บทที่ 2009 แขกไม่ได้รับเชิญ 5
“ท่าดัชนีดูถูกต้องแล้ว แต่การควบคุมพลังวิญญาณกลับไม่ได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น…เกิดข้อผิดพลาดได้ง่ายดายยิ่งนัก”
ตี้ฝูอีเอ่ยขัดเขา “ขอเพียงท่านสอนถูกต้อง ข้าไม่มีทางทำพลาด!”
หลงซือเย่ไม่วางใจ ให้เขาสาธิตอีกรอบ และระหว่างที่สาธิตก็ขอให้อธิบายอย่างชัดเจนว่ายามไหนสมควรใช้พลังวิญญาณเช่นใด…
ตี้ฝูอีมองเขาแวบหนึ่ง ทว่าไม่ได้พูดจาเป็นอื่น รีบแสดงให้ดูอีกครั้ง
ผลลัพธ์คือ การสาธิตครั้งนี้ของเขาเคลื่อนไหวคล่องแคล่วยิ่งกว่าเดิม ท่าดัชนียืดหยุ่นยิ่งขึ้น ส่วนการโคจรพลังวิญญาณยามไหนควรอ่อนยามไหนควรแข็งก็ไม่ผิดพลาดเลยสักนิด
เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว หลงซือเย่จึงไม่อาจพูดจาเป็นอื่นได้…
เดิมทีกู้ซีจิ่วค่อนข้างสะลึมสะลือ เพียงแต่ฝืนยื้อสติสัมปชัญญะเสี้ยวหนึ่งเอาไว้เท่านั้น
ตอนที่ตี้ฝูอีเพิ่งมาเธอไม่ได้ยินเสียงเลย ถึงอย่างไรตอนนี้ในหูเธอก็มีเสียงแว่วหึ่งๆ อยู่ตลอด สายตามืดมัว พร้อมสลบได้ทุกเมื่อ พละกำลังทั้งหมดของเธอล้วนจดจ่ออยู่กับการประคับประคองสติ…
และสาวใช้ที่ปรนนิบัติเธอถอดเสื้อผ้าที่ด้านในถึงอย่างไรก็ได้รับคำสั่งมาจากหลงซือเย่ ให้ถอดเสื้อผ้าเธอออกอย่างรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องสนใจอย่างอื่น
ถึงแม้สาวใช้ผู้นี้จะได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านนอก แต่นางคิดว่าแขกไม่ได้รับเชิญผู้นี้คงไม่บุกเข้ามา ดังนั้นนางจึงจับกู้ซีจิ่วเปลื้องผ้าจนเปลือยเปล่าเช่นเดิม…
จวบจนถึงยามที่ตี้ฝูอีซัดฝ่ามือเปิดประตู
สาวใช้ผู้นั้นสะดุ้งโหยง หากมิใช่เพราะได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี นางแทบจะกรีดร้องออกมาแล้วเนื่องจากตกใจเกินไป แม้กระทั่งผ้าห่มนางก็ลืมยกมาบังให้กู้ซีจิ่ว จวบจนตี้ฝูอีปิดประตูลงอีกครั้ง นางถึงได้สติกลับมา ลากผ้าห่มมาคลุมให้…
ส่วนกู้ซีจิ่วก็ตกใจจนได้สติกลับมาจากควาสะลึมสะลือแล้ว วินาทีที่มองเห็นตี้ฝูอี ในสมองเธอเกิดเสียงดังตู้ม! โลหิตอุ่นร้อนฉีดขึ้นสู่ใบหน้า ตัวคนตื่นตัวขึ้นไม่น้อยเลย…
ในใจนึกอยากพ่นออกมาเพียงสองคำเท่านั้น ‘เวรเอ้ย!’
ต่อมาบทสนทนาทั้งหมดของตี้ฝูอีและหลงซือเย่ก็แว่วเข้าหูเธอที่อยู่ในห้องทั้งหมด จนหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก…
อะไรคือการขว้างหินทับเท้าตัวเองน่ะหรือ? ก็แบบเธอนี่ไง!
ตอนที่เธอตามหาเจ้าเด็กเหลือขอคนนี้ เทียวไปเทียวมาก็ไม่ได้พบเขา ซ้ำยังไม่รับสายยันต์ถ่ายทอดเสียงของเธออีก ด้วยเหตุนี้จึงเธอทำให้เธอดั้นด้นไปที่หุบเขาล่องเมฆาแล้วเกิดข้อพิพาทใหญ่โตถึงเพียงนี้ขึ้น ได้รับบาดเจ็บหนักหนาถึงเพียงนี้
ตอนนี้เจ้าเด็กเหลือขอคนนี้กลับเป็นฝ่ายวิ่งแจ้นมาหาถึงที่…
ได้ยินตี้ฝูอีเสนอตัวต้องการลงมือรักษา กู้ซีจิ่วไม่รู้สึกยินดีเลย แต่ตอนนี้เธอแทบจะพูดไม่ออกแล้ว ยากนักกว่าจะเปล่งเสียงที่คล้ายกับยุงบินหึ่งๆ ออกมาได้สักนิด ทว่าแว่วไปไม่ถึงด้านนอก…
ในหูได้ยินบทสนทนาของสองคนที่อยู่ด้านนอกจบลงแล้ว และได้ยินตี้ฝูอีสั่งการหลงซือเย่ “ท่านออกไปซะ!”
ชัดเจนยิ่งนัก เด็กหนุ่มผู้นี้จะถอดเสื้อผ้าแล้ว เขาไม่อยากให้หลงซือเห็น…
หลงซือเย่จนปัญญา สั่งการสาวใช้ที่อยู่ในห้องให้เตรียมตัวกู้ซีจิ่วให้ดีๆ ก่อน จากนั้นถึงออกไป ก่อนจะออกไปยังกล่าวไว้ประโยคหนึ่งด้วย “หากฝ่าบาทพร้อมแล้วก็บอก ข้าจะได้ย้ายอ่างของท่านเข้าไปด้านใน”
“ไม่ต้อง ข้ามีวิธีของตัวเอง ท่านออกไปอารักขาด้านนอกได้แล้ว” น้ำเสียงตี้ฝูอีเยือกเย็น
ด้วยเหตุนี้หลงซือเย่จึงออกไปอย่างหม่นหมอง
ผ่านไปครู่หนึ่ง กู้ซีจิ่วก็ได้ยินตี้ฝูอีเอ่ยถาม “ด้านในเตรียมการพร้อมหรือยัง?”
สาวในนางนั้นจึงกึ่งโอบกึ่งประคองกู้ซีจิ่วเข้าไปในอ่างไม้ จัดให้เธอนั่งอยู่ข้างในดีๆ ถึงได้เอ่ยตอบ “ระ…เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
ด้วยเหตุนี้ ประตูจึงถูกเปิดออกอีกครั้ง
จากนั้นกู้ซีจิ่วที่อยู่ท่ามกลางไอน้ำลอยกรุ่นก็มองเห็นอ่างน้ำที่คล้ายจะมีปีกงอกออกมาใบหนึ่ง บินฝ่าอากาศเข้ามา ร่อนลงเบื้องหน้าเธออย่างมั่นคง
อ่างไม้สองใบประจันหน้ากัน เขาและเธอที่อยู่ในถังต่างหันหน้าเข้าหากัน
ทั้งสองคนสบตา หัวใจกู้ซีจิ่วเต้นแรงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด หัวใจเต้นผิดจังหวะไปหลายครั้ง
เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นเสินเนี่ยนโม่ในร่างผู้ใหญ่เต็มๆ ตาเช่นนี้…
——————————————————————–
บทที่ 2010 รักษา
เรือนผมดำขลับถูกรวบขึ้นอย่างที่พบเห็นได้ยากนัก ใช้ปิ่นหยกด้ามหนึ่งมุ่นไว้ บนหน้าสวมหน้ากากทรงผีเสื้อ มองเห็นเพียงเรียวปากบางสีแดงเรื่อได้รูปและดวงตาที่ลุ่มลึกปานหยกนิลคู่หนึ่ง
ร่างของเขาจมอยู่ในน้ำยาด้านในอ่าง เผยให้เห็นเพียงช่วงเหนือไหล่ขึ้นไป
ผิวผ่องเป็นยองใยปานแสงจันทร์ ทว่าไม่ได้ทำให้คนรู้สึกว่าอ่อนแอเลย เส้นสายลายเนื้อชัดเจน เปี่ยมด้วยความแน่นตึง
ลำคอระหง ไหปลาร้าเย้ายวน สองแขนเรียวยาวที่เปี่ยมด้วยพละกำลังพาดอยู่ที่ขอบอ่างทั้งสองข้าง ฟองที่เขียวครามเดือดปุดๆ อยู่ริมกายเขา สมุนไพรพลิกหมุนอยู่รอบกาย เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเขาแค่นั่งขัดสมาธิอยู่ในอ่างด้วยท่าทีสบายๆ แต่กลับทำให้ผู้อื่นรู้สึกหวั่นไหวอย่างยิ่ง
กู้ซีจิ่วยังไม่เท่าไหร่ ทว่าสาวใช้นางนั้นเห็นได้ชัดว่าตะลึงงันไปแล้ว ดวงหน้าพริ้มเพราเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด
“ออกไป!” ตี้ฝูอีเอ่ยออกมาสองคำ เห็นได้ชัดว่ากล่าวกับสาวใช้คนนั้น
สาวใช้นางนั้นยังคงคอยประคับประคองอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่ว หัวใจเต้นรัวปานตีกลอง ทว่ายังไม่อยากออกไป บังคับตัวเองให้เยือกเย็น “นี่…ไม่ได้เจ้าค่ะ แม่นางกู้ยังต้องการให้บ่าวค่อยช่วยเหลือ นางอ่อนแอเกินไป นั่งไม่อยู่…”
ตี้ฝูอีไม่พูดอะไรอีก เขาพลันขยับมือ ตวัดฝ่ามือเล็กน้อย ลำแสงสายหนึ่งส่องวาบขึ้น สาวใช้นางนั้นหวีดร้องคราหนึ่ง ร่างถูกรัดพันให้ลอยออกไป…
‘ปัง!’ ประตูห้องปิดลงอีกครั้ง ภายในห้องเหลือเพียงเขาและเธอ
ยามนี้ร่างกายของกู้ซีจิ่วอ่อนแอจริงๆ เมื่อไม่มีสาวใช้นางนั้นคอยประคองแล้ว เธอก็นั่งไม่อยู่ ร่างกายทรุดฮวบลงไปในน้ำทันที…
โชคดีที่ตี้ฝูอีมือไม้ว่องไวยิ่ง ในขณะที่โยนสาวใช้นางนั้นออกไป ก็ยื่นมือมาจับสองไหล่ของกู้ซีจิ่วไว้ ช่วยให้เธอนั่งตรงๆ
ฝ่ามือเขาแนบลงบนหัวไหล่เปลือยเปล่าของเธอ คล้ายจะแฝงอุณหภูมิเร่าร้อนสายหนึ่งไว้ด้วย
น้ำยานั้นเดิมทีก็ร้อนอยู่แล้ว แต่ฝ่ามือของเขาดูเหมือนจะร้อนกว่า ความร้อนนั้นราวกับจะซึมผ่านผิวตรงสองไหล่ของเธอ แทรกซึมเข้าสู่ชีพจร ทำให้แก้มที่เดิมทีซีดเซียวของเธอเจือสีแดงขึ้นมาจางๆ
หลังจากกู้ซีจิ่วแช่อยู่ในน้ำยา สติสัมปชัญญะก็แจ่มใสขึ้นไม่น้อยเลย
มองเห็นเสินเนี่ยนโม่อยู่ตรงหน้า ว่ากันตามจริงแล้ว หัวใจเธอเต้นกระหน่ำจนรู้สึกเจ็บบ้างแล้ว!
เธอไม่เข้าใจความคิดของเด็กคนนี้เลยจริงๆ เขาน่าจะรู้สิว่าเธอพูดแบบนั้นไปเพราะความโมโห แต่กลับคล้ายว่าจะถือเป็นจริงเป็นจัง ปฏิบัติต่อเธอราวกับเป็นว่าที่ภรรยาจริงๆ…
เธอบาดเจ็บจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เพื่อที่จะรักษา เธอต้องเสียค่าตอบแทนสูงเพียงใดก็ยอม สลัดข้อห้ามระหว่างชายหญิงทิ้งแล้วให้หลงซือเย่รักษาเธอ
หากว่ายามนี้ผู้ที่เข้ามาคือหลงซือเย่ เธอคงสงบใจได้ ให้ความร่วมมือกับเขาอย่างสุขุมได้
ตอนนี้ผู้ที่เข้ามากลับเป็นตี้ฝูอี…
“ใจลอยหรือ?” ตี้ฝูอีเอ่ยขึ้น
กู้ซีจิ่วฝืนเงยหน้ามองเขา แววตาปรากฏความจนปัญญาอย่างชัดเจน “เนี่ยนโม่…”
ตี้ฝูอีคลายฝ่ามือออก ปล่อยมือจากไหล่เธอ กู้ซีจิ่วจมลงไปอีกครั้งอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้
ลาดไหล่ ลำคอ ปลายคาง ริมฝีปาก…ส่วนที่เหลือจมอยู่ใต้น้ำ…
เมื่อเห็นจมูกของนางกำลังจะผลุบลงไปในน้ำยา เขาก็ยื่นมืออกมา จับสองไหล่ของนางไว้แล้วดึงนางขึ้นมาบนผิวน้ำอีกครั้ง
เขาคิดว่าจะได้เห็นแววตาตื่นตระหนกของนาง กลับคาดไม่ถึงว่าแววตาของนางจะสุขุมยิ่งนัก ราวกับผู้ที่กำลังจะจมน้ำไม่ใช่นาง สายตาที่มองเขาก็คล้ายมองเด็กน้อยซุกซนคนหนึ่ง…
ตี้ฝูอีค่อนข้างหงุดหงิด เอ่ยเตือนนางอีกครั้ง “เรียกข้าว่าเนี่ยนโม่!”
กู้ซีจิ่วไม่คิดจะต่อความปัญหาข้อนี้กับเขาแล้ว “ฝูอี เจ้า…”
วาจาท่อนหลังของเธอยังไม่ทันได้เอ่ยออกมา นิ้วหนึ่งของเขาก็จรดลงบนริมฝีปากเธอ “เจ้าไม่ต้องพูด เจ้าคิดจะพูดอะไรข้ารู้ทั้งนั้น เจ้าอยากบอกว่าถ้อยคำเหล่านั้นที่เจ้าเอ่ยต่อหน้าผู้อื่นล้วนพูดไปด้วยความโมโหใช่ไหม ไม่ได้ถือเป็นจริงเป็นจังเลย เจ้าเห็นข้าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง เจ้าเห็นข้าเป็นแค่ภารกิจใช่หรือไม่?”
——————————————————————