่ไล่ตามอย่างสุดกำลัง ยังต้องใช้เวลาอีกสักครู่จึงจะสามารถไล่ตามได้ทัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงกะเวลาคร่าวๆ แล้วดื่มสุราต่อไป

“เกือบแล้ว”

“ควรออกเดินทางได้แล้ว”

ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือคราหนึ่งแล้วเก็บไหสุราลงไป มือทั้งสองเริ่มขยายใหญ่ขึ้น ผิวแขนยังมีเยื่อสีดำชั้นแล้วชั้นเล่าปรากฏขึ้นมา กลิ่นอายปะทุออกมาและกลายเป็นไม่มั่นคงอีกครา มือขวายื่นออกไป เขาถือหอกยาวสีดำเล่มหนึ่งเอาไว้ในมือ

แคว่ก…

ด้านข้างมีรอยแยกสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้น ตงป๋อเสวี่ยอิงกะพริบวาบคราหนึ่งและหายไปในนั้น

ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกา!

แม้ประมุขสมาคมจิตมารจะกำลังหนีอย่างสุดชีวิต แต่อันที่จริงแล้ว ระยะห่างระหว่างกันก็ไม่นับว่าไกลสักเท่าใดนัก ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงการเหินทะยานเท่านั้น! ใช้ศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาซึ่งสามารถไปยังที่แห่งใดก็ได้ในโลกเทพอย่างง่ายดายมาไล่ตาม ช่างเป็นการขี่ช้างจับตั๊กแตนจริงๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงคร้านที่จะใช้วิถีกายแมลงมารห้วงอากาศมาไล่ตามอย่างยากลำบาก

“แคว่ก” ตงป๋อเสวี่ยอิงปรากฏกายขึ้นท่ามกลางรอยแยกสีดำ และสัมผัสรับรู้ถึงตำแหน่งของประมุขสมาคมจิตมารด้านหน้า แล้วจึงสำแดงวิถีกายแมลงมารห้วงอากาศออกมาอย่างสบายๆ เงาร่างเลือนรางไป เขาไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว

เพียงสิบกว่าชั่วลมหายใจ

ประมุขสมาคมจิตมารที่กำลังหลบหนีไปนั้นมองดูเงาร่างที่ยังคงเล็กจิ๋วมากด้านหลังด้วยความแตกตื่น จักรพรรดิเทพหิมะเหินซึ่งกุมหอกยาวเอาไว้นั่นเอง!

“เขาไล่ตามมาแล้วหรือ” ประมุขสมาคมจิตมารตื่นตระหนกเหลือแสน “ข้าสลัดเขาไปได้ไกลถึงเพียงนั้นแล้ว เขาก็ยังคงไม่ปล่อยข้าไป แต่ยังคงไล่ตามจนสุดชีวิตเช่นนี้น่ะหรือ”

ช่วยไม่ได้

ตงป๋อเสวี่ยอิงบรรลุถึงวิถีอากาศขั้นสุดยอดตั้งนานแล้ว อีกทั้งเส้นทางวิญญาณยังบรรลุถึงขั้นที่ไม่เคยมีมาก่อนอีกด้วย วิญญาณยังเคยหลอมรวมโลหิตหัวใจของมารดามังกรหมื่นสัมผัสเข้าไปหยดหนึ่งด้วย ตอนที่เขายังเป็นเทพจักรวาลชั้นที่สองนั้น จักรพรรดิเซี่ยก็ยังมิอาจสะกดรอยเขาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้เลย ในโลกใบนี้ ผู้ที่สามารถสะกดรอยตงป๋อเสวี่ยอิงได้เกรงว่าคงจะมีเพียงผู้แกร่งกล้าคละถิ่นสามท่านที่สร้างโลกใบนี้ขึ้นมาเท่านั้น

สวบๆๆ…

แม้ประมุขสมาคมจิตมารจะกำลังหนีอย่างสุดกำลัง แต่เงาร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านหลังก็เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เงาร่างอันเลือนรางนั้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในสายตาของเขา

“เจ้าหนีไม่พ้นหรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปาก

“จักรพรรดิเทพหิมะเหิน ข้ากับเจ้าไม่มีความขุ่นข้องหมองใจอันใดต่อกัน เจ้าก็สังหารจักรพรรดิเทพใต้บังคับบัญชาของข้าไปสองคนแล้ว เรื่องระหว่างเจ้ากับข้าจบลงแค่นี้ดีหรือไม่ ข้าจะลั่นสัตย์สาบานว่านับจากวันนี้ไปจะไม่มายังเมืองจวิ้นซานอีก จะไม่แก้แค้นสกุลอวี้เฟิงเลยแม้แต่น้อย” ขณะเดียวกับที่ประมุขสมาคมจิตมารหนีไปก็ถ่ายเสียงร้องขอด้วยความร้อนรนไปด้วย

“ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจต่อกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า “เหตุใดข้าจึงจำได้ว่า ก่อนหน้านี้ ในเมืองจวิ้นซาน เจ้ายังพูดว่า ‘ความแค้นนี้ ข้าจิตมารจะจำเอาไว้’ อะไรสักอย่างอยู่เลยมิใช่หรือ”

ประมุขสมาคมจิตมารขมขื่นใจ

ตอนนั้นก็คือตอนนั้น ตอนนี้ก็คือตอนนี้สิ!

“จักรพรรดิเทพหิมะเหิน ได้โปรดละเว้นด้วย ท่านพูดอะไรข้าก็ยอมทั้งนั้น” ประมุขสมาคมจิตมารวิงวอนอย่างร้อนรน เนื่องจากตงป๋อเสวี่ยอิงไล่ตามมาใกล้แล้ว

แต่สิ่งที่ตอบรับเขา กลับเป็นหอกหนึ่งของตงป๋อเสวี่ยอิงที่แทงออกไปอย่างเยียบเย็น

หอกหนึ่งแทงออกไป

อากาศรอบด้านราวกับฟองอากาศเข้าห่อหุ้มประมุขสมาคมจิตมารเอาไว้ ก้อนจะยุบตัวลงอย่างรวดเร็วกลายเป็นจุดดำจุดหนึ่ง ประมุขสมาคมจิตมารอยู่ในฟองอากาศนี้ก็หดเล็กลงไปตามมันด้วย เขาทั้งโกรธแค้นทั้งสิ้นหวัง เหตุใดตนจึงโชคไม่ดีถึงเพียงนี้! เหตุใดจักรพรรดิเทพหิมะเหินผู้นี้จึงไม่ยอมไว้ชีวิตตนสักครั้ง

……

ผ่านไปเพียงไม่กี่กระบวนท่า

ประมุขสมาคมจิตมารแหลกสลายกลายเป็นผุยผงเถ้าธุลีไปท่ามกลางมิติอันบ้าคลั่ง เหลือทิ้งไว้เพียงวัตถุต่างๆ เท่านั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกมือคราหนึ่งแล้วเก็บลงไป

“เฮอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงแค่นเสียงอย่างเย็นชาคราหนึ่ง เหตุใดเขาจึงไล่ตามอยู่ตลอด ไม่ยอมเหลือทางรอดให้ประมุขสมาคมจิตมารผู้นี้เลยน่ะหรือ

ก็เพราะในการสัมผัสรับรู้ของเขา เหตุปัจจัยบนร่างของประมุขสมาคมจิตมารนั้นลึกล้ำและหนักหน่วงนัก เหตุปัจจัยซึ่งเต็มไปด้วยความแค้นจำนวนนับไม่ถ้วนพัวพันกับประมุขสมาคมจิตมาร เมื่อเผชิญหน้ากับมารร้ายตัวฉกาจพรรค์นี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ย่อมลงมืออย่างโหดเหี้ยมเป็นธรรมดา! ประมุขสมาคมจิตมารเรียกตนเองว่า ‘จิตมาร’ กระทำการอันใดก็ไร้ข้อห้าม เขาผูกความแค้นกับอวี้เฟิงจวิ้นซาน ด้วยหมายจะทำลายทั้งสกุลอวี้เฟิง เท่านี้ก็สามารถเห็นนิสัยใจคอของเขาได้แล้ว

“สมาคมจิตมาร กำจัดหัวหน้า สังหารจักรพรรดิเทพไปสองคน หนีไปสามคน เกือบแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้ม แล้วเริ่มเดินทางกลับ

เขามิได้ไล่สังหารต่อไปแล้ว

ด้วยวิธีศาสตร์การส่งถ่ายมหาทลายโลกาของเขาซึ่งสามารถซ่อนเร้นและเปลี่ยนแปลงกลิ่นอายได้อย่างง่ายดาย และศัตรูก็มิอาจสะกดรอยตามได้ เขาสามารถปลอมแปลงตัวตนเพื่อไล่สังหารจักรพรรดิเทพทั้งสามคนนั้นได้อย่างสบายๆ แต่โดยเนื้อแท้ของตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว ก็เพียงแค่ทนมารร้ายตัวฉกาจเหล่านั้นไม่ได้เท่านั้นเอง การช่วงชิงห้ำหั่นเอาเป็นเอาตายระหว่างผู้บำเพ็ญทั่วไปนั้น เขาคร้านจะไปยุ่งเกี่ยวด้วย

หัวหน้าสมาคมจิตมารและจักรพรรดิเทพทั้งห้า!

ผู้ที่สามารถนับได้ว่าเป็นมารร้ายตัวฉกาจอย่างแท้จริงก็มีเพียง ‘ประมุขสมาคมจิตมาร’ และ ‘จักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยน’ ที่โหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งกว่าผู้นั้น ตอนนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงสังหาร ‘จักรพรรดิเทพฉื้อเฟิง’ ก่อน จักรพรรดิเทพฉื้อเฟิงผู้นั้นเพียงแค่อันตรายกว่าอยู่บ้าง หมายจะลงมือกับอวี้เฟิงชิงอินซึ่งอ่อนแอที่สุดก่อน ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงได้กำจัดทิ้งทันที ต่อมาเขาจึงได้เลือกที่จะสังหารจักรพรรดิเทพกุ่ยเยี่ยนผู้นั้น ก็เพราะเห็นเหตุปัจจัยแค้นจำนวนนับไม่ถ้วนที่พันธนาการอีกฝ่ายเอาไว้ได้อย่างแม่นยำว่าหนักหน่วงกว่าประมุขสมาคมจิตมารเสียอีก เขาจึงย่อมลงมือโดยไม่ไว้น้ำใจ

ส่วนอีกสามคนที่หนีไปนั้น…จัดเป็นระดับธรรมดาสามัญในโลกเทพ มิได้มีนิสัยชอบล้างสังหารตามอำเภอใจ หากแต่เข่นฆ่าและต่อสู้ตามปกติเท่านั้น

อันที่จริงแล้ว ในโลกเทพแห่งนี้ เนื่องจากความรกร้างกว้างใหญ่ไพศาล ประชากรก็ล้วนแต่อาศัยอยู่ในเมือง ดังนั้นจึงมีการล้างสังหารครั้งใหญ่น้อยมาก!

จักรพรรดิเทพสามคนนั้นหนีไป กลับไม่รู้ว่าที่พวกเขาสามารถมีชีวิตรอดได้ก็เพราะเหตุปัจจัยแค้นไม่นับว่ามากนัก

******

ณ เมืองจวิ้นซาน

ในที่สุด เงาร่างอันเลือนรางสายหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปก็ทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็ว

ภายในจวนสกุลอวี้เฟิงมีผู้แกร่งกล้ากลุ่มใหญ่รวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว แม้แต่ประมุขหอสิงแห่งหอจิตฟ้า จ้าวเทพชวนชิ่งแห่งกองกำลังย่อยเพลิงพิสดารและคนอื่นๆ ล้วนมาถึงที่นี่ แต่ละคนพากันแหงนหน้ามอง เมื่อได้เห็นเงาร่างในอาภรณ์สีขาวนั้นปรากฏกายขึ้นมา พวกเขก็ใจสะท้านด้วยความตื่นเต้น เพราะถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดหวั่นที่มีพลังรบระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้าย

ฟิ้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงร่อนลงไป

“จักรพรรดิเทพหิมะเหิน”

“ผู้อาวุโสหิมะเหิน”

“ท่านอาจารย์หิมะเหิน”

ทันใดนั้นคำเรียกขานต่างๆ ก็ดังขึ้น ทุกคนล้วนเคารพเป็นอันมาก

ตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดตามองคราหนึ่งแล้วพูดพลางพยักหน้า “จักรพรรดิเทพจิตมารถูกข้าสังหารแล้ว!”

อวี้เฟิงจวิ้นซาน ประมุขหอสิงและทุกคนในที่นั้นต่างก็หัวใจบีบรัดแน่น แม้พวกเขาจะตามหาเหตุปัจจัยของ ‘ประมุขสมาคมจิตมาร’ ผ่านการสะกดรอยแล้วไม่พบ ก็พอจะเดาได้ว่าประมุขสมาคมจิตมารอาจจะตายไปแล้ว แต่เมื่อพูดออกมาจากปากของตงป๋อเสวี่ยอิง พวกเขาก็ยังคงรู้สึกว่าหัวใจหนักอึ้งไปหมด ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นถึงผู้แกร่งกล้าชั้นยอดที่จัดอยู่ในรายนามจักรพรรดิเทพเชียวนะ กลับถูกสังหารไปเช่นนี้น่ะหรือ

“ท่านอาจารย์” อวี้เฟิงชิงอินเดินเข้าไปใกล้แล้วตะโกนขึ้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองศิษย์ของตนแล้วจึงเผยรอยยิ้มออกมา พลางพูดว่า “ชิงอิน เรื่องนี้จัดการเรียบร้อยแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลอีกแล้วนะ”

คนรอบด้านต่างพากันมองไปยังอวี้เฟิงชิงอินด้วยความอิจฉา พวกเขาล้วนสัมผัสได้ว่า ผู้เหินทะยานระดับจักรพรรดิเทพผู้นี้ปฏิบัติต่ออวี้เฟิงชิงอินผู้เป็นศิษย์แตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด เกรงว่าการลงมือในครั้งนี้ ก็คงมีศิษย์เป็นเหตุกระมัง

“ผู้อาวุโสหิมะเหิน” อวี้เฟิงจวิ้นซานหน้าทนพูดต่อไปว่า “ครั้งนี้ผู้อาวุโสช่วยเหลือทั้งสกุลอวี้เฟิงของข้า สกุลอวี้เฟิงเราไม่มีอะไรตอบแทนเลยจริงๆ”

“เอาล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยปากขัดขึ้นมา “ข้ายังมีธุระต้องกลับไปทำ คงไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนทุกท่านแล้ว ชิงอิน ไปกับข้า”

“เจ้าค่ะ ท่านอาจารย์” อวี้เฟิงชิงอินรับคำอย่างเชื่อฟัง

ตงป๋อเสวี่ยอิงหมุนกายจากไป

เขาไม่ว่างพอจะมีกะจิตกะใจพูดพล่ามกับคนเหล่านี้

“นี่ นี่เป็นภูเขาที่พึ่งพิง” อวี้เฟิงจวิ้นซานมองดูตงป๋อเสวี่ยอิงและอวี้เฟิงชิงอินบุตรสาวที่จากไปไกล แล้วก็อดรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมามิได้

จะต้องกอดเสาหลักต้นนี้เอาไว้ให้แน่น!

แต่ไหนแต่ไรเขา อวี้เฟิงจวิ้นซานยังไม่เคยมีโอกาสได้ประสบพบเจอกับเสาหลักเช่นนี้มาก่อนเลย!

ส่วนท่ามกลางเหล่าผู้แกร่งกล้า ประมุขหอสิงกลับถือคัมภีร์เอาไว้ในมือ แล้วบันทึกต่อไปว่า “มิอาจสะกดรอยเหตุปัจจัยแค้นของประมุขสมาคมจิตมารได้เลย จักรพรรดิเทพหิมะเหินบินกลับมาจากกลางความรกร้าง หมายความว่าจักรพรรดิเทพจิตมารถูกเขาสังหารไปแล้ว” ข้อมูลนี้ก็ถูกรายงานขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ประมุขหอสิงตื่นเต้นเหลือแสน เนื่องจาก ‘รายนามจักรพรรดิเทพ’ จะต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงเพราะเรื่องนี้อย่างแน่นอน!

……………………

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Status: Ongoing
ในแคว้นอันหยางสิงแห่งชนเผ่าเซี่ย
มีดินแดนใต้อาณัติแห่งหนึ่งที่แสนจะเล็กและไม่สะดุดตา นามว่า ‘แดนอินทรีหิมะ’ เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากที่แห่งนี้ เมื่ออายุได้แปดปี บุพการีทั้งสองถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบุคคลอันเป็นที่รักกลับมา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนอย่างหนักวันแล้ววันเล่า หรือการผจญกับเหล่าสัตว์มารแสนอันตราย ล้วนมิอาจทำลายปณิธานอันแรงกล้านี้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท