บทที่ 923 จี้จิ่งเชินกับเวินเที๋ยนเที๋ยน
เวินเที๋ยนเที๋ยนมองจี้จิ่งเชินอย่างงงงวย
จี้จิ่งเชินยืนยันอีกครั้ง “พวกเรามีลูกแค่คนเดียวก็พอแล้ว ผมไม่อยากให้คุณทรมานอีกแล้ว”
เวินเที๋ยนเที๋ยนส่ายหน้า
“ในอนาคตพวกเราจะมีลูกหลายๆ คน แบบนี้ปราสาทเก่าของพวกเราจะได้ไม่โดดเดี่ยว ลูกก็จะไม่โดดเดี่ยว”
เธอจินตนาการถึงตอนที่ทั้งสองคนผมหงอกหมดแล้ว มีลูกสาวลูกชายคอยดูแลปรนนิบัติ มีหลานๆ ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว วิ่งเล่นไปมาในปราสาทเก่าที่ใหญ่โตนี้ ใช้เสียงหัวเราะเติมเต็มความโล่งของปราสาทเก่านี้
ทั้งจี้จิ่งเชินและเธอล้วนมีวัยเด็กที่ไม่ค่อยสวยงามนัก โดยเฉพาะจี้จิ่งเชิน แบกรับความโดดเดี่ยวและความอาฆาตของพวกพี่น้อง ที่คิดจะทำทุกวิถีทางให้เขาตาย
เทียบกับเขาแล้ว แม้ว่าเวินเที๋ยนเที๋ยนไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่ แต่ยังมีผู้อำนวยการ มีเด็กๆ ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แม้ว่าจะมีคนอย่างเจียงหยู่เทียนที่คอยรังแกเธอ แต่คนจำนวนมากกว่าที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คอยช่วยเหลือประคับประคองซึ่งกันและกัน
เวินเที๋ยนเที๋ยนอยากมีลูกหลายคน
เพราะว่ามีแค่เธอที่รักจี้จิ่งเชินนั้นยังไม่เพียงพอ
เธออยากให้มีหลายๆ คนมารักเขาด้วยกัน
ความรักที่เพิ่มขึ้นหลายๆ เท่า
“เที๋ยนเที๋ยน”
เขาก้มหน้าลงเบาๆ แล้วจูบลงบนหน้าผากของเธอ
“นอนเถอะ”
เวินเที๋ยนเที๋ยนอยู่ในอ้อมกอดของเขา
“อืม……”
เข้าโรงพยาบาลนานขนาดนี้ วันนี้ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง ในใจเวินเที๋ยนเที๋ยนสงบสุขอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ไม่นานก็หลับลึกไปอย่างรวดเร็ว
อย่างฝันดี
วันต่อมา เวินเที๋ยนเที๋ยนยังไม่ทันได้ลืมตา ยกมือขึ้นลูบข้างๆ ตัว กลับไม่เจอร่างของจี้จิ่งเชินแล้ว เธอจึงลีมลืมตาขึ้น
“ก๊อกๆ”
เสียงเคาะประตูดังลอยมา เวินเที๋ยนเที๋ยน มองชุดนอนบนตัวก็ลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย
“เที๋ยนเที๋ยน ทานอาหารเช้าพร้อมแล้ว”
เป็นเสียงของหล่อนหลี
เวินเที๋ยนเที๋ยนชะงักไป คิดไม่ถึงว่าจะถูกคุณแม่ปลุก
“อืม หนูจะไปเดี๋ยวนี้”
เสียงอู้อี้ของเวินเที๋ยนเที๋ยนลอยมา
ที่จริงแล้วหล่อนหลีชอบบรรยากาศแบบนี้มาก ถึงอย่างไรเมื่อก่อนก็ไม่ได้สนิทกันแบบแม่ลูกทั่วไปแบบนี้มาก่อน
เธอเองก็อยากทดลองทำในสิ่งที่ขาดหายไปก่อนหน้านี้ เช่นแม่หวีผมให้ลูกสาว แม่ทำอาหารให้ลูกสาว ไปรับไปส่งเธอไปโรงเรียน หนึ่งในนั้นยังมีการปลุกลูกสาวที่เป็นเรื่องราวใหม่
เธอยิ้มออกมาแล้วหมุนตัวเดินลงไปทางชั้นล่าง
เวินหงหยู้ที่ตอนนี้กำลังอุ้มทารกน้อย ดวงตาโตสบตากับดวงตาเล็กพอดี
