ลำนำบุปผาพิษ – บทที่ 1989+1990

บทที่ 1989+1990

บทที่ 1989 เกิดแรงกระตุ้นทางร่างกาย…

นางเขยิบเข้าไปสองก้าวอย่างอดใจไว้ไม่อยู่ ได้ยินน้ำเสียงที่เยียบเย็นลงของเสินเนี่ยนโม่พอดี ได้ยินเขาพูดประโยคหนึ่งรางๆ ว่า ‘เจ้าอย่าได้ตามหาข้าอีก! ข้าไม่สนใจจะทำภารกิจอันใดเป็นเพื่อนเจ้า…’

จากนั้น เสินเนี่ยนโม่ก็ตัดสายยันต์ถ่ายทอดเสียง หันกลับมา มองเห็นก่วนจิ่นหวายืนอยู่ไม่ไกลจากด้านหลังเขา

บนร่างเขาแผ่ไอเย็นเยียบ ยามที่มองมาคราหนึ่ง ก่วนจิ่นหวารู้สึกราวกับหัวใจแช่อยู่ในธารน้ำแข็ง ทำให้นางหนาวยะเยือกขึ้นมาอย่าน่าประหลาด

นางฝืนยิ้มแวบหนึ่ง “ศิษย์พี่ใหญ่ ผู้ใดหรือ?”

เสินเนี่ยนโม่ปรายตามองนางแวบหนึ่ง “ข้าพูดคุยกับผู้ใดแล้วมีหน้าที่ต้องรายงานเจ้าด้วยหรือ?” น้ำเสียงเยียบเย็นปานน้ำแข็ง

ก่วนจิ่นหวาเงียบงันไป

นางก็นับว่าเป็นสหายรวมทางกับเสินเนี่ยนโม่มาตลอด อยู่ด้วยกันมาค่อนวันแล้ว เขายังคงปฏิบัติต่อนางอย่างสุภาพ แต่ยามนี้เพิ่งผ่านไปนาน นางกลับถูกเขาดักคอสองหนแล้ว!

ความภาคภูมิใจในตัวเองของนางได้รับความเสียหายเล็กน้อย อยากจะเอ่ยอันใดอีก แต่เสินเนี่ยนโม่เดินผ่านนางเข้าไปในห้องแล้ว

นายน้อยผู้นี้กำลังอารมณ์ไม่ดียิ่งนัก เพราะอะไรกันล่ะ?

เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเมื่อครู่ตอนที่เขาเพิ่งออกมารับสายยันต์ถ่ายทอดเสียงยังดูค่อนข้างชื่นมื่นอยู่เลย เหตุใดคุยไม่กี่ประโยคก็กลับตาลปัตรไปเสียเล่า?

อีกฝ่ายเป็นใครกัน? สรุปแล้วคุยอะไรกันแน่?

เขาล้ำเลิศถึงเพียงนี้ สตรีที่ไล่ตามเขาจะต้องมีมากมายดังปลาไนในสายธารแน่นอน เป็นใครกันล่ะที่ก่อกวนอารมณ์เขาได้ถึงเพียงนี้?

คำถามมากมายผุดเข้ามาในสมองของก่วนจิ่นหวา ทว่าไม่มีผู้ใดแถลงไขแก่นางได้

เดิมทีงานเลี้ยงสมควรดำเนินต่อไป แต่เสินเนี่ยนโม่กลับอ้างว่าอ่อนล้า แล้วขอตัวออกจากงานเลี้ยงก่อน

ตัวหลักจากไปแล้ว งานเลี้ยงนี้ย่อมดำเนินต่อไปไม่ได้ เฟิงชิงซ่างเหรินใคร่ครวญดีแล้ว จึงให้ก่วนจิ่นหวารั้งอยู่ แล้วให้ศิษย์คนอื่นๆ แยกย้ายกันไป…

เฟิงชิงซ่างเหรินสอบถามถึงเหตุการณ์ระหว่างที่ก่วนจิ่นหวาไปรับเสินเนี่ยนโม่ ก่วนจิ่นหวารั้งอยู่ที่หุบเขาของอวี่หังเจินเหรินถึงหนึ่งวันเต็มๆ ได้ยินข่าวซุบซิบบางอย่างมา ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เริ่นจ้งเซิงผู้นั้นร่วมมือกับเสินเนี่ยนโม่ช่วยเหลือผู้คน

เรื่องซุบซิบเหล่านี้เป็นชิงหลัวที่เอ่ยขึ้นกับนางโดยไม่ได้ตั้งใจ ชิงหลัวเห็นเริ่นจ้งเซิงขัดตามาโดยตลอด ยามที่พูดเรื่องเหล่านี้ออกมาย่อมใส่สีตีไข่เข้าไปไม่น้อย เติมแต่งข้อมูลที่ไม่ดีเกี่ยวกับ ‘เริ่นจ้งเซิง’ อีก

ยามนั้นก่วนจิ่นหวารู้สึกว่า ‘เริ่นจ้งเซิง’ ผู้นี้เจ้าแผนการนัก ยามนี้พอทราบว่าอีกฝ่ายก็คือคนลึกลับหน้ากากผี ย่อมรู้สึกยิ่งกว่าเดิมว่าอีกฝ่ายช่างเจ้าเล่ห์เพทุบายยิ่ง ดังนั้นนางจึงเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้เฟิงชิงซ่างเหรินฟังอีกครั้งอย่างใส่สีตีไข่เข้าไปอีก…

ยิ่งฟังคิ้วของเฟิงชิงซ่างเหรินก็ยิ่งขมวดขึ้นเรื่อยๆ…

เท่าที่เขาทราบมา คนลึกลับหน้ากากผีผู้นั้นถึงแม้จะไม่ไปมาหาสู่กับผู้คนในดินแดนนี้ แต่นางยังคงร้ายกาจยิ่งนัก เมื่อคิดจะกระทำเรื่องใดแล้วไม่มีทางล้มเหลว หากว่านางหมายตาเสินเนี่ยนโม่จริงๆ เกรงว่าจะยุ่งยากเสียแล้ว…

….

หาได้ยากนักที่เสินเนี่ยนโม่จะไม่ฝึกฝนวรยุทธ์ แต่นอนเอกเขนกอยู่บนเตียง ยันต์ถ่ายทอดเสียงตรงหว่างเอวเปล่งแสงกะพริบอยู่พักหนึ่ง ชัดเจนยิ่งนัก คนผู้นั้นยังไม่ยอมแพ้ ยังคิดจะพูดเกลี้ยกล่อมเขาอยู่…

เขาหลับตาลงเล็กน้อย ไม่มีทีท่าว่าจะรับเลย

รับไปก็ไม่มีความหมาย ไม่มีอะไรนอกจากคำแก้ตัวชุดหนึ่งเท่านั้น

อันที่จริงตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสรุปแล้วรู้สึกเช่นไรต่อกู้ซีจิ่วกันแน่ ยามที่นางเป็นคนลึกลับเขาถูกนางเคี่ยวกรำจนกัดฟันกรอดๆ คล้ายจะชิงชังนัก แต่นางก็เป็นเริ่นจ้งเซิง…และเป็น ‘พี่สาว’ ที่ส่งเขากลับบ้านคนนั้นด้วย…

หลายปีมานี้มีเด็กสาวมาพัวพันรอบกายเขาไม่น้อยเลย ผู้ที่ต้องการตามตื๊อเขาก็มีมากมายเช่นกัน แต่เขาไม่สนใจเลย และไม่เคยเก็บมาใส่ใจ

แต่สตรีทั้งสามคนที่เป็นกู้ซีจิ่วจำแลงกายมา กลับมอบความใจสั่นที่แตกต่างกันไปให้แก่เขา สัญชาตญาณเขาต้องการจะเข้าใกล้นาง ต้องการกุมมืออีกฝ่าย ต้องการโอบกอดนาง ถึงขั้นที่ยามอยู่ร่วมกับนาง อารมณ์ของเขาจะหุนหันพลันแล่น เกิดแรงกระตุ้นทางร่างกายขึ้นมาอย่างน่าประหลาด…

————————————————————————————-

บทที่ 1990 แต่น่าตายนัก เขาปล่อยนางไปไม่ได้…

ถึงแม้เขาจะอายุหกขวบ แต่ร่างกายเป็นผู้ใหญ่โดยสมบูรณ์แล้ว จิตใจก็เป็นผู้ใหญ่เช่นกัน เขาย่อมทราบว่าความพลุ่งพล่านเช่นนี้ของตนสื่อถึงอะไร

แต่เขาไม่รู้ว่าเหตุใดตนจึงมีความรู้สึกเช่นนี้กับนาง…

จิตใต้สำนึกของเขาคาดหวังให้นางใส่ใจเขา ชอบเขา ดังนั้นยามที่ได้ยินนางพูดถึงกุหลาบแดง แสงจันทร์ขาว แก้วตาดวงใจอันใดนั้น เขาทั้งขบขันทั้งมีความสุขยิ่งนัก อารมณ์แช่มชื่นเกือบทั้งวัน

แต่อารมณ์ดีๆ นี้ก็เลือนหายไปหลังจากรับกระแสเสียงของนาง…

เขาเป็นเพียงภารกิจของนาง นางเห็นเขาเป็นแค่เด็กน้อย…

ยากจะจินตนาการยิ่งนักว่าคนอย่างนางก็รับภารกิจเป็นด้วย คนที่มอบหมายภารกิจให้นางคือผู้ใดกัน? เป็นผู้ใดถึงบังคับนางได้? เป็นไอ้สารเลวหน้าไหนกันที่กล้าบีบบังคับนางเช่นนี้?!

เขาหลุบตามองยันต์ถ่ายทอดเสียง ในที่สุดแผ่นยันต์ก็ไม่เปล่งแสง เห็นทีว่าในที่สุดนางก็รู้จักถอยแล้ว

เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก ค่อนข้างผิดหวังอยู่บ้าง

นอนตะแคงใคร่ครวญอยู่ตรงนั้น ด้วยอุปนิสัยของนาง น่าจะไม่ยอมวางมือกระมัง? นางต้องหาวิธีมาพบเขาแน่นอน…

เขาคิดวิเคราะห์เช่นนี้ ในใจก็มีความรู้สึกที่ไม่ทราบเช่นกันว่าคืออันใด คล้ายจะไม่อยากให้นางมาหาตน แต่ก็ตั้งตารอให้นางมาหาตน

เขาปฏิเสธนางเพียงเพราะอยากให้นางเข้าใจ เขาไม่อยากเป็นแค่ภารกิจของนาง…

อารมณ์ของเขาย้อนแย้งมากจริงๆ อีกฝ่ายโตกว่าเขามากนัก ดูเหมือนจะเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับบิดามารดาของเขา มีประสบการณ์โชกโชนเป็นแน่ วอแวเขาเพื่อทำภารกิจเช่นนี้ ทำให้เขารำคาญนัก…

แต่น่าตายนัก เขาปล่อยนางไปไม่ได้…

เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเขายังไม่อยากคิดเรื่องรักใคร่ชายหญิงเร็วแต่เนิ่นๆ เช่นนี้!

จู่ๆ เขาก็นึกถึงช่อดอกไม้ที่โยนในงานวิวาห์ของบิดามารดาขึ้นมา ยามนั้นซีจิ่วผู้นี้รับไว้ได้ และซีจิ่วก็พลาดพลั้งโยนมาถูกเขาเข้า ตอนนั้นเย่เทียนหลีหยอกล้อเขา บอกว่าเขามีชะตามงคล ยามนั้นเขาไม่เข้าใจว่าอันใดคือชะตามงคล แต่ตอนนี้พอนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งเขากลับใจสั่นเล็กน้อย คงมิใช่ว่าเขากับสตรีนามว่าซีจิ่วผู้นี้มีวาสนาต่อกันจริงๆ กระมัง?! นางคืออีกครึ่งหนึ่งของชีวิตเขาใช่หรือไม่?!

เขาตกตะลึงกับความคิดนี้ของตน

จากนั้น…ก็เริ่มใคร่ครวญอย่างจริงจัง…

จู่ๆ ยันต์ส่งกระแสเสียงอีกแผ่นที่หว่างเอวก็เปล่งแสงขึ้นมา เขาใจเต้นแวบหนึ่ง กดรับ เสียงหนึ่งแว่วออกมาจากยันต์ถ่ายทอดเสียง “พี่ฝูอี ข้าสืบพบที่พักของเจ้าวังน้อยผู้นั้นแล้ว!”

….

แสงตะวันอบอุ่น ยามเช้าเป็นช่วงที่สดใสที่สุดของวัน

ว่ากันตามจริงแล้วหากคิดจะบุกเข้าไปในสถานที่แห่งหนึ่ง คนส่วนใหญ่จะเลือกช่วงกลางคืน

กลางคืนมืดมิดลมแรง เป็นช่วงเวลาสังหารคนวางเพลิง

เนื่องจากทุกคนล้วนทราบกันดีว่าคนที่มีนิสัยเช่นนี้คือโจรขโมย ดังนั้นสถานที่มากมายที่ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นสอดส่อง เมื่อตกกลางคืนการคุ้มกันย่อมเข้มงวดกวดขันยิ่งขึ้น ตื่นตัวยิ่งขึ้น

ในครั้งนี้กู้ซีจิ่วจึงทำตรงข้ามกัน เธอเลือกช่วงเวลาที่ไม่น่าเป็นไปได้ที่สุด บุกมาชิงคนที่หุบเขาล่องเมฆา!

ยามนี้ นับตั้งแต่วันที่เธอติดต่อกับเสินเนี่ยนโม่ก็ผ่านมาสองวันแล้ว เหตุผลที่ไม่ได้มาตั้งแต่วันนั้น หนึ่งคือเนื่องจากกู้ซีจิ่วรู้สึกว่าควรให้เวลาเสินเนี่ยนโม่เสียหน่อย ถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งกราบเข้าสู่สังกัดของอาจารย์ มีเรื่องมากมายต้องจัดการ

สองคือเธอก็รู้สึกเช่นกันว่าหนังหน้าตนไม่ได้หนาถึงเพียงนั้น ขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทำให้ความคิดตนเข้ารูปเข้ารอยแล้วค่อยมา

ถึงอย่างไรหลังจากได้พบเจ้าเด็กน้อยคนนั้นแล้ว ก็ต้องสู้ศึกที่ยากลำบากอีก

เด็กน้อยต้องปฏิเสธเธออีกแน่นอน เธอต้องหาทางเกลี้ยมกล่อมเขา ถ้ากล่อมไม่ได้จริงๆ เธอก็จะปฏิบัติตามความคิดพิเรนทร์ของเจ้าหอยยักษ์เสียเลย ชิงตัวคนไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน!

กู้ซีจิ่วจึงบุกมา โดยโอบอุ้มจุดประสงค์เช่นนี้เอาไว้

ภายในหุบเขาล่องเมฆามีกลไกอยู่มากมาย ล้วนคิดค้นขึ้นโดยปรมาจารย์ด้านกลไกที่เลิศล้ำที่สุดของทวีปนี้ ถ้าไม่มีคนในคอยนำทาง คนธรรมดาอย่าหมายจะเข้ามาได้!

แต่กู้ซีจิ่วใช่คนธรรมดาเสียที่ไหน?

ดังนั้น…

กลไกเหล่านี้ไม่มีทางสกัดกั้นฝีเท้าของเธอได้

ด้วยเหตุนี้ ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เธอก็เข้าสู่ด้านในของหุบเขาล่องเมฆาได้แล้ว ขณะที่กำลังจะให้เจ้าหอยยักษ์จับกลิ่นตามหาคน เธอก็ถูกปิดล้อมแล้ว…

—————————————

ลำนำบุปผาพิษ

ลำนำบุปผาพิษ

Status: Ongoing
   เธอคือนักฆ่าสาวผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการมืด แต่ดันตายเพราะโดนคนที่เชื่อใจตลบหลัง! ไม่รู้ว่านรกชังหรือสวรรค์เป็นใจ เธอถึงตื่นขึ้นมาอีกครั้งในร่างเด็กสาวอัปลักษณ์ที่ถูกลวงให้เอาชีวิตมาทิ้ง ผู้คนในโลกนี้ยึดถือในเรื่องของพลังวิญญาณ ทว่าร่างนี้ไม่มีพลังวิญญาณอยู่เลยสักนิด เป็นสวะไร้ค่าชิ้นใหญ่ที่พบเจอได้ยากยิ่ง!! แต่ไม่มีพลังวิญญาณก็ไม่เห็นเป็นไร ร่างนี้มีเธอมารับช่วงต่อแล้ว เธอจะทวงคืนทุกอย่างแทนเจ้าของร่างเดิม ทวงเอาทุกสิ่งที่ควรมีกลับมา!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท