แล้วบอกว่า “ฮูหยินน้อยใหญ่บอกว่า เวลานี้ให้ฮูหยินน้อยสามท่านดูแลตัวเองให้ดีๆ รอให้ผ่านไปสักสองสามเดือนจนคลอดคุณชายหลานรองอย่างปลอดภัยแล้ว รับรองว่านอกจากฮูหยินจะรักใคร่ท่าน เรื่องอื่นๆ ก็ล้วนนึกไม่ออกแล้วเจ้าค่ะ!”
เว่ยฉางอิ๋งฟังแล้วหัวเราะพู่ออกมา แล้วบอกกับบ่าวข้างกายว่า “พวกเจ้าฟังดูสิ ปากของเด็กคนนี้หวานหรือไม่?”
ทุกคนล้วนบอกว่าปากของซินซินหวานเหมือนน้ำผึ้งเช่นนั้น …เว่ยฉางอิ๋งจึงกำนัลเงินแท่งให้นางคู่หนึ่ง ทำเอาสาวใช้ตัวน้อยดีใจจนเกือบกระโดดร้องกรี๊ดขึ้นมา และไม่เหลือปากไว้พูดคำสิริมงคลอีก นางหวงจึงเรียกคนห่อขนมแป้งกวนให้นางเอากลับไปกินด้วย
รอจนซินซินไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงเอ่ยอย่างสลดหดหู่ว่า “เวลานี้มาคิดๆ ดูก็รู้สึกว่าข้าทำไม่ถูกต้องเลย”
“องค์หญิงอันจี๋ทั้งกล้าหาญทั้งมีเป็นจอมวางแผน ตามความเห็นของข้าน้อยแล้ว องค์หญิงหลินชวนและองค์หญิงชิงซินซึ่งเป็นที่รักของทั้งองค์ฮ่องเต้และฮองเฮาในเวลานี้ล้วนไม่อาจทัดเทียมองค์หญิงอันจี๋ได้ ยามนี้ฮูหยินน้อยท่านไปช่วยนาง แล้ววันหน้าจะไม่มีผลตอบแทนได้อย่างไรเจ้าคะ?” ความจริงแล้วนางหวงก็ไม่สนับสนุนให้ เว่ยฉางอิ๋งไปยุ่งกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทว่าเวลานี้ เว่ยฉางอิ๋งกำลังเสียใจ นางจึงปลอบโยนไปอีกว่า “อีกประการหนึ่ง ซินซินก็บอกแล้วว่าฮูหยินก็มิได้ตัดสินใจจะยกคุณหนูสี่ให้แก่คุณชายใหญ่บ้านฮั่วนี่เจ้าค่ะ ก็เพียงแค่เคยพิจารณาคุณชายใหญ่บ้านฮั่วเท่านั้น”
“ที่พูดมาก็เป็นเช่นนั้นจริง แต่ท่านแม่ก็ถึงกับให้พี่สะใภ้ใหญ่ไปสืบถามแล้ว เห็นได้ว่าอย่างน้อยๆ ก็เคยชื่นชอบเขามาก่อน” เว่ยฉางอิ๋งถอนหายใจคำหนึ่ง เอ่ยอย่างเป็นทุกข์ว่า “หวังแต่ว่าน้องหญิงสี่จะไม่โทษข้าเป็นพอ”
นางหวงยิ้มน้อยๆ บอกว่า “ฮูหยินน้อยท่านโปรดวางใจเถิด คุณหนูสี่เป็นคนร่าเริง ทั้งฮูหยินก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ แล้วจะไปบอกกับคุณหนูสี่ก่อนได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ?” หาไม่แล้ว หากพลั้งเผลอพูดเรื่องนี้ออกไปเพราะเสิ่นจั้งหนิงไม่ระวัง ต่อให้บ้านฮั่วเป็นฝ่ายส่งคนมาขอหมั้นหมายเอง แต่เสิ่นจั้งหนิงก็ยังต้องเสียหน้าอยู่ดี
ถึงแม้ว่า ฮูหยินจะทั้งตีทั้งดุด่าเสิ่นจั้งหนิง แต่ก็รักบุตรสาวคนนี้จากใจจริง ต้องไม่ยอมให้เกิดเรื่องผิดพลาดเช่นนี้กับนางเป็นแน่ …เรื่องที่แม่สามีรักใคร่บุตรสาวคนเล็กก็ส่วนรักใคร่ แต่วิธีการอบรบของนางก็เข้มงวดจนถึงขั้นรุนแรงเสียจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นฮูหยินซูก็ไม่เชื่อใจเสิ่นจั้งหนิงด้วย…
เว่ยฉางอิ๋งวางใจได้สักหน่อย จากนั้นก็สั่งความเรื่องงานในบ้านกับนางหวงไปสองสามคำ ดื่มนมแพะร้อนๆ ไปหนึ่งชาม พอหัวถึงหมอนก็หลับไป
เช้าวันต่อมา นางถูกปลุกขึ้นมาทั้งที่ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ทั้งนอกมุ้งในมุ้งล้วนจุดตะเกียง ได้ยินเสียงคนสองสามคนซุบซิบกันอยู่ข้างนอกฉากกั้นลม ระหว่างนั้นคล้ายยังมีคนร้องเสียงต่ำอย่างตกใจด้วย …เห็นชัดว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว!
เว่ยฉางอิ๋งใจหายวาบและตื่นขึ้นมาทันใด เอ่ยถามนางหวงที่จุดตะเกียงเข้ามาในมุ้งและเขย่าตัวนางให้ตื่นขึ้นมาว่า “เกิดเรื่องใด?”
แรกเริ่มนั้นข่าวที่นางหวงเล่าทำให้นางโล่งอก แล้วกลับตื่นตกใจขึ้นมาอีก …นางหวงอยู่ในอาการสงบ เอ่ยอย่างรวบรัดว่า “ฮูหยินรองบ้านเราเสียแล้วเจ้าค่ะ!”
“…อะไรนะ?” เว่ยฉางอิ๋งกลัวที่สุดว่าเสิ่นจั้งเฟิงจะเกิดเรื่อง รองลงมาก็เป็นห่วงว่าทางเฟิ่งโจวจะเกิดเรื่อง จากนั้นก็เป็นห่วงญาติๆ ฝั่งบ้านสามี เวลานี้ได้ยินว่าเป็นอาสะใภ้รอง นางจึงวางความกังวลใจเรื่องสามี ญาติที่เฟิ่งโจวและบ้านสามีลงก่อน แล้วจากนั้นก็ตื่นตกใจ! โพล่งออกไปว่า “เสียได้อย่างไร?”
นางหวงเล่าโดยสรุปว่า “คล้ายว่ากินของผิดสำแดงในวันปีใหม่ จนทำให้เกิดไส้ติ่งอักเสบ! บ่ายวานนี้ส่งคนไปเชิญ ท่านหมอเทวดาจี้ที่คฤหาสน์จี้ บังเอิญนักที่ ท่านหมอเทวดาจี้รำคาญที่ในเมืองพากันจุดพลุไฟในงานเทศกาลเสียงดังเกินไป จึงออกไปอยู่ที่เรือนรับรองนอกเมืองตั้งแต่ต้นเดือนสิบสองแล้วเจ้าค่ะ …แม้พวกบ่าวจะเร่งตามไปนอกเมือง แต่ก็จนใจเหลือที่ไม่รู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของเรือนรับรองของท่านหมอเทวดาจี้ จนถึงเมื่อครู่นี้จึงสิ้นลมแล้ว”
เว่ยฉางอิ๋งถามไปโดยไม่ทันคิดว่า “ตวนมู่ซินเหมี่ยวเล่า? เพราะอย่างไรนางก็เป็นหลานน้าร่วมตระกูล แม้ตวนมู่ซินเหมี่ยวจะห่างเหินกับคนในตระกูลเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็เบื้องหน้านั้นก็ยังคงคบหากันพอเป็นพิธีอยู่ และชื่อเสียงของนางก็ไม่ได้ย่ำแย่กว่า จี้ชวี่ปิ้งเท่าใดนัก …ต่อให้ตวนมู่ซินเหมี่ยวรักษาไส้ติ่งอักเสบไม่ได้ แต่อย่างไรก็ยังสามารถยื้อชีวิตเอาไว้ได้กระมัง? ยิ่งไปกว่านั้น ตวนมู่ซินเหมี่ยวก็น่าจะรู้ว่าเรือนรับรองนอกเมืองของจี้ชวี่ปิ้งอยู่ที่ใดกระมัง?
แต่แล้ว นางหวงก็บอกว่า “ปลายเดือนสิบสอง พระมารดาไช่อ๋องฝันถึงไช่อ๋องผู้เฒ่า จึงถวายฎีกาขอให้ไช่อ๋องไปกราบไหว้ที่สุสานของไช่อ๋องผู้เฒ่า คุณหนูตวนมู่แปดเป็นห่วงว่าพระมารดาไช่อ๋องและไช่อ๋องล้วนมีร่างกายอ่อนแอ หนทางที่ไปก็ไม่ราบเรียบเช่นในเมืองหลวง จึงร่วมเดินทางไปด้วยเจ้าค่ะ”
ไช่อ๋องผู้เฒ่า …เป็นพระยศของพระราขโอรสองค์ที่สี่ที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วของ ฮ่องเต้ และได้รับพระเมตตาอนุญาตให้ร่วมฝั่งอยู่ในสุสานหลวงด้วย…แม้จะเป็นสุสานที่ฮ่องเต้เตรียมไว้สำหรับตนเองก็ตาม จากเมืองหลวงถึงสุสานหลวงต่อให้เป็นม้าเร็วก็ยังต้องควบอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืน หากเทียบกับการไปรับตวนมู่ซินเหมี่ยวมา ยังมิสู้ฝากความหวังไว้ที่จี้ชวี่ปิ้งซึ่งอยู่ใกล้กว่าสักหน่อย
แต่เห็นชัดว่าสองศิษย์อาจารย์นี้ล้วนไม่อาจฝากความหวังใดได้
“แล้วแพทย์หลวงคนอื่นเล่า?”
“หัวหน้าสำนักแพทย์หลวงบอกว่าเขาทำสุดความสามารถแล้วเจ้าค่ะ” นางหวงเอ่ยเรียบๆ “นี่เป็นเรื่องที่จนปัญญาจริงๆ เจ้าค่ะ โรคไส้ติ่งอักเสบเช่นนี้ ต่อให้ท่านหมอเทวดาจี้ศิษย์อาจารย์ล้วนอยู่ที่นี่ ก็ยังจนปัญญาเจ้าค่ะ”
ไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตจริงดังว่า แต่โดยมากนั้นไส้ติ่งอักเสบมักเกิดจากกินดื่มของที่ไม่ถูกต้องเข้าไป อาสะใภ้รองของตนผู้นี้ก็มิได้เป็นคนตะกละตะกลาม ยิ่งไปกว่านั้นวันแรกของปีใหม่ ฮูหยินที่เป็นคนดูแลบ้านเรือนล้วนต้องวุ่นวายกันตัวเป็นเกลียวก้นหอย อาหารหลักสามมือก็ยังไม่ได้กินดีๆ ยิ่งไม่เอ่ยถึงเรื่องจะกินเสียจนเป็นไส้ติ่งอักเสบเลย…
เว่ยฉางอิ๋งพลันนึกถึงคำว่า “จนตรอก” ที่นางหวงพูดไว้ก่อนหน้านี้ แล้วมองดูท่าทีสงบเยือกเย็นเหลือเกินของนางในเวลานี้ คล้ายมีความคิดอยู่ในใจ จึงเอ่ยเสียงต่ำๆ ไปว่า “ท่านอา นี่มันเรื่องใดกัน?”
นางหวงไม่ปิดบังนาง พูดไปเรียบๆ ว่า “ฮูหยินรองลบหลู่ฮูหยินผู้เฒ่าต่อหน้าธารกำนัล มีคนได้ยินมากมาย ก่อนหน้านี้ก็มีตวนมู่อู๋เซ่อที่ทำให้คนตระกูลตวนมู่ทั้งตระกูลต้องเสียหน้าไปคนหนึ่งแล้ว บุตรสาวตระกูลตวนมู่หลายคนที่แต่งออกไปแล้ว เช่นฮูหยินน้อยรองในจวนของเราก็ต้องพลอยได้รับผลกระทบเพราะตวนมู่อู๋เซ่อไปด้วย แต่ละคนจึงกลับไปฟ้องบิดามารดาและพี่ชายของตน … ตระกูลตวนมู่ไม่ต้องการให้ชื่อเสียงของตระกูลต้องเสียหายเพราะบุตรสาวอีกแล้ว จึงรับปากกับฮูหยินผู้เฒ่าว่าจะเป็นคนลงมือเก็บกวาดเองเจ้าค่ะ”
เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “เรื่องก็มิใช่ว่าผ่านมาหลายเดือนแล้วหรอกหรือ?”
“ตระกูลตวนมู่บอกว่าครานั้นตวนมู่อู๋เซ่อเพิ่งจะถูกส่งตัวกลับจากตระกูลซ่ง หากในเวลาเดียวกันเกิดมีบุตรสาวตระกูลตวนมู่มาป่วยตายอีกก็จะดึงดูดความสนใจคนเกินไปเจ้าค่ะ” นางหวงเอ่ย “ด้วยเหตุนี้ ตระกูลตวนมู่จึงมาหารือกับฮูหยินผู้เฒ่าว่าให้รั้งรอไว้จนถึงยามนี้ ในเดือนหนึ่ง ทุกบ้านล้วนต้องวุ่นวายกับการฉลองปีใหม่ และไม่มีแก่ใจไปสอบถามรายละเอียดมากมาย ก็จะสามารถอำพรางเรื่องนี้ได้ง่ายสักหน่อย”
“โธ่!” ก่อนหน้านี้เว่ยฉางเจวียนคอยมาหาความนางหนแล้วหนเล่า นางตวนมู่ซึ่งเป็นอาสะใภ้ผู้นี้ก็คอยปกป้องบุตรสาว ทั้งยังออกปากลบหลู่ท่านย่า เว่ยฉางอิ๋งย่อมรู้สึกชิงชังแม่ลูกคู่นี้ยิ่งนัก ครั้งนั้นด้วยเหตุที่นางตวนมู่ด่าทอท่านย่า เว่ยฉางอิ๋งจึงตบตี นางตวนมู่ ส่วนนางหวงก็อาศัยจังหวะนั้นลงมือกับเว่ยฉางเจวียน …เว่ยฉางอิ๋งก็รู้สึกว่าสะใจเสียยิ่งนัก
แต่เวลานี้ เมื่อมาได้ยินว่าท่านย่าบอกกับตระกูลตวนมู่อย่างไม่ได้สะทกสะท้านอันใดว่าให้ไปบีบบุตรสาวบ้านตนให้ตายเอง นางกลับรู้สึกห่อเหี่ยวใจอย่างบอกไม่ถูก
นางใจลอยอยู่เป็นนาน จึงบอกว่า “จะอย่างไรก็เป็นอาสะใภ้รอง…ข้าก็คงไม่ไปไว้อาลัยไม่ได้กระมัง เรียกให้คนเอาเสื้อผ้าไว้ทุกข์มากเถิด”
_______________________