“ฉันกลับบ้านได้ที่ไหนกันคะ ฉันจะฟ้องร้องคดีความกับลูกเขยนะคะ ฉันไปสำนักงานกฎหมายมาหลายแห่ง แต่เมื่อได้ยินว่าฉันจะฟ้องร้องตระกูลลู่ ก็ล้วนไม่กล้ารับรองฉัน” เอ่ยแล้ว หยาดน้ำตาของหญิงวัยกลางคนก็รินไหลลงมาอีกครั้ง
ซูจ้านยังคงไม่รีบร้อน ยกแก้วน้ำขึ้นมาแล้วยื่นให้เธอ “ดื่มน้ำสักคำ ค่อยๆดื่มนะครับ”
ฉินยานั้นไม่คุ้นเคยกับเมืองBขนาดนั้น ก้มตัวลงข้างหูซูจ้าน กระซิบถามข้างหูเขาว่า “ตระกูลลู่ยอดเยี่ยมขนาดนั้นเลยหรือคะ”
ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครที่จะกล้ารับทำคดีของเธอ
ซูจ้านตอบเธอเสียงเบา “เป็นตระกูลที่มีอำนาจมีบารมี”
คนร่ำรวยในเมืองB นั้นมีมากมาย
มีบารมีก็มากมายเช่นกัน
มีเงินมีบารมีก็มากมายเหมือนกัน
ใบหน้าและนัยน์ตาของหญิงวัยกลางคนทั้งบวมทั้งแดง ไม่รู้ว่าร้องไห้มานานเท่าไรแล้ว แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเจอกับเรื่องใหญ่ที่ผ่านไปได้ยากเข้าให้แล้ว
เธอรับแก้วน้ำในมือซูจ้านมาอย่างสั่นเทา ดื่มเข้าไปหมดแก้ว ร้องไห้นานแล้วคอก็แห้ง
ซูจ้านให้พนักงานต้อนรับไปรินน้ำมาอีกแก้ว หญิงวัยกลางคนรีบเอ่ยว่า “ไม่ต้อง ไม่ต้องแล้วค่ะ”
พนักงานต้อนรับยังคงถือแก้วน้ำที่ว่างเปล่าไปนำน้ำอีกแก้วหนึ่งมา
สภาพอารมณ์ของหญิงวัยกลางคนผ่อนคลายลงบ้างเล็กน้อยแล้ว จึงเอ่ยว่า “ลูกสาวของฉันถูกทำให้เสียชีวิตด้วยการตัดสินที่ไม่เป็นทำ……”
ซูจ้านนวดหว่างคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเริ่มสะเทือนใจอีกแล้ว
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้เลยจริงๆ ร้องไห้อีกแล้ว
……
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง
หญิงวัยกลางคนถึงจะสามารถพูดได้ แม้ว่าจะติดๆขัดๆ แต่ก็เล่าเรื่องราวที่ประสบพบเจอมาออกมาได้รอบหนึ่ง ก็คือลูกสาวของเธอแต่งเข้าไปในตระกูลไฮโซ และได้คลอดลูกชายด้วย แต่ลูกเขยมีชู้ ทั้งยังให้เด็กที่ลูกสาวเธอคลอดออกมา เรียกหญิงชู้คนนั้นว่าแม่
ลูกสาวเธอไม่ยอมรับ และไม่เห็นด้วยที่จะหย่า แต่ตระกูลลู่บีบบังคับให้ลูกสาวเธอต้องหย่า เดิมก็ให้บ้านหลังหนึ่งกับลูกสาวเธอ และยังมีเงินอีกสองแสนกว่า แต่ว่าลูกสาวของเธอโวยวายจะต้องการลูกชาย
นั่นคือสายเลือดของตระกูลลู่ จะให้เธอได้อย่างไรกัน
ลูกสาวเธอไม่ยินยอม รับไม่ได้ที่ลูกชายตัวเองจะต้องเรียกผู้หญิงคนอื่นว่าแม่ ภายใต้สถานการณ์ที่อารมณ์ได้รับความสะเทือนใจอย่างสุดขีดก็อุ้มลูกชายกระโดดลงมาจากตึกที่สามีเก่ามอบให้เธอ
โดดลงมาจากชั้นที่ยี่สิบกว่า คนตกลงมาจนเค้าโครงหน้าเดิมไม่เหลือแล้ว
ตระกูลลู่ก็โมโหเป็นอย่างมาก คุณจะตายก็ไปตายสิ ทำไมถึงได้สติฟั่นเฟือน กระทั่งเด็กก็ยัง……
เห็นไหม หญิงวัยกลางคนที่ลูกสาวตายไปแล้วก็รู้สึกว่าลูกสาวตัวเองตายอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกคนตระกูลลู่บีบบังคับให้ตาย ดังนั้นจึงคิดจะฟ้องร้องลูกเขยคนเก่า
ฉินยาฟังด้วยความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน อารมณ์แย่ลงบ้างแล้ว
ซูจ้านให้เธอไปห้องทำงาน เธอก็ไม่ไป
“คนอื่นได้ยินว่าฉันจะฟ้องร้องคนตระกูลลู่ ก็ล้วนไม่กล้ารับ คุณ……”
ซูจ้านเอ่ยว่า “คุณมีหลักฐานที่พิสูจน์ว่า ลูกเขยของคุณมีชู้ไหมครับ”
หญิงวัยกลางคนเอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า “ลูกสาวของฉันเห็นด้วยตาตัวเอง……”
ซูจ้านตัดบทเธอ “ที่ผมพูดก็คือหลักฐานที่เป็นรูปธรรม ลูกสาวของคุณเสียชีวิตไปแล้ว ไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานใดได้ อีกทั้งลูกสาวของคุณก็กระโดดตึกด้วยตัวเอง ถ้าหากว่าคุณไม่มีหลักฐานที่มีพลังมากพอ ใครก็ไม่กล้ารับทำคดีความของคุณ ด้านหนึ่งเป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามมีเงินและมีบารมี ยังมี พวกเราไม่มีหลักฐาน จะฟ้องร้องคดีความอะไร? คิดให้ดีว่าก่อนหน้านี้ที่ลูกสาวของคุณยังมีชีวิตอยู่นั้นคว้าหลักฐานที่เป็นรูปธรรมอะไรได้ไหม”
หญิงวัยกลางคนได้รับความสะเทือนใจเป็นอย่างมาก “เขาจะแต่งงานกับชู้คนนั้นแล้ว ยังไม่เรียกว่าเป็นหลักฐานอีกหรือคะ”
ซูจ้านเอ่ยว่า “คุณบอกว่าผู้อื่นเป็นมือที่สาม จำเป็นต้องมีหลักฐานด้วยครับ ไม่อย่างนั้นผู้อื่นก็สามารถฟ้องร้องว่าคุณหมิ่นประมาทได้”
หญิงวัยกลางคนพูดไม่ออกทันที
ฉินยาใช้ข้อศอกแทงไปที่ซูจ้านครั้งหนึ่ง ให้เขาอ่อนโยนสักหน่อย อย่าข่มขู่ผู้อื่น
“อย่างนั้นฉันจะทำอย่างไรดีคะ” หญิงวัยกลางคนพูดแล้วก็ร้องไห้อีก
ซูจ้านเอ่ยว่า “คุณกลับไปก่อน คิดดูให้ดีว่าตอนที่ลูกสาวยังมีชีวิตอยู่ทิ้งอะไรเอาไว้ เคยพูดอะไร รอคุณคิดได้ชัดเจนแล้วค่อยมาหาผม”
หญิงวัยกลางคนไม่อยากจะเชื่อ “คุณ ความหมายของคุณคือรับทำคดีความให้ฉันแล้วหรือคะ” หญิงวัยกลางคนตื่นเต้นเป็นอย่างมาก หยิบบัตรใบหนึ่งออกมาจากในกระเป๋า “ฉันเพียงแค่ต้องการคืนความยุติธรรมให้กับลูกสาวของฉัน ข้างในมีเงินสามแสน ล้วนมอบให้คุณหมด”
เงินจากการที่ลูกสาวเธอหย่าสองแสนกว่า ยังมีเงินปกติที่ลูกสาวให้เธอกับสามี ตอนนี้ไม่ว่าอะไรเธอก็ไม่ต้องการ ต้องการเพียงแค่คืนความยุติธรรมให้กับลูกสาวเท่านั้น ไม่สามารถตายไปทั้งที่ไม่รู้สาเหตุแบบนี้ได้
ซูจ้านดันบัตรกลับไปที่เธอ เอ่ยว่า “คุณกลับไปคิดดูก่อนเถอะครับว่าจะฟ้องร้องคดีความนี้หรือไม่”
“ความหมายของคุณคือไม่รับหรือคะ” สีหน้าของหญิงสาววัยกลางคนแข็งค้างทันที
ซูจ้านไม่ได้พูดอะไร แต่ลุกขึ้นยืนแล้วให้พนักงานต้อนรับมาส่งแขก
ฉินยาก็ไม่เข้าใจ จึงถามเขาว่า “คุณกลัวว่าจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัวหรือคะ”
ซูจ้านเอ่ยว่า “คนอื่นล้วนไม่รับทำ ก็เพราะว่านี่ไม่ใช่คดีความที่ดี เป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยน”
ฉินยานั้นรู้สึกเห็นอกเห็นใจหญิงวัยกลางคนคนนั้นมาก
จึงเอ่ยว่า “ตอนนี้อินเทอร์เน็ตพัฒนาแล้ว นี่ก็นับว่าเป็นข่าวในเมืองB ทำไมถึงไม่เห็นกันคะ”
ซูจ้านอธิบายว่า “จะต้องถูกกดเอาไว้แน่นอน”
ฉินยาถอนหายใจ “นี่ไม่คิดจะให้คนยากจนมีชีวิตกันต่อไปแล้วสินะคะ”
ซูจ้านมองเธอ “ทำไมถึงกลายเป็นคนจนแล้วล่ะ ครั้งเดียวก็หยิบออกมาสามแสนแล้วนะ”
“นั่นไม่ใช่ทรัพย์สมบัติที่แบ่งให้ในตอนหย่าร้างหรือคะ” ฉินยาเอ่ย
ซูจ้านเดินเข้ามา ยื่นมือกอดเธอเอาไว้ “คุณบอกว่าผู้ชายคนนั้นไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี แต่ก็ไม่ได้ให้เธอหย่าแล้วจากไปตัวเปล่า ยังให้บ้านให้เงิน ไร้ความปราณีและสุดโต่งเกินไป ตัวเธอตายเองก็ช่างเถอะ ยังจะให้ชีวิตบริสุทธิ์น้อยๆตายไปกับเธอด้วย นี่เรียกว่าเห็นแก่ตัวแล้ว”
ฉินยาก็รู้สึกว่าพาเด็กไปตายด้วยกันนั้นทำเกินไปแล้ว แม้ว่าเธอจะไม่สามารถมีลูกได้แล้ว แต่ก็เคยตั้งครรภ์มาก่อน รู้ว่าสำหรับแม่คนหนึ่งแล้ว ลูกมีความสำคัญมากเพียงใด
เธอสามารถใจร้ายให้เด็กตายด้วยได้ จะต้องถูกกดดันมากแน่นอน
“คุณก็ทำความเข้าใจสักหน่อยเถอะค่ะ ถึงแม้ว่าจะไม่รับทำคดีความนี้ ฉันก็อยากฟังดูว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
ซูจ้านบีบจมูกเธอ “คุณชอบเรื่องซุบซิบนินทาหรือ”
ฉินยาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “นี่ไม่ถือว่าเป็นเรื่องซุบซิบนินทานะคะ”
ซูจ้านเอ่ยว่าล้วนฟังเธอ จะลองทำความเข้าใจดูก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับ
“คุณต้องทำเรื่องดีๆให้มากหน่อย สะสมบุญกุศล ไม่แน่ว่าครั้งหน้าพวกเราจะสามารถทำได้สำเร็จนะคะ” ฉินยาเอ่ยเสียงเบา
ซูจ้านขนลุกพรึบด้วยความหวาดหวั่นทันที คำพูดนี้ถ้าเป็นท่านย่าพูด เขาจะไม่ตื่นตระหนกเลย แต่นี่ฉินยาพูด เขาจึงรับไม่ได้แล้ว “คุณก็มีความเชื่องมงายด้วยหรือ”
มีท่านย่าคนหนึ่ง เขาก็ตื่นตระหนกแล้ว
เขาเคร่งเครียดมาก “พวกเราทำไม่สำเร็จ ก็ไม่ใช่เพราะว่าพวกเราไม่สร้างกุศล พวกเราไม่เคยทำเรื่องที่ผิดต่อฟ้าดิน นี่เป็นโชคชะตาชีวิตที่ถูกลิขิตเอาไว้ พวกเราไม่ควรมีในตอนนี้ พวกเราจะขอร้องอย่างไรก็ฝืนให้ได้มาไม่ได้”