Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน – ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 59 ศัตรูมาเยือน

ภาคที่ 37 บนเส้นทาง ตอนที่ 59 ศัตรูมาเยือน

“ไม่ชอบหรือเจ้าคะ” อวี้เฟิงชิงอินผิดหวังอยู่บ้าง

“ก็ยังนับว่ารสชาติพอใช้ได้อยู่ เพียงแต่ว่ามิค่อยจะถูกกับรสนิยมของข้าสักเท่าใดนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงวางจอกสุราลงยิ้มๆ

“อ้อ” อวี้เฟิงชิงอินพลิกฝ่ามือแล้วก็มีไหสุราปรากฏขึ้นอีก “ข้ายังมีอีกนะเจ้าคะ ท่านปรมาจารย์ ลองชิมอันนี้ดูอีกสักหน่อยสิเจ้าคะ”

สุราชั้นเลิศไหแล้วไหเล่าที่ลูกศิษย์หญิงตั้งใจรวบรวมมาให้ท่านปรมาจารย์ลิ้มรส

ในที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็เลือกมาสามชนิดด้วยรอยยิ้มร่า อวี้เฟิงชิงอินส่งมาให้เป็นจำนวนมากด้วยความยินดี เพราะว่านางได้เตรียมสุราชั้นเลิศแต่ละชนิดเอาไว้เป็นจำนวนมากแล้ว

“อย่าพูดถึงสุราชั้นเลิศอีกเลย การบำเพ็ญของเจ้าเป็นอย่างไรบ้างแล้วเล่า เหตุใดจึงยังอยู่ที่ระดับจ้าวเทพช่วงสุดยอดอยู่อีก ประสบปัญหาอันใดเข้าหรือ ตลอดมาจึงยังมิได้บรรลุเสียที” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม

ทันใดนั้นอวี้เฟิงชิงอินก็เคอะเขินขึ้นมาบ้าง

ตอนนั้นหลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับมาจากเมืองมังกรเหล็กแล้ว เพียงไม่นานก็มอบใบไม้โลกเฉานั้นให้กับลูกศิษย์หญิง ‘ใบไม้โลกเฉา’ นี้ก็คือสมบัติที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญสายโลหิตชิ้นหนึ่ง ล้ำเลิศเป็นที่สุด แม้กระทั่งคุณชายใหญ่จวนมังกรเหล็กก็ยังเจตนาถามหา หมายจะตระเตรียมเอาไว้ให้บุตรสาว หลังจากที่ตงป๋อเสวี่ยอิงมอบให้กับลูกศิษย์หญิงแล้ว ความเร็วในการบำเพ็ญของลูกศิษย์หญิงก็ย่อมพุ่งทะยาน บวกกับตงป๋อเสวี่ยอิงยังมอบสมบัติล้ำค่าชิ้นอื่นๆ จำนวนหนึ่งให้กับลูกศิษย์หญิงเป็นของกำนัลอยู่เป็นประจำอีกด้วย

ถึงอย่างไรเขาก็จัดการจักรพรรดิเทพเฮ่อต้งผู้นั้น จัดการจักรพรรดิเทพสามท่านใต้บังคับบัญชาของประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวไปแล้ว

แล้วยังปล้นชิงสมบัติล้ำค่าของประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิวผู้นั้นจนหมด คุณชายใหญ่จวนมังกรเหล็กก็ถูกปล้นชิงเช่นกัน หรือแม้กระทั่งเจ้าเมืองมังกรเหล็กก็ยังส่งมอบสมบัติล้ำค่ามูลค่าหนึ่งแสนหยกแก้วคละถิ่นให้…อันที่จริงแล้วการบำเพ็ญความเร้นลับของกฎเกณฑ์ สมบัติล้ำค่าเหล่านั้นส่วนใหญ่ล้วนไม่มีประโยชน์ต่อเขาเลย บางส่วนที่สุดยอดก็มีจำนวนมากที่พอจะมีประโยชน์ต่อระดับจักรพรรดิเทพช่วงท้ายหรือแม้กระทั่งจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์อยู่บ้าง เขาก็ย่อมมิได้มอบให้กับลูกศิษย์หญิงอยู่แล้ว

ถึงอย่างไรลูกศิษย์หญิงก็เพิ่งจะเป็นเพียงแค่ระดับจ้าวเทพเท่านั้น! อีกทั้งสมบัติล้ำค่าที่มากมายเกินไป ก็เป็นกังวลว่าจะดึงดูดเรื่องเดือดร้อนเข้ามา

ใบไม้โลกเฉา นับได้ว่าเป็นชิ้นที่ล้ำค่าที่สุดที่มอบให้ สมบัติล้ำค่าชิ้นอื่นๆ จำนวนหนึ่งที่กระจัดกระจายกัน ทุกชิ้นไม่นับว่าแพง แต่มีอยู่เป็นจำนวนมาก รวมกันขึ้นมาแล้วก็มีราคาเกินกว่าหนึ่งหมื่นหยกแก้วคละถิ่นแล้ว จำนวนมากนั้นล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่ช่วยส่งเสริมการบำเพ็ญของประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิว

“ข้ารู้สึกว่าใกล้แล้ว ใกล้จะบรรลุแล้วเจ้าค่ะ” อวี้เฟิงชิงอินพูด

“เฮอะ หลังจากที่ข้าออกจากการปลีกวิเวกในครั้งนี้ เหตุใดจึงได้ยินว่าอวี้เฟิงเหลยพี่ชายเจ้าบรรลุไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางแล้วเล่า” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยถาม “เจ้ายกสมบัติล้ำค่าจำนวนหนึ่งให้กับพี่ชายเจ้าอย่างนั้นหรือ”

‘อวี้เฟิงเหลย’ แห่งสกุลอวี้เฟิงนั้นช่างมีพรสวรรค์สูงส่งอย่างแท้จริง

ก่อนหน้าที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะมาถึง อวี้เฟิงเหลยก็คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาจ้าวเทพช่วงสุดยอด หลังจากที่สำเร็จเป็นจักรพรรดิเทพช่วงต้นแล้ว พลังยุทธ์ของเขาก็สามารถข่ม ‘อวี้เฟิงจวิ้นซาน’ บิดาของเขาได้เลยทีเดียว คราวนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงออกจากการปลีกวิเวกก็ได้รับข่าวว่าอวี้เฟิงเหลยบรรลุไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางเรียบร้อยแล้ว

“มิใช่ๆ”

อวี้เฟิงชิงอินเอ่ยอย่างตกใจ “ปรมาจารย์ ท่านดูสิ สมบัติล้ำค่ายังอยู่กับข้านี่แหละ” พูดแล้วบนข้อมือก็มีกำไลเก็บวัตถุวงหนึ่งปรากฏขึ้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงกวาดสายตามองปราดหนึ่ง สติรับรู้แทรกผ่านกำไลเก็บวัตถุได้อย่างง่ายดาย ใบไม้โลกเฉายังอยู่! สมบัติล้ำค่าส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ทั้งสิ้น

“สมบัติล้ำค่ามีไว้ใช้! หากไม่ใช้สมบัติล้ำค่าแล้วเจ้าจะบรรลุได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้ว “ต่อไปอีกร้อยล้านปีข้างหน้า เจ้าจะต้องสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ให้หมดไปส่วนหนึ่ง! บรรลุไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงต้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”

จักรพรรดิเทพช่วงต้น…

สำหรับประชากรโลกเทพที่บำเพ็ญพลังสายโลหิต ถ้าหากมีสมบัติล้ำค่ามากพอ เพียงแค่หยั่งรู้ก็ยังได้ หรือว่ายังสามารถบ่มเพาะมาจนถึงระดับนี้ได้

อย่างเช่นเจ้าเมืองมังกรเหล็กก็บ่มเพาะบุตรชายบุตรสาวที่มีอยู่ทั้งหมดของเขาไปจนถึงระดับขั้นจักรพรรดิเทพ

คนที่ไม่ชมชอบการบำเพ็ญอย่างประมุขหอน้อยอวิ๋นหลิว แต่ชมชอบการหาความสุขเป็นที่สุด ก็ยังถูกฝืนบ่มเพาะจนไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลาง

“เจ้าค่ะๆ” อวี้เฟิงชิงอินรับคำอย่างเชื่อฟัง ในใจลอบทอดถอนใจ

นางได้มอบสมบัติล้ำค่าที่มีผลอันน่าอัศจรรย์ต่อตัว ‘อวี้เฟิงเหลย’ ผู้เป็นพี่ชายให้เป็นของกำนัลกับเขาจริงๆ หลังจากที่พี่ชายได้ใช้ บวกกับการบำเพ็ญที่สั่งสมมาเกือบสามแสนล้านปี ก็มีความหวังที่จะบรรลุไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางได้

ยามที่พี่ชายปลีกวิเวก อวี้เฟิงชิงอินก็ให้ยืม ‘ใบไม้โลกเฉา’ เป็นการชั่วคราว! ความสัมพันธ์ของพวกเขาพี่น้องสร้างขึ้นมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว นางมีความมั่นใจในตัวพี่ชายนางเป็นอย่างยิ่ง

อวี้เฟิงเหลยผู้เป็นพี่ชาย…บรรลุไปถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางแล้วจริงๆ หลังจากบรรลุแล้วก็เพียงแค่คืนใบไม้โลกเฉาให้กับน้องสาว เพราะว่าสมบัติล้ำค่าอย่างใบไม้โลกเฉานี้มีส่วนช่วยเหลือผู้อ่อนแอเป็นอย่างมาก ยิ่งพลังยุทธ์แข็งแกร่งก็ยิ่งมีส่วนช่วยเหลือน้อย ตามปกติเมื่อถึงระดับจักรพรรดิเทพช่วงกลางแล้วก็มีส่วนช่วยเหลือน้อยจนสามารถมองข้ามได้

“รอจนชิงอินบรรลุไปถึงระดับขั้นจักรพรรดิเทพ ข้าก็สามารถไปจากโลกใบนี้ได้แล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ

เขาได้ซากสิ่งมีชีวิตคละถิ่นทางสายห้วงอากาศมาครองแล้ว โลกใบนี้ก็มีแรงดึงดูดต่อเขาน้อยเหลือเกินแล้ว อย่างมากก่อนหน้าที่จะจากไป ก็ไปประลองยุทธ์กับ ‘เจ้าเมืองหงส์เมฆา’ อันดับหนึ่งของโลกเทพสักคราหนึ่ง! ยังมีตำราการบำเพ็ญของผู้เหินทะยานที่แข็งแกร่งที่สุดของวิถีอากาศผู้นั้นอีก พอถึงเวลานั้นก็คิดหาวิธีไปทำข้อตกลงสักรอบหนึ่ง เมื่อเสร็จเรียบร้อยก็สามารถจากไปได้แล้ว

ที่โลกแห่งนี้…

สิ่งเดียวที่ตงป๋อเสวี่ยอิงให้ความสนใจก็คือลูกศิษย์หญิงผู้นี้ ถึงอย่างไรนางก็กราบตนเป็นอาจารย์ ก็ต้องพยายามจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้ดี เขาเองก็เดาได้ว่าลูกศิษย์หญิงน่าจะมอบสมบัติล้ำค่าให้ ‘อวี้เฟิงเหลย’ ผู้เป็นพี่ชายของนางใช้ เพราะว่าสมบัติล้ำค่าที่ตนมอบให้ในตอนนั้นก็มีบางส่วนที่มีประโยชน์ต่อจักรพรรดิเทพช่วงต้นเป็นอย่างมาก

“ก็ดีเหมือนกัน พี่ชายของนางแข็งแกร่งสักหน่อยก็เป็นผลดีต่อนางเอง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ

ในขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงดื่มสุราไปพลาง ไถ่ถามถึงสถานการณ์การบำเพ็ญของลูกศิษย์หญิงไปพลางอยู่นั้นเอง ทันใดนั้น…

“ครืน…”

ทั่วทั้งผืนดินของเมืองจวิ้นซานก็กระเพื่อมคราหนึ่งราวกับคลื่นน้ำ

ในขณะนั้นทั่วทุกหนแห่งของเมืองจวิ้นซานก็ส่งเสียงดังโครมครามกึกก้อง อาคารที่สร้างขึ้นจำนวนหนึ่งก็พังทลายลงมาในทันใด

“เรื่องอันใดกัน”

“ระลอกคลื่นนี้…”

เมืองจวิ้นซานปั่นป่วนขึ้นมาอย่างสิ้นเชิง เหล่าประชากรโลกเทพจำนวนนับไม่ถ้วนแต่ละคนพากันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ระลอกคลื่นอันน่าหวาดหวั่นเมื่อครู่นี้ทำให้ฟ้าดินทั่วอาณาบริเวณของเมืองจวิ้นซานสั่นสะท้านไปหมด! ราวกับว่าในชั่วพริบตาก็จะทำให้ทั่วอาณาบริเวณของเมืองจวิ้นซานแหลกสลายไปอย่างไรอย่างนั้น

“หืม” ตงป๋อเสวี่ยอิงขมวดคิ้วมุ่นแล้วยืนขึ้นในทันใด

“ปรมาจารย์ ข้างนอกเกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” อวี้เฟิงชิงอินก็ตื่นตระหนกอยู่บ้าง

“อย่าได้กังวลใจไปเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดแล้วนำทางศิษย์เดินออกไปจากห้อง เขายืนอยู่บนทางเดินพลางมองท้องฟ้าไกลออกไปอยู่ห่างๆ เพียงปราดเดียวก็มองเห็นว่ากลางผืนฟ้าไกลออกไปมีเงาร่างที่แผ่กลิ่นอายสีแดงโลหิตสายหนึ่งอยู่ เมื่อเห็นแล้วสีหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“เป็นเขาหรือ ประมุขพรรคเงามารผู้เป็นลำดับที่เก้าในบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพอย่างนั้นหรือ เขามาทำอะไรที่เมืองจวิ้นซานกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งตกตะลึงทั้งสงสัย

ตนเองเป็นผู้มาจากภายนอกคนหนึ่งที่มาเยือนโลกแห่งนี้ ผู้ที่มีความแค้นต่อกันอย่างแท้จริงมีน้อยจนสามารถนับนิ้วได้

ประมุขพรรคเงามารผู้นี้กับตนจะต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันจึงจะถูกต้อง!

เช่นนั้น…

เหตุใดประมุขพรรคเงามารจึงมายังเมืองจวิ้นซานกันเล่า อีกทั้งยังเห็นได้ชัดเจนว่ามิได้มาดี!

……

ในขณะนี้

ประมุขพรรคเงามารยืนอยู่กลางเวหาของเมืองจวิ้นซาน กลิ่นอายอันไร้รูปร่างที่แผ่ออกมาทำให้ทั่วทั้งฟ้าดินสั่นสะเทือนไปหมด ทั่วทุกหนแห่งของทั้งเมืองจวิ้นซานที่อยู่เบื้องล่างล้วนสั่นสะเทือนไปหมด สิ่งปลูกสร้างมากมายทั่วเมืองจวิ้นซานพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง อาคารที่มีค่ายกลพยุงไว้อยู่ก็ยังสามารถต้านทานเอาไว้ได้ ประชากรโลกเทพจำนวนมากสีหน้าซีดขาว เพราะว่าความรู้สึกกดดันที่กลิ่นอายที่แผ่ออกมานั้นนำมา ทำให้ในใจของพวกเขาหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง

จักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์! นี่หมายถึงสิ่งมีชีวิตระดับขั้นที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเทพ ภายใต้ความนึกคิดเดียวของพวกเขาก็สามารถทำให้อาณาบริเวณล้านลี้กลายเป็นดินแดนที่พินาศย่อยยับได้แล้ว! บรรดาประชากรของเมืองจวิ้นซานคนไหนจะไม่หวั่นกลัวบ้างเล่า

“เป็นประมุขพรรคเงามาร”

“ประมุขพรรคเงามาร”

ผ้าคลุมกันลมสีแดงโลหิตผืนมหึมานั้น ผิวกายเคลือบคลุมด้วยสีแดงเข้มตลอดร่าง เขาเดี่ยวที่ดูคล้ายว่าจะทิ่มแทงทลายเวหา กับนัยน์ตาสีแดงโลหิตที่มองต่ำลงมายังเบื้องล่าง ภาพของประมุขพรรคเงามารนั้นเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่งแม้แต่ในบรรดาระดับจักรพรรดิเทพขั้นสมบูรณ์

ผู้แกร่งกล้ามากมายภายในเมืองจวิ้นซานล้วนจำตัวตนของผู้มาเยือนได้

เพราะว่าจำได้ จึงได้หวาดหวั่นไม่เป็นสุข!

ลำดับที่เก้าของบัญชีรายนามจักรพรรดิเทพอย่างนั้นหรือ

ผู้แกร่งกล้าระดับนี้…ไม่เคยมาเยือนเมืองจวิ้นซานมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์

“เหตุใดเขาจึงมายังเมืองจวิ้นซานเล่า” ‘ประมุขหอสิง’ ของหอจิตฟ้าแห่งเมืองจวิ้นซานรายงานขึ้นไปด้วยจิตใจไม่เป็นสุข

พรึ่บ! พรึ่บ!

เงาร่างสองสายทะยานออกจากจวนตระกูลอวี้เฟิง ซึ่งก็คืออวี้เฟิงจวิ้นซานและร่างแปรของอวี้เฟิงเหลย พวกเขาสองคนต่างก็ไม่เป็นสุขเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าประมุขพรรคเงามารขึ้นชื่ออยู่ข้างนอก

โหดเหี้ยมข่มพวกเขาสองคน พวกเขามิกล้านำร่างจริงไปพบ ด้วยเกรงว่าประมุขพรรคเงามารพลิกฝ่ามือเพียงครั้งเดียวก็จะล้างผลาญร่างจริงของพวกเขาสองคนได้แล้ว

“ท่านประมุขพรรคเงามารมายังเมืองจวิ้นซานของข้า ช่างเป็นเกียรติแก่เมืองจวิ้นซานของข้ายิ่งนัก” อวี้เฟิงจวิ้นซานคารวะอย่างเคารพนบนอบ “ข้าน้อยเจ้าเมืองจวิ้นซาน มิทราบว่าท่านประมุขพรรคเงามารมายังเมืองจวิ้นซานของข้าด้วยเรื่องอันใดกันหรือขอรับ ขอเพียงแค่มีบัญชาต่อสกุลอวี้เฟิงของข้า สกุลอวี้เฟิงก็จะพยายามสุดความสามารถอย่างแน่นอนขอรับ”

“มาหาพวกเจ้าถึงที่นี่ก็ย่อมมีธุระแน่นอนอยู่แล้วสิ”

เขาเดี่ยวของประมุขพรรคเงามารชี้ขึ้นเล็กน้อย เขากวาดสายตามองทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานรอบหนึ่ง จากนั้นก็หยุดลงบนทางเดินแห่งนั้นที่อยู่ในจวนหิมะเหินซึ่งอยู่ไกลออกไป บนร่างของชายหนุ่มอาภรณ์ขาวที่ยืนเคียงไหล่กับอวี้เฟิงชิงอิน

ในขณะนี้

ทั่วทั้งเมืองจวิ้นซานล้วนเต็มไปด้วยความเงียบสงัด ภายใต้ความกดดันของวิญญาณนั้น แม้กระทั่งบรรดาเด็กทารกเหล่านั้นก็ยังมิกล้าส่งเสียงร้อง ประชากรโลกเทพจำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็เงยหน้ามอง ‘ประมุขพรรคเงามาร’ ผู้อยู่กลางอากาศที่แผ่กลิ่นอายสีแดงโลหิตล้นฟ้าออกมา

“จักรพรรดิเทพหิมะเหิน ออกมารับความตายแต่โดยดี!” ประมุขพรรคเงามารเอ่ยปากพูด เสียงของเขาดังสนั่นราวกับสายฟ้าฟาด ระเบิดไปทั่วทุกหนแห่งในปราการเมือง ประชากรโลกเทพที่พลังยุทธ์อ่อนแอสักหน่อยบางคนต่างอดที่จะอุดหูแล้วล้มลงบนพื้นอย่างไม่รู้ตัวมิได้ หรือแม้กระทั่งหลายคนที่มีโลหิตรินไหลออกมาจากหู

“จักรพรรดิเทพหิมะเหินหรือ” อวี้เฟิงจวิ้นซานและอวี้เฟิงเหลยที่รอฟังบัญชาอย่างเคารพนบนอบอยู่ข้างๆ ต่างก็สีหน้าแปรเปลี่ยน

…………………………

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

Status: Ongoing
ในแคว้นอันหยางสิงแห่งชนเผ่าเซี่ย
มีดินแดนใต้อาณัติแห่งหนึ่งที่แสนจะเล็กและไม่สะดุดตา นามว่า ‘แดนอินทรีหิมะ’ เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากที่แห่งนี้ เมื่ออายุได้แปดปี บุพการีทั้งสองถูกพรากไปต่อหน้าต่อตา เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบุคคลอันเป็นที่รักกลับมา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนอย่างหนักวันแล้ววันเล่า หรือการผจญกับเหล่าสัตว์มารแสนอันตราย ล้วนมิอาจทำลายปณิธานอันแรงกล้านี้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท