ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่สอง – ตอนที่ 97 เส้นทางของแรงหนุนแสนประเสริฐ
ตอนที่ 97 เส้นทางของแรงหนุนแสนประเสริฐ
โดย
Xiaobei
เพียงแต่ยังไม่ทันรอให้เจ้าบ้านเข้ามาช่วยไกลเกลี่ย กู้หน่ายเจิงก็เก็บพัดเข้าไปเสียงดังพรึ่บ แล้วเอียงตาไปมองตวนมู่อู๋ยิว จะขาดก็แต่เพียงไม่ได้เขียนคำว่าดูแคลนไว้บนใบหน้าเท่านั้น แล้วแค่นเสียงหึออกมาจากจมูก เอ่ยถามว่า “เจ้าจักสู้ตายกับข้า? เจ้าไม่เสียใจรึ?”
ตวนมู่อู๋ยิวยิ้มหยันกล่าวว่า “อย่างไรเล่า? ไม่กล้ารับปากแล้วรึ? เป็นผู้ใดมีนิสัยดังแม่นางน้อยกันแน่ ไม่กล้า…”
“น้องสี่ สู้!” กู้หน่ายเจิงขัดคำเขาอย่างไร้มารยาทของบุตรหลานตระกูลใหญ่โดยสิ้นเชิง แล้ววางท่าใหญ่โตพลางชี้มือไปทางกู้อีหรานที่ยังไม่ทันเก็บทวนปลายตุ้มดอกเหมยไป แล้วพูดไปอย่างเป็นปกติวิสัยยิ่ง “เจ้าหมอนี้ถึงกับกล้าท้าทายพี่ แล้วเจ้ายังจะทนได้หรือ?… ชกมันหนักๆ ให้พี่ชายเร็ว! โดยเฉพาะชกหน้ามัน ชกให้มันยับไปเลย ดูซิว่าวันหน้ามันยังจะกล้าแบกหน้าตาเช่นนี้ไปแย่งหญิงงามในหอคณิกากับพี่ชายหรือไม่!”
เดิมทีกู้อี้หรานก็กำลังปาดเหงื่ออยู่ ได้ยินคำก็เกือบจะทำหอกปลายตุ้มดอกเหมยทุบหลับเท้าตนเอง เหงื่อก็พลันไหลอาบลงมาดังสายฝน เขาฝืนยิ้มกล่าวว่า “พี่ใหญ่ชอบพูดเรื่องตลกจริงๆ อากาศร้อนเพียงนี้ พวกเรามิสู้เข้าไปสนทนากันในเรือนดีกว่า?” ท่านพี่ ดีชั่วท่านหน้าไม่อาย ทว่าข้าก็ยังมียางอายอยู่ตกลงหรือไม่!
ตวนมู่อู๋ยิวยิ่งถูกยั่วให้โกรธจนแทบกระอักเลือด “ข้าจะสู้กับเจ้าให้ตายไปข้างหนึ่ง ก็ด้วยเจ้าเอ่ยปากลบหลู่ข้า! ยามนี้เจ้าไม่เพียงสั่งให้พี่จื่อหมิงมาลงมือกับข้า ยังลากเหตุผลไปถึงหญิงงามในหอคณิกาโน่นอีก… เจ้าเห็นข้าอยู่ในสายตาหรือไม่กันแน่?!”
จากความเข้าใจที่เว่ยฉางอิ๋งมีต่อกู้หน่ายเจิง คำถามของตวนมู่อู๋ยิวประโยคนี้ออกจะอันตรายไปหน่อย ปรากฏว่ากู้หน่ายเจิงมองเขาอย่างเย้ยหยันหนหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัวว่า “เจ้าน่ะ หนึ่งมิใช่คุณหนูผู้ดีที่งดงามดังดอกมู่ตานหอมหวนไปทั่วฟ้าอันใด สองมิใช่สาวชาวบ้านที่งดงามดังดอกมู่ตานหอมหวนไปทั่วฟ้าอันใด สามมิใช่หญิงงามเมืองในหอคณิกาที่งดงามดังดอกมู่ตานหอมหวนไปทั่วฟ้าอันใด สี่มิใช่หญิงม่ายที่งดงามดังดอกมู่ตานหอมหวนไปทั่วฟ้าอันใด ห้ามิใช่เด็กหญิงตัวน้อยที่งดงามดังดอกมู่ตานหอมหวนไปทั่วฟ้าอันใด… ข้าก็หาได้นิยมบรุษเพศ ต่อให้เจ้าหน้าตางดงามน่ารักปานใด แต่อย่างไรก็เป็นชาย! เห็นเจ้าอยู่ในสายตา แล้วจักมีค่าอันใด?”
“น้องอู๋ยิว! ใจเย็น! โปรดใจเย็นๆ ก่อน ที่นี่เป็นเรือนหลังใหม่ของน้องย้าวเหยี่ย เจ้าดูสิน้องสะใภ้เว่ยก็ยังอยู่ที่นี่ด้วย หากไม่เห็นแก่หน้าน้องย้าวเหยี่ย ก็เห็นแก่หน้าน้องสะใภ้เถิด! เจ้าอย่าได้ถือสาหาความกับพี่จื่อเลี่ย พี่จื่อเลี่ยเอ่ยคำไม่สมควรจริงๆ ทว่าพวกเราก็ล้วนรู้จักนิสัยนี้ของเขา …น้องอู๋ยิว ใจเย็นเถิด!!!” คนทั้งกลุ่มช่วยกันใช้ทั้งมือทั้งเท้ากอดตวนมู่อู๋ยิวที่ถูกยั่วให้โกรธจนแทบคลั่งเอาไว้ ข้างฝ่ายกู้อี้หรานก็ดึงแขนเสื้อของกู้หน่ายเจิงและลากเขาไปที่ประตูอย่างสุดชีวิต “พี่ใหญ่ ข้าเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าพวกเรามีเรื่องสำคัญที่ยังไม่ได้ทำ! จักต้องรีบไปเสียในทันใด! ส่วนเป็นเรื่องใดนั้นพวกเราออกไปก่อน รอจนไปจากที่นี่แล้วข้าค่อยคิด…ไม่สิ! คือรอให้ไปจากที่นี้ข้าค่อยบอกท่าน!”
เว่ยฉางอิ๋งเหม่อมองกู้หน่ายเจิงที่ไม่ได้มีท่าทีสำเหนียกเลยแต่อย่างใดว่าตนก่อเรื่องราวใหญ่โตเข้าให้แล้ว หากแต่ยังคงดิ้นรนอยู่ในมือของกู้อี้หรานอย่างสุดชีวิต แล้วตวาดเต็มแรงว่า “ไม่ไปๆ! ข้ายังไม่ทันได้ดูแหลนอันใหม่ของน้องย้าวเหยี่ยให้ละเอียดเลย …แหลนที่ดีเพียงนี้ จะไม่มีบทกวีเชิดชูได้อย่างไร? ข้าจักต้องอยู่ชื่นชมแหลนด้ามนี้ให้ดีๆ ให้จงได้ แล้วก็ต้องทานข้าวที่นี่ ดูซิว่าฝีมือห้องครัวของน้องสะใภ้เป็นเช่นใด และอบรมสาวใช้ได้อ่อนโยนเอาอกเอาใจเพียงใด… จากนั้นก็อาศัยฤทธิ์สุราเขียนบทเชิดชูแหลนสักบท เช่นนี้จึงไม่ทำให้การมาในวันนี้ของข้าเสียเปล่า …เจ้ารีบปล่อยมือเสียไวๆ!”
เคราะห์ดีที่แม้ว่ากู้อี้หรานจะเป็นน้อง ทว่าความสามารถกลับมีมากกว่าพี่ชายร่วมตระกูลที่ปากคอเราะร้ายผู้นี้ยิ่งนัก ไม่ว่ากู้หน่ายเจิงจะดิ้นรนเพียงใด ก็ยังคงลากเขาไปที่หน้าประตูเรือนอย่างไม่ไหวติง… เมื่อผ่านมาถึงข้างๆ เว่ยฉางอิ๋ง กู้อี้หรานขอขมานางด้วยท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเต็มทน “น้องสะใภ้เว่ย เมื่อครู่นี้ต้องขออภัยจริงๆ ข้าไม่ทราบว่าเจ้าก็จะออกมา จึงใช้กลไกในทวนตามความเคยชินที่เคยฝึกยุทธ์กับน้องย้าวเหยี่ยมาก่อนหน้านี้ แต่กลับทำเจ้าตกใจ!”
กู้อี้หรานและกู้หน่ายเจิง …แม้มิใช่พี่น้องแท้ๆ ทว่าก็เป็นคนตระกูลเดียวกัน ผู้หนึ่งเป็นบุตรชายบ้านใหญ่ในสายรอง อีกคนเป็นบุตรชายบ้านใหญ่ในสายหลัก ทว่าสองพี่น้องนี้กลับเกิดมาเพื่อเปรียบเทียบให้ผู้อื่นดูโดยเฉพาะ ผู้หนึ่งสุขมเยือกเย็น อีกผู้หนึ่งยโสหยาบคาย ผู้หนึ่งเรียบร้อยมีมารยาท อีกผู้หนึ่งไร้ซึ่งมารยาทใดๆ ผู้หนึ่งวรยุทธแก่กล้า อีกผู้หนึ่งฝีมือชั้นสวะ …แต่ที่น่ากลัวก็คือ กู้หน่ายเจิงต่างหากที่เป็นบุตรชายบ้านใหญ่ในสายหลักซึ่งมีชาติกำเนิดสูงส่ง!
มองดูสองพี่น้องที่อยู่ตรงหน้า เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกแต่เพียงยิ่งปวดหัวมากขึ้น นางฝืนยิ้มกับกู้อี้หรานและเอ่ยกลบเกลื่อนไปว่า “พี่จื่อหมิงกล่าวหนักไปแล้ว จะว่าไปก็เพราะข้าเองที่ขวัญอ่อน ไม่อาจโทษพี่จื่อหมิงได้เจ้าค่ะ…”
“ข้าก็บอกแล้วอย่างไร คราก่อนที่ทะเลสาบหญ้าฤดูใบไม้ผลิ หญิงเก็บบัวสิบกว่าคนที่ถูกทำให้เสียโม จักต้องเป็นน้องสะใภ้ลงมือแน่!” เพราะต้องการขอขมากับเว่ยฉางอิ๋ง กู้อี้หรานจึงหยุดดึงตัวกู้หน่ายเจิงไปที่ประตูพักหนึ่ง ขณะนั้นเองกู้หน่ายเจิงยืนอยู่ทั้งถูกเขาดึงแขนเสื้อจนบิดเบี้ยวไปหมด จึงรีบจัดแจงเสื้อผ้าอย่างลนลาน และเอ่ยแทรกเข้าไปอย่างขัดเคืองว่า “น้องสะใภ้มือหนักใจเด็ดเพียงนี้ ลงมือเพียงครั้งก็ทำคนสิบกว่าคนเสียโฉมได้! คนเช่นนี้หรือจะนำมาเทียบกับสตรีชั้นสูงทั่วไปได้? เหตุการณ์เมื่อครู่นี้น่ะหรือจะทำให้น้องสะใภ้ตื่นตกใจ น่าขำจริงๆ! น่าขำ! น่าขำเป็นที่สุด!”
แล้วยังมายักคิ้วหลิ่วตาใส่เว่ยฉางอิ๋ง พร้อมท่าทีสบายอกสบายใจ กล่าวว่า “น้องสะใภ้ ข้าพูดถูกใช่หรือไม่?”
แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดเรื่องที่หญิงเก็บบัวทั้งกลุ่มถูกทำร้ายพอเล่าไปเล่ามาจึงกลายมาเป็นตนเองลงมือไปเสียได้ ทั้งที่คนลงมือจริงๆ เป็นเสิ่นจั้งเฟิงต่างหาก ซึ่งเว่ยฉางอิ๋งเองก็ไม่สนใจที่จะรับผิดนี้แทนสามี เพียงแต่นางยังพอฝืนยิ้มกลบเกลื่อนให้แก่กู้อี้หรานได้ ทว่ากับฝ่ายกู้หน่ายเจิงนั้นกลับยิ้มไม่ออกเลยจริงๆ เว่ยฉางอิ๋งเอ่ยห้วนๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ ว่า “พี่จื่อเลี่ย กลับดีๆ ข้าไม่ส่ง!”
ดูท่าทีประหนึ่งไล่ผีของนางแล้ว กู้อี้หรานรู้สึกอับอายเป็นนักหนา พลันหันไปหานางและเอาฝ่ามือกุมหมัด แล้วลากกู้หน่ายเจิงกำลังจะออกไป …แต่เป็นตายอย่างไรกู้หน่ายเจิงก็ไม่ยินยอม คล้ายว่าเขามองไม่ออกสักน้อยเลยว่าเว่ยฉางอิ๋งไม่ต้อนรับเขา ยังพยายามหันมาขอความช่วยเหลือจากเว่ยฉางอิ๋งอย่างสุดแรงเกิด “น้องสะใภ้ ข้ามาเป็นแขกของเจ้าที่นี่นะ กู้จื่อหมิงไอ้เจ้าน้องไม่ได้ความ กลับคิดจะลากข้ากลับ! ไร้เหตุผลสิ้นดี! กลับไปข้าจักต้องสั่งสอนเขาให้ดีเชียว! น้องสะใภ้ช่วยให้ข้าอยู่ต่อเร็วเข้า ข้าจักต้องเขียนบทเชิดชูแหลนที่ต้องเป็นที่โจษจันไปแสนนานให้น้องย้าวเหยี่ยสักบท… ซึ่งก็ย่อมต้องดูว่าสาวใช้ที่น้องสะใภ้ส่งมาปรนนิบัติรินสุราจะงดงามเป็นที่โจษจันไปแสนนานเพียงพอหรือไม่… น้องสะใภ้…”
ฟังจากน้ำเสียงของเขากลับยังคงเบิกบานใจ เว่ยฉางอิ๋งอยากจะวิ่งไล่ตามไปบีบคบเขาให้ตายเสียเหลือเกิน!
ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเหตุใดเจ้าหมอนี่ยังคงพูดออกมาได้อย่างมีความสุขในเวลาเช่นนี้ เขาไม่เห็นเลยจริงๆ หรือว่าตวนมู่อู๋ยิวที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งสะบัดคนที่จับตัวเขาไว้ออกไปกี่หนแล้ว แม้แต่เสิ่นจั้งเฟิงก็ยังถูกผลักออกมาเสียตั้งหลายครา และกำลังหาทางสู้ตายกับเขาอยู่?
เด็กหนุ่มรูปงามหมดจดดีๆ คนหนึ่ง เวลานี้กลับถูกยั่วโมโหจนประหนึ่งเป็นวัวบ้า หน้าแดงคอโป่งหนา พยายามหาช่องว่างระหว่างตัวคนรอบๆ ทิศหาร่องรอยของกู้หน่ายเจิง… ดูอาการของตวนมู่อู๋ยิวในเวลานี้ หากเขาหากู้หน่ายเจิงพบเข้าจริงๆ เขาจะต้องเอาแส้แข็งตีหัวกู้หน่ายเจิงจนเละเป็นแน่!
เว่ยฉางอิ๋งนึกไปถึงว่าวันหน้าคนทั้งสองยังต้องมาเป็นดองกัน หนังหัวนางก็พลันชาขึ้นมาทันใด แล้ววันหน้าจะให้ซูอวี่ลี่และซูอวี่เฟยคบหากันได้อย่างไร?
แล้วคิดถึงคำพูดที่กู้อี้หรานพูดออกมาเป็นชุดๆ ติดต่อกันประหนึ่งธนูกลว่า ‘งดงามดังดอกมู่ตานหอมหวนไปทั่วฟ้า’ เว่ยฉางอิ๋งร้อนรุ่มจนอยากจะวิ่งปรี่ไปที่จวนตระกูลซูเพื่อขอให้ท่านอาเว่ยเจิ้งอินยกเลิกงานแต่งของซูอวี่ลี่และกู้หน่ายเจิงเสียให้ได้! เพราะไอ้เจ้ากู้หน่ายเจิงนี่เจ้าชู้จนถึงขั้นไม่ได้สนใจแค่เพียงจะเป็นคุณหนูผู้ดี หรือหญิงชาวบ้าน หรือหญิงงามเมืองในหอคณิกาเท่านั้น ไม่แบ่งชั้นสูงต่ำก็ยังแล้วไป …เขา เขา เขา แม้แต่หญิงแม่ม่ายเขาก็ยังไม่ละเว้น!
กระทั่งเด็กหญิงเล็กๆ ก็ยังไม่ละเว้น….
นี่มันคู่หมั้นชนิดใดกัน!!!
เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกเศร้ามาจากหัวใจ หรือว่าลูกผู้พี่แท้ๆ ของตนล้วนไม่อาจหลีกพ้นชะตากรรมแสนเศร้าที่ต้องแต่งงานกับคนที่ไม่ถูกต้อง? ซ่งไจ้สุ่ยเป็นดังนี้ ซูอวี๋ลี่ก็เป็นดังนี้!
นางว้าวุ่นใจอยู่พักใหญ่ จึงสงบอารมณ์ลงได้ และในที่สุดทุกคนทางโน้นก็สามารถปรามตวนมู่อู๋ยิวให้สงบลงได้สักน้อย… และยามนี้ก็คาดว่ากู้อี้หรานคงจะลากกู้หน่ายเจิงไปได้ไกลแล้ว คนทั้งกลุ่มที่กำลังวุ่นวายสับสน มีเหงื่อไหลไคลย้อยท่ามกลางดวงอาทิตย์ยามอัสดงจึงค่อยๆ ปล่อยมือจากเขาอย่างระมัดระวัง …เดิมทีทุกคนพากันมาวันนี้ก็เพื่อมาเยี่ยมเสิ่นจั้งเฟิงที่ลาป่วย เวลานี้เสิ่นจั้งเฟิงก็ขอให้ภรรยามาทำความรู้จักกับทุกคน ปรากฏว่าเพราะกู้หน่ายเจิงและตวนมู่อู๋ยิว ยังไม่ทันได้ทำความรู้จัก แต่กลับเป็นการแสดงวรยุทธไปยกหนึ่งแทน จนเกือบจะหลั่งเลือดในเรือนหลังใหม่ของชาวบ้านที่เพิ่งงานได้ไม่นานเสียแล้ว
ยามนี้เมื่อมองไปยังเสิ่นจั้งเฟิงซึ่งกำลังจัดแจงเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยขณะเข้าไปขัดขวางตวนมู่อู๋ยิว และเว่ยฉางอิ๋งที่สีหน้ายากจะบรรยายได้ซึ่งกำลังยืนอยู่นอกกลุ่มคนด้วยท่าทีไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยสิ่งใดทำสิ่งใดดี ทุกคนล้วนรู้สึกผิดเป็นหนักหนาอยู่ในใจ ล้วนพากันขอร้องเสิ่นจั้งเฟิงอย่างขัดเขินว่าให้ช่วยแนะนำทั้งสองฝ่ายใหม่อีกหน
เสิ่นจั้งเฟิงจัดแจงเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว และเดินมาข้างๆ เว่ยฉางอิ๋ง รวบรวมสติและแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน…
ความจริงแล้วคนที่มาเยี่ยมในวันนี้ นอกจากกู้อี้หรานซึ่งลากกู้หน่ายเจิงกลับไปก่อนแล้ว ก็มีหลายคนที่เว่ยฉางอิ๋งเคยพบมาก่อนหน้านี้ ลูกผู้น้องซูอวี่เหลียงและซูอวี๋อู่ก็ไม่ต้องพูดแล้ว ทั้งเติ้งจงฉีที่เคยช่วยนางไว้คราก่อน และกู้เวยซึ่งเคยพบพร้อมกับกู้อี้หรานเมื่อวันกลับบ้านก็อยู่ในจำนวนนี้ด้วย
นอกจากนี้อีกสองสามคนแม้จะไม่เคยพบมาก่อน แต่ก็เคยได้ยินมาก่อน อย่างเช่นเหนียนเซิงย้าวที่เคยล้วงเกินบุตรสาวของหมิ่นจือเสียซึ่งนางอาจคือหมิ่นอีนั่ว ในเสียงเล่าลือนั้นว่าเหนียนเซิงย้าวผู้นี้เจ้าชู้ประตูดินยิ่งนัก ครั้งยังเป็นเพียงคนธรรมดาก็กล้าเข้าไปเกี้ยวพาคุณหนูในบ้านขุนนาง แต่ยามนี้ได้มาเห็นเขากลับเป็นชายรูปงามรูปร่างสูงใหญ่ คิ้วและตาดูยิ่งใหญ่ซื่อตรง มองไม่ออกเลยสักน้อยว่าจะเป็นคนเจ้าชู้เป็นชีวิตจิตใจ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอัปลักษณ์เลยด้วยซ้ำ …เว่ยฉางอิ๋งพึมพำอยู่ในใจว่าไม่อาจมองคนแต่ภายนอกจริงๆ ..เมื่อคราก่อน ที่สุดก็ต้องยกลู่จูให้เขาไปจริงๆ และไม่รู้ว่าเวลานี้ไปอยู่เรื่องหลังของคนผู้นี้จะเป็นอย่างไรบ้าง
นอกจากนี้ก็มีหลิวซีสวิน หลิวยิ้วเจ้า เผยไค่ที่เคยได้ยินชื่อมาก่อนก็อยู่ในจำนวนนี้ด้วย หลิวซีสวินรู้ร่างกกำยำสูงใหญ่ ลำพังดูรูปร่างเช่นนี้ ผู้ใดก็ล้วนคาดเดาไปว่าเขาเป็นคนที่ลุ่มหลงในวรยุทธ สองคิ้วหนาของเขาชี้ขึ้นเหมือนหนวด ดวงตาสดใสมีพลัง น้ำเสียงดังกังวาน ดูเป็นคนมีนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา
หลิวยิ้วเจ้าซึ่งเป็นน้องชายร่วมตระกูลของเขา เป็นเด็กหนุ่มที่ยังไม่ได้เกล้าผม จึงมีรูปร่างผิดกับเขา คงเพราะอายุของหลิวยิ้วเจ้า เขาจึงมีรูปร่างขนาดกลาง หน้าตาดูสุขุมเรียบร้อยนัก โดยเฉพาะเมื่อเขายืนอยู่ข้างหลิวซิสวิน ยิ่งมองเห็นว่าความสุขุมมีมารยาท ทำให้คนเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าเขาเป็นคนบอบบางโรยแรง
เพียงแต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่เสิ่นเตี๋ยเล่า ว่าคนผู้นี้ใช้ค้อนปาเป่าดอกเหมย… อีกทั้งเมื่อครั้งประลองยุทธหน้าพระพักตร์ก็ยังเกือบสังหารเผยไค่ที่ยามนี้ยืนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล เว่ยฉางอิ๋งจึงไม่กล้ามองเขาเป็นเพียงบัณฑิตเคร่งตำราได้จริงๆ และลอบเอ่ยในใจอีกคราว่าไม่อาจมองคนแต่ภายนอก
เผยไค่ซึ่งเป็นคนที่เข้ามาพบปะเป็นคนสุดท้าย เห็นชัดว่าเขาออกจะมีท่าทีระมัดระวังตัว แต่เพราะกู้อี้หราน เติ้งจงฉี กู้เวย ล้วนมีชาติกำเนิดในตระกูลใหญ่เช่นกัน แต่ทุกคนดูมีท่าทีผ่อนคลายเป็นธรรมชาติยิ่ง มีเพียงเผยไค่ที่ดูระมัดระวังตัวกว่าคนอื่น เว่ยฉางอิ๋งอดรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยไม่ได้ ในขณะที่คารวะตอบจึงตั้งใจมองดูเขาหลายหน แต่กลับเห็นว่าเผยไค่ผู้นี้มีท่าทีสง่าผ่าเผย ไม่เห็นมีที่ใดให้ต้องระวังหรือรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเลย จึงยิ่งรู้สึกไม่เข้าใจ
เพียงแต่นี่เป็นการพบกันหนแรก อีกทั้งยังมีคนจำนวนมาก เว่ยฉางอิ๋งรู้แต่เพียงว่าสามีนางเคยช่วยเขาไว้คราหนึ่ง และไม่แน่ใจว่ามิตรภาพของพวกเขาเป็นเช่นใด ตำแหน่งการงานในวังของเขาเป็นเช่นใด และเวลานี้ก็ไม่สะดวกจะสอบถามด้วย จึงทำได้เพียงเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ
แต่ที่รอจนเผยไค่ถอยกลับไปแล้ว ก็กลายเป็นหลิวซีสวินที่เอ่ยคำด้วยใบหน้าทะเล้นว่า “วันนี้อาไค่ทำได้ไม่เลวเลยจริงๆ ถึงกับสามารถพูดคำทักทายกับน้องสะใภ้เว่ยได้จนจบ อีกประเดี๋ยวเจ้าจักต้องเลี้ยงสุราพวกเราเป็นการฉลอง!”
หากเขาไม่พูดดังนี้ก็ยังดี แต่พอพูดออกมาแล้ว เผยไค่ก็พูดติดอ่างขึ้นมาทันใดว่า “ขะ…ขะ…ข้า…” เขา “ข้า” อยู่เป็นนานก็ไม่อาจเอ่ยคำพูดใดออกมาได้ เว่ยฉางอิ๋งค่อยเข้าใจขึ้นมาแล้ว …หรือว่าบุตรชายตระกูลเผยที่ดูไปแล้วสง่าผ่าเผย ที่แท้เป็นคนติดอ่าง?
เมื่อคิดได้ดังนี้นางก็อดจะมีสีหน้าสงสารเห็นใจออกมาไม่ได้ …หลิวซีสวินลูบคาง แล้วยิ้มมองหน้าเขา เผยไค่ยิ่งติดอ่างรุนแรงกว่าเดิม กระทั่งแม้แต่คำว่า “ข้า” ก็ยังพูดไม่ออกแล้ว
เมื่อกู้อี้หรานไม่อยู่ หน้าที่ไกล่เกลี่ยย่อมต้องตกอยู่ที่ตัวของเติ้งจงฉีและเสิ่นจั้งเฟิง เสิ่นจั้งเฟิงจึงต่อว่าหลิวซีสวิน “สือหลี เจ้าก็มิใช่ไม่รู้ว่าอาไค่เป็นคนเช่นนี้ ในเมื่อวันนี้ทำได้ไม่เลว แล้วไยต้องไปย้ำเตือนเขา? ยามนี้กลับยิ่งทำให้อาไค่ร้อนรนยิ่งกว่าเดิมเสียแล้ว”
เติ้งจงฉีมาอธิบายแทนเผยไค่ “พี่สะใภ้มิทราบ” พูดไปประโยคหนึ่ง เขาก็อึกอักอยู่พักหนึ่ง จึงเอ่ยต่อว่า “อาไค่กลัวการพูดจากกับสตรีมาแต่ไร ตั้งแต่เมื่อครู่จนถึงสุดท้ายจึงกล้าออกมาคารวะพี่สะใภ้”
…ก็มิน่าเล่า ที่แท้หากนับกันตามฐานะและชาติกำเนิดแล้ว คนที่ควรมาเป็นคนสุดท้ายก็น่าจะเป็นเหนียนเซิงย้าวซึ่งเป็นชนสามัญที่เสิ่นจั้งเฟิงชื่นชมของต่างหาก! แต่กลับเพราะเผยไค่กลัวการพูดจากับตน ไม่กล้าขยับมาข้างหน้า จึงทำให้ลำดับสับสน ทุกคนเข้ามาคารวะสลับสับเปลี่ยนกันไปหมด
เว่ยฉางอิ๋งคำนวณอยู่ในใจว่าสหายสนิทของสามีกลุ่มนี้มีกู้หน่ายเจิงคนประหลาด ตวนมู่อู๋ยิวขี้โมโห ซูอวี๋เหลียงและซูอวี่อู๋ที่เป็นคู่แข่งของกันและกัน เหนียนเซิงย้าวหน้าหม้อ หลิวซีสวินขี้แกล้ง หลิวยิ้วเจ้าที่ดูอ่อนนอกแข็งใน และเผยไค่ที่ติดอ่างเวลาพูดจากับสตรี …ทั้งหมดที่มาในวันนี้มีกันสิบคน คนที่ปกติสักหน่อยกลับมีเพียงกู้อี้หรานและเติ้งจงฉีเพียงสองคนเท่านั้น…
…ก่อนจะเข้ามาคารวะคนเหล่านี้ นางยังตั้งใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นแรงหนุนแสนประเสริฐให้แก่สามี จักต้องทำให้แขกทุกคนที่มาในวันนี้ประทับใจตน เพื่อจะได้ลบล้างภาพลักษณ์น่าขัดเขินที่ตนร้องอุทานออกไปด้วยความตกใจและความไม่รู้ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ …เวลานี้เมื่อ ดูคนกลุ่มนี้แล้ว เว่ยฉางอิ๋งพลันรู้สึกว่าเส้นทางการเป็นแรงหนุนแสนประเสริฐของเสิ่นจั้งเฟิงนั้นทั้งหนักหนา ยาวไกลและยากเย็นแสนเข็ญนัก นางขบริมฝีปาก คิดจะหาทางหลบเลี่ยง อย่างไรตนเองก็ควรจะรีบกลับไปข้างหลังเร็วๆ สักหน่อยเป็นดี…
_________________________________