“ไหน ยิ้มหน่อยเร็ว” เวินหงหยู้หยอกเขา
ทารกน้อยเม้มริมฝีปากอย่างไม่ไว้หน้า ยื่นเป็ดน้อยสีเหลืองที่จับไว้ในมือไปตรงหน้าเวินหงหยู้
“ให้คุณตาเหรอ? เด็กดีจริงๆ”
หล่อนหลีมองเขาชอบเด็กขนาดนั้น ก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย เพราะเธอ ผู้ชายที่ดีเลิศคนนี้ถึงได้ต่อต้านการจัดการของตระกูลเวินมาโดยตลอด ยี่สิบปีที่ไม่แต่งงาน และไม่ได้ใกล้ชิดกับลูก
คนธรรมดาที่อายุพอๆ กับเขา ล้วนมีลูกกันไปหลายคนแล้ว
แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคุณตาแล้ว ถือว่าเป็นการชดเชยบางส่วน
“พวกเธอจะตั้งชื่อให้ลูกว่าอะไร?” เวินหงหยู้ถามจี้จิ่งเชินที่อยู่ข้างๆ
จี้จิ่งเชินเงยหน้าขึ้นพูด “ยังไม่ได้ตัดสินใจ”
พ่อบ้านเดินเข้ามาอย่างลึกลับ หยิบพจนานุกรมชื่อออกมาเล่มหนึ่ง ด้านข้างของพจนานุกรมชื่อมีกระดาษโน้ตติดอยู่หลายแผ่น
“คุณชาย คุณดูสิ คำว่า ‘หนิง’ เป็นอย่างไร? ความหมายแฝงคือสงบเสงี่ยม อ่อนโยน หวังว่าต่อไปในอนาคตคุณชายน้อยจะสงบสุข มีความสงบสุขุมสายตากว้างไกล”
จี้จิ่งเชินฟังชื่อดีๆ ที่พ่อบ้านชราเลือกมาหลายชื่ออย่างใจเย็น โดยไม่ได้พูดอะไร
ฉวีผิงที่ยืนอยู่ข้างเวินหงหยู้อยู่ไม่ไกล ได้ยินพ่อบ้านตระกูลจี้พูดน้ำไหลไฟดับ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขึ้นมา
“เป็นทายาทของตระกูลเวิน ตระกูลหล่อน ตระกูลจี้ ชื่อจะเจียมเนื้อเจียมตัวขนาดนั้นได้อย่างไร? ผมว่า ‘หลัน’ คำนี้ไม่เลว คลื่นลูกใหญ่ที่อลังการและยิ่งใหญ่”
พ่อบ้านของปราสาทเก่าได้ยินคำนี้แล้วกลับถลึงตาโพลง “จี้หนิงดีกว่า จะยิ่งใหญ่ขนาดนั้นไปทำไม? สงบและมีความสุขไปตลอดชีวิตถึงจะเป็นโชคดี”
ฉวีผิงที่เชื่องช้า น้ำเสียงเคร่งขรึมเรียบๆ นั้นในตอนนี้สะบัดขึ้นลงเล็กน้อย
“ชะตาชีวิตมันไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ชะตาชีวิตถูกกำหนดให้ท่องเที่ยวไปทั่วฟ้าดิน”
“จี้หนิง!”
“จี้หลัน!”
ทั้งสองคนพูดสลับกันไปมาเป็นร้อยๆ ครั้งต่อสู้เพื่อชื่อของคุณชายน้อย ล้วนคิดว่าชื่อของตัวเองนั้นดีที่สุด
ตั้งแต่เวินเที๋ยนเที๋ยนย้ายมาที่ปราสาทเก่า ทั้งสองคนก็เริ่มทะเลาะกันไม่หยุด
ถึงแม้ว่าจะพยายามกดเสียงเบาแล้ว แต่ก็ถูกเวินเที๋ยนเที๋ยนที่พึ่งเดินลงมาได้ยินเข้า
“พวกคุณกำลังเถียงอะไรกัน?” เวินเที๋ยนเที๋ยนยิ้มอย่างเหนื่อยใจ แล้วค่อยๆ เดินลงบันได
“ทุกคนคิดด้วยกันก็ได้แล้ว”
เธอสวมชุดกระโปรงสีฟ้าครามและพันผ้าพันคอผืนบางสีเดียวกันที่คอเพื่อเพิ่มความสง่างามยิ่งขึ้น
จี้จิ่งเชินวางหนังสือพิมพ์ในมือลง แล้วเดินเข้าไปยื่นมือออกไปข้างหนึ่งอย่างสุภาพ ประคองมือที่เวินเที๋ยนเที๋ยนมาส่งไปที่โต๊ะอาหาร
หล่อนหลีกับเวินหงหยู้นั่งอยู่นานแล้ว
“พี่เหยากับเด็กๆ ล่ะ?” เวินเที๋ยนเที๋ยนไม่เห็นพวกเขาที่เมื่อคืนได้นอนค้างที่นี่
จี้จิ่งเชินดึงเก้าอี้ออกให้เธอ พร้อมกับเอ่ย “เด็กๆ ต้องไปโรงเรียน ทานข้าวเรียบร้อยก็ไปกันแล้ว ผมให้คนขับรถไปส่งพวกเขาแล้ว”
เวินเที๋ยนเที๋ยนละอายใจเล็กน้อย เธอตื่นสายไปจริงๆ
เมื่อคิดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่คนร้ายอย่างจี้จิ่งเชิน และจัดผ้าพันคอที่คออีกครั้ง
มื้อเช้ามีเพียงเวินเที๋ยนเที๋ยน จี้จิ่งเชิน หล่อนหลีกับเวินหงหยู้ ทั้งสี่คนแยกนั่งเป็นสองฝั่ง พ่อบ้านยืนอยู่ข้างหลังเวินเที๋ยนเที๋ยนกับจี้จิ่งเชิน เชิดคางขึ้นเล็กน้อยแล้วชำเลืองสายตาจ้องฉวีผิงที่ยืนอยู่ด้านหลังหล่อนหลีกับเวินหงหยู้
ฉวีผิงเลิกคิ้วแล้วจ้องเขาเป็นครั้งคราว
เวินเที๋ยนเที๋ยนสังเกตเห็นความผิดปกติระหว่างพ่อบ้านทั้งสองคน จึงกระแอมเสียงเบา
“พี่จิ่ง พี่คิดชื่อได้แล้วหรือยัง?” เพื่อที่จะเลี่ยงไม่ให้ผู้เฒ่าทั้งสองคนต้องทะเลาะกันอีก รีบตั้งชื่อให้เรียบร้อยจะดีกว่า
เธอรู้ว่าทั้งสองคนหวังดีกับลูกน้อย ไม่อยากให้ทำร้ายไมตรีที่มีต่อกันเพราะชื่อชื่อเดียว
ที่นั่งอยู่ก็เป็นพวกเขาสองคนที่มีอายุมากที่สุด คนหนึ่งเหมือนเด็กซน อีกคนหนึ่งก็เข้มงวดและระมัดระวังกฎเกณฑ์เป็นพิเศษ
เพื่อชื่อเพียงชื่อเดียวถึงกับต้องยกเหตุผลมาถกเถียงกัน ราวกับเป็นเด็กเล็กสองคน
จี้จิ่งเชินขมวดคิ้วเล็กน้อย ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง
“หยู๋ชิง”
“อะไรนะ?”
จี้จิ่งเชินมองเธอแล้วก็มองลูกน้อยที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของเวินหงหยู้อย่างเชื่อฟัง ริมฝีปากบางก็เอ่ยขึ้นเบาๆ
“สามสิ่งที่ผมรักบนโลกนี้คือ
พระอาทิตย์ พระจันทร์ แล้วก็คุณ
พระอาทิตย์สำหรับกลางวัน พระจันทร์สำหรับกลางคืน
และคุณสำหรับตลอดไป”
เงียบไปสักพัก ก็เห็นแก้มของเวินเที๋ยนเที๋ยนขึ้นสีแดง จึงเอ่ยเสียงเบา
“ชื่อ ‘หยู๋ชิง’ เถอะ จี้หยู๋ชิง”
เวินเที๋ยนเที๋ยนชะงักไป คิดไม่ถึงว่าคำคำเดียวจะลึกซึ้งได้มากขนาดนี้
หยู๋ชิง หยู่หนี่
จี้หยู๋ชิง คือจี้จิ่งเชินกับเวินเที๋ยนเที๋ยน
เมื่อก่อนสร้างพิพิธภัณฑ์ให้เธอก็ตั้งชื่อว่า “เหว่ยชี” ตอนนี้ตั้งชื่อให้ลูก แถมคนอยู่เยอะขนาดนี้ แม้ว่าจะเป็นครอบครัวเดียวกันก็ทำให้รู้สึกหน้าร้อนได้เช่นกัน
จี้จิ่งเชินกลับวางเฉยเหมือนไม่ใช่เรื่องของตัวเองเสียอย่างนั้น
เวินเที๋ยนเที๋ยนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี จึงรีบยกน้ำผลไม้บนโต๊ะขึ้น
“ชื่อนี้ไม่เลว”
คนที่เอ่ยขึ้นมาคือเวินหงหยู้
เวินหงหยู้สุภาพเรียบร้อยมารยาทสง่างาม อ่านบทกวีมามากมาย ได้รับความเห็นชอบจากเขา ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมจริงๆ