WSSTH ตอนที่ 3,024 : ไอ้โง่!
ได้ยินคำถามของหลี่หยวน มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวไม่ได้พูดตอบ หากแต่การกระทำของนางก็เสมือนเป็นการตอบหลี่หยวนกลายๆ
ฟุ่บ!
ร่างบางของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวไหววูบคราหนึ่ง คนก็ไปหยุดยืนบน 1 ใน 2 แท่นศิลารองลงมาจากแท่นศิลาสูงสุด และเริ่มนั่งลงขัดสมาธิเงียบๆ
กล่าวได้ว่า 1 ใน 2 แท่นศิลาที่อยู่ในระดับรองลงมาจากแท่นศิลาสูงสุด ก็ตกอยู่ในความครอบครองของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว
ส่วนอีกแท่นที่เหลือนั้นนั้น ได้ถูกหลิงเจวี๋ยอวิ๋นครองไว้แต่แรก ยังมาถึงก่อนมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวอีกด้วย
“เอ่อ…”
เห็นการกระทำดังกล่าวของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว หลี่หยวนอดไม่ได้ที่จะงุนงงสงสัย “เซี่ยวเซี่ยวเจ้า…เจ้าไม่คิดจะเอาแท่นหินบนสุดนั่นหรือ?”
พอหลี่หยวนกล่าวจบคำ มันก็เงยหน้าขึ้นไปมองแท่นศิลาสูงสุดโดยไม่รู้ตัว
พบว่าสูงขึ้นไป 100 หมี่ แท่นศิลาที่ลอยอยู่โดดเดี่ยวนั้น ยังไร้ผู้ใดจับจอง
“หืม?”
ทว่าหลี่หยวนเงยหน้าขึ้นไปได้ไม่ทันไร หางตามันก็เห็นร่างหนึ่งเหินผ่านไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน และไม่นานนักอีกฝ่ายก็ขึ้นไปถึงแท่นศิลาสูงสุด กระทั่งเริ่มนั่งขัดสมาธิลงไปหน้าตาเฉย
เมื่อเห็นร่างในชุดสีม่วงปรากฏตัวขึ้นมาครอบครองแท่นศิลาสูงสุดหน้าตาเฉย สีหน้าหลี่หยวนก็เปลี่ยนเป็นถมึงทึงทันใด ลูกตายังฉายแววดุร้ายแหลมคมออกมา “เจ้านั่นอีกแล้ว!”
“ไฉนเป็นมันไปได้! นี่มันกล้าขึ้นไปนั่งตรงนั้นจริงๆ มันไม่ใช่แค่เด็กอายุไม่ถึงร้อยปีหรือไร…แล้วมันอาศัยความกล้าจากที่ใดถึงขึ้นไปยึดแท่นศิลาบนสุดโดยไม่ถามผู้อื่นแบบนี้?”
ด้านหวังเชี่ยนที่อยู่ข้างๆหลี่หยวนเอง ก็สังเกตเห็นชายหนุ่มชุดม่วงขึ้นไปนั่งบนแท่นศิลาบนสุดเช่นกัน และมันก็จดจำได้ว่าเป็นคนเดียวกับที่พวกมันพึ่งไปหา และถูกหลี่หยวนกล่าวขู่ เพราะเห็นมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเข้าหาอีกฝ่าย
“เซี่ยวเซี่ยว…นี่เจ้าตั้งใจมอบแท่นหินบนสุดนั่นให้มันงั้นเหรอ!?”
ครู่ต่อมา หลี่หยวนก็หันกลับมามองถามมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
ในความเห็นมัน คนที่คิดจะขึ้นไปนั่งบนนั้นได้ อย่างน้อยๆก็ต้องมีคุณสมบัติที่จะนั่งด้วย! แต่ตอนนี้ใครที่ไหนก็ไม่รู้กลับขึ้นไปนั่งหน้าตาเฉย และพอคิดว่า…อาจเป็นนางในดวงใจของมันอย่างมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวมอบให้อีกฝ่าย ก็ทำให้มันมีโมโหนัก! ใบหน้ามันเริ่มเปลี่ยนเป็นมืดดำ แลดูรับไม่ได้!
อย่างไรก็ตาม แม้จะโดนหลี่หยวนจี้ถาม แต่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ไม่คิดอธิบายใดๆทั้งสิ้น นางเมินอีกฝ่ายโดยสมบูรณ์เพียงหลับตาลง และเริ่มโคจรพลังจนทั่วร่างปรากฏไอพลังสีฟ้าปกคลุม ประหนึ่งจมจ่อมลงไปในห้วงสมุทรสีฟ้า
มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเดิมทีก็มีรูปโฉมงดงามอยู่แล้ว เมื่อมีไอพลังสีฟ้าครอบคลุมยิ่งขับเน้นให้ใบหน้ากระจ่างของนางแลดูลึกล้ำ มากล้นไปด้วยเสน่ห์ชวนมอง
หากเป็นตอนปกติ ลองหลี่หวนได้เห็นฉากนี้ มันคงต้องมองนางอย่างเคลิบเคลิ้มตาลอย คิดเพ้อไปเรื่อย แต่ตอนนี้มันไม่มีอารมณ์และความคิดดังกล่าวแม้แต่น้อย
ยิ่งเห็นว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเมินมันโดยสมบูรณ์ สีหน้าของหลี่หยวนยิ่งมายิ่งมืดดำ แลดูบิดเบี้ยวอัปลักษณ์เป็นที่สุด!
ปงงง!!
หลี่หยวนกระทืบเท้าย่ำอากาศอย่างแรง คนทะยานพุ่งไปดั่งสายฟ้า พริบตาก็บรรลุถึงเบื้องหน้าแท่นหินบนสุดที่ต้วนหลิงเทียนนั่งอยู่!
“ดูนั่นเร็ว เหมือนจักมีอะไรดีๆให้ชมดูแล้ว!”
“เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่น ก่อนหน้านี้แม่นางมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ทำราวกับจะไปตีสนิทมัน เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่คนธรรมดาๆเป็นแน่!”
“หรือเจ้านั่นจะร้ายกาจกว่าแม่นางมู่หรงเซี่ยวเซี่ยว ทำให้นางถึงกับต้องไปสานไมตรีกับมัน?”
“นั่นก็ไม่แน่นักหรอก…บางทีมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวอาจต้องตาพึงใจมันก็เป็นได้ เจ้าลองมองมันให้ดีเถอะ…ไอ้หนุ่มนั่นมันหล่อเหลาเอาเรื่อง! เข้าตำราไอหนุ่มหน้าขาวที่สาวๆชมชอบนัก!!”
“ที่สำคัญก็คือ…ไอ้หนุ่มหน้าหล่อนั่นมันยังอายุไม่ถึงร้อยปีเสียด้วย! หรือที่แท้แม่นางมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวจะชมชอบรับประทานเด็ก!?”
“หือ? อายุไม่ถึงร้อยปีรึ?”
“ให้ตาย…เรื่องจริงหรือเนี่ย! มันอายุไม่ถึงร้อยปีแล้วไฉนมาโผล่ที่นี่ได้เล่า? หากมันมาด้วยกำลังของตัวเอง พรสวรรค์ของมันจะไม่ทำให้ผู้คนอิจฉาไปหน่อยเหรอ?”
“ใต้หล้าไร้คำว่าเท่าเทียมจริงๆ…ตอนข้าอายุได้ร้อยปี อย่าว่าแต่จะเข้าถึงพลังแห่งกฏเลย ด่านพลังยังไม่บรรลุถึงยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ด้วยซ้ำ…เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นเป็นใครมาจากไหนกันแน่ พรสวรรค์ไม่ใช่เล่นๆเลย!”
“ไม่ว่าพรสวรรค์มันจะสูงเพียงใด แต่มันที่อายุไม่ถึงร้อย จะสู้หลี่หยวนได้ยังไง?”
“นั่นก็ไม่แน่นักหรอก…อย่าลืมว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยวพยายามตีสนิทกับมัน แม้ความทรงจำในวังจอมราชันอมตะเมื่อออกไปก็ล้วนลืมหมด แต่มันอาจมีความเป็นมายิ่งใหญ่จริงๆ จนมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวรู้สึกว่าจะอย่างไรก็ต้องดูแลมันให้รอดกลับออกไปจากแดนสวรรค์ใต้โบราณให้ได้”
“อาจเป็นได้…หรือไม่ก็บางทีเบื้องหลังของมันอาจเกี่ยวข้องกับตระกูลมู่หรงเฉยๆ เลยทำให้นางคิดจะช่วยเหลือมัน”
…
เมื่อเห็นหลี่หยวนเหินร่างขึ้นไปบนแท่นศิลาบนสุดและเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียน สายตาผู้คนมากมายก็เริ่มหันไปให้ความสนใจต้วนหลิงเทียน
“เจ้านั่น มันขึ้นไปนั่งบนแท่นหินบนสุดเลย?”
ขณะเดียวกัน ทั้ง 4 คนที่พึ่งจะหายจากอาการตกตะลึงเพราะคำพูดก่อนหน้าของต้วนหลิงเทียนก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวบนฟ้า
“มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวนั่นเหมือนจะไม่มีความคิดต่อสู้แย่งชิงอะไรกับมันเลย…นางเลือกจะนั่งบนแท่นศิลารองลงมาก่อนมันขึ้นไปด้วยซ้ำ”
“ตอนนี้ข้าว่าเรื่องที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเข้าหาและทำราวกับจะตีสนิทมัน ข้าว่าอาจเป็นเพราะมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวล่วงรู้ว่ามันร้ายกาจปานใด ทำให้นางพยายามสานไมตรีเพื่อที่มันจะได้ปราณีไว้หน้า!”
“อาจเป็นได้ เพราะอย่างไรเสียโอวหยาก็โผล่มาพร้อมมัน และเรื่องที่โอวหยาสนิทกับมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวใครๆก็รู้ ข้าว่านางต้องบอกมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวแล้วเป็นแน่ ว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง!”
“ข้าก็คิดแบบนั้น…เผลอๆโอวหยาอาจเห็นมันฆ่าสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนกับตา จึงรู้ว่ามันร้ายกาจปานใด!!”
“แต่อย่างไรเสีย เรื่องที่เจ้าหนุ่มนั่นมันบอกว่ามันสามารถฆ่าสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนได้ในท่าเดียว ข้าไม่อาจทำใจเชื่อได้ลงคอจริงๆ!”
“ตอนนี้เหมือนหลี่หยวนจะไม่พอใจที่มันขึ้นไปครองแท่นศิลาบนสุด และท่าทางคิดจะแย่งมาเอง…เช่นนั้นเรื่องที่มันจะมีพลังมากพอฆ่าสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนจริงหรือไม่ เดี๋ยวพวกเราได้รู้กัน!”
“ความแข็งแกร่งของหลี่หยวนไม่ได้ด้อยไปกว่าสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนสักเท่าไหร่ เพราะนอกจากความหมายแห่งไฟ แล้วมันยังเข้าใจความลึกซึ้ง ปะทุ ของกฏแห่งไฟอีกด้วย!”
(ตอนก่อนบอกทอง มาตอนนี้เป็นไฟ…เอาเป็นว่ามันใช้ไฟนะ)
“ความลึกซึ้ง ‘ปะทุ’ ของมัน นับเป็นความลึกซึ้งที่ทรงพลังเป็นอันดับต้นๆของกฏแห่งไฟ…ด้วยมีความลึกซึ้งปะทุ หลี่หยวนสามารถระเบิดพลังและความเร็วให้ทัดเทียมกับพวกสุมาฉุนและตงฟางจิ่นหลุนได้ในช่วงสั้นๆ อย่างไรก็ตามพลังโจมตีของมันจักรุนแรงกว่า พวกเราเองหากประมาทก็อาจจะเสร็จมันได้ง่ายๆ”
…
ทั้ง 4 เริ่มสนทนากันอย่างออกรส และเห็นได้ชัดว่าพวกมันล่วงรู้ตื้นลึกหนาบางของหลี่หยวนดี!
“กล่าวไปในที่นี้ มีมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเพียงคนเดียวเท่านั้นที่พอจะสะกดหลี่หยวนได้…เพราะไม่เพียงกฏที่นางเลือกจะเป็นธาตุน้ำที่สะกดข่มไฟของหลี่หยวน นางยังเริ่มหยั่งถึงความลึกซึ้งประการที่ 3 ของกฏแห่งน้ำแล้ว”
“ข้าล่ะอยากเห็นจริงๆ…ว่าเจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นที่บอกว่าอาศัยท่าเดียวฆ่าสุมาฉุนกับตงฟางจิ่นหลุนได้ในพริบตา ที่แท้มันจะร้ายกาจอย่างที่พูดไว้หรือไม่!”
…
สายตาของคนทั้ง 4 ตอนนี้เรียกว่าทุ่มความสนใจไปกับการเผชิญหน้าระหว่างต้วนหลิงเทียนกับหลี่หยวนอย่างเดียว ทั้งหมดลอยร่างชมดูเรื่องราวกลางอากาศเหนือหุบเขา ไม่คล้ายคิดไปช่วงชิงแท่นศิลาอันใด
“ไอ้หนู ไสหัวลงไปเสีย!!”
หลี่หยวนที่ลอยร่างกลางอากาศ มองจ้องต้วนหลิงเทียนที่นั่งขัดสมาธิบนแท่นศิลาตาดุ กล่าวตวาดไล่ออกมาอย่างเกรี้ยวกราด!
ต้วนหลิงเทียนเองก็สัมผัสถึงการมาของหลี่หยวนแต่แรก
ตอนนี้พอโดนอีกฝ่ายตวาดไล่ออกมาด้วยเสียงฟังไม่เข้าหู สีหน้าเขาก็เริ่มมืดลง
“ข้าจะให้โอกาสเจ้า…รีบไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าเสีย หาไม่แล้วเจ้าจะได้อยู่ในวังจอมราชันอมตะของแดนสวรรค์ใต้โบราณไปชั่วกาล!”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองหลี่หยวนด้วยสายตาไม่แยแส เสียงกล่าวยังเย็นชาเป็นที่สุด ชวนให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกเสมือนหลุดไปอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ!
โอ!
เสียงต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้เบาเลย เรียกว่าดังเข้าหูทุกผู้คนที่อยู่เหนือหุบเขาอันมืดมิดชัดเจน พาลให้หลายคนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
เป็นธรรมดาว่ายังมีบางคนไม่ได้แปลกใจอะไร
อย่างเช่นพวกเชวียจิงอวี่ โอวหยา และคนอื่นๆที่เคยเห็นการลงมือของต้วนหลิงเทียน โดยเฉพาะตอนที่ใช้หนึ่งกระบี่ฆ่าตงฟางจิ่นหลุนอย่างง่ายดายปานตัดหญ้าฆ่าไก่! ทั้งหมดจึงรู้ว่าหากต้วนหลิงเทียนคิดจะฆ่าหลี่หยวน ก็ลำบากเพียงยกมือเท่านั้น…!
จริงอยู่ที่ความแข็งแกร่งของหลี่หยวนอาจจะเหนือกว่าตงฟางจิ่นหลุน แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร แม้ในบางแง่มุมอาจจะทรงพลังเหนือตงฟางจิ่นหลุนจริง แต่เรื่องให้ฆ่าตงฟางจิ่นหลุน ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้…
บางครั้งพลังฝีมือที่เหนือกว่าคู่ต่อสู้ และยามประมือนั้นมีเปรียบอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถเข่นฆ่าอีกฝ่ายได้เสมอไป
“หืม?”
ด้านหวังเชี่ยนนั้น ตอนแรกที่ได้ยินคำพูดหยิ่งผยองของต้วนหลิงเทียน มันก็คิดว่าต้วนหลิงเทียนช่างแส่หาที่ตายโดยแท้…!
ทว่าเมื่อเหลือบไปเห็นสีหน้าท่าทีโอวหยาไม่เว้นมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวที่อยู่ไม่ห่าง มันก็พบว่าจะโอวหยาก็ดีมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็ดี ต่างยังมีสีหน้าสงบ ไม่คล้ายแปลกใจอะไรกับวาจาหยิ่งผยองของชายหนุ่มชุดม่วงเลย!
ราวกับมันสมควรเป็นแบบนี้อยู่แล้ว!
‘หรือว่า…’
พอหวังเชี่ยนเริ่มนึกย้อนถึงฉากเรื่องราวก่อนหน้า ที่เห็นมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวเป็นฝ่ายเข้าหาต้วนหลิงเทียน และทำท่าราวกับจะพยายามตีสนิท ก็ทำให้ขมับของมันเริ่มปรากฏเม็ดเหงื่อผุดซึมทันที…
‘เป็นไปได้ไหม…ที่เจ้าหนุ่มชุดม่วงนี่มันจะร้ายกาจกว่าโอวหยา กระทั่งเหนือกว่ามู่หรงเซี่ยวเซี่ยว?’
‘ที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวพยายามเข้าหาราวกับจะตีสนิทมัน หรือเพราะต้องการให้มันไว้ไมตรียามพบเจอสมบัติอันใด อย่างน้อยๆหากมันได้กินเนื้อก็เหลือน้ำแกงไว้ให้นางดื่ม?’
‘และหากจำไม่ผิด…ดูเหมือนหลังจากเสียงของคนที่อาจจะเป็นจอมราชันอมตะสวรรค์ใต้ดังขึ้น บอกว่าสถานที่แห่งนี้คือหุบเขากาลเวลาทั้งมีไว้ทำอะไร มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวก็เหมือนจะเลิกให้ความสนใจมัน ไม่กระทำตัวเป็นเห็บหมาให้มันรำคาญอีก…’
‘หรือเหตุผลที่นางเปลี่ยนท่าทีไปกะทันหัน เป็นเพราะล่วงรู้ว่าสถานที่แห่งสุดท้ายของวังจอมราชันอมตะอย่างหุบเขากาลเวลานี่ มีผลประโยชน์ชัดเจนแล้ว นางจึงไม่คิดจะตีซี้ต้วนหลิงเทียนอีก เพราะมันไม่มีประโยชน์อันใด?!’
ยิ่งคิดเรื่องนี้มาเท่าไหร่ หวังเชี่ยนก็รู้สึกว่าเรื่องราวยิ่งเข้าเค้า และมันเดาไม่ผิดแน่ ทำให้มันอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ ร่างยังสะท้านไปทันใด
และหลังจากสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บแล้ว หวังเชี่ยนก็ดึงสติกลับมาได้ และคิดจะส่งเสียงผ่านพลังไปแจ้งเรื่องราวให้หลี่หยวนรับทราบทันที!
อย่างไรก็ตาม พอมันเงยหน้าขึ้นไปบนฟ้าอีกครั้งและคิดจะส่งเสียงผ่านพลังเตือนหลี่หยวน มันก็พบว่าหลี่หยวนนั้นได้ปะทุพลังเกรี้ยวกราดจนคนคล้ายมีไฟลุกท่วม! พุ่งทะยานเข่นฆ่าไปทางต้วนหลิงเทียนอย่างดุร้ายเสียแล้ว!!
ซู่มม!!
ฟู่วว!!
…
หลี่หยวนอันมีเปลวไฟลุกโชนท่วมร่าง คนพุ่งทะยานออกไปฉับไวปานอุกกาบาตเพลิงลัดฟ้า ห้วงอากาศโดยรอบประหนึ่งถูกไฟร้อนแผดเผาจนเกรียม จนสูดได้กลิ่นไหม้ในบรรยากาศจางๆ!
“ไอ้โง่!”
เสียงปรามาสหนึ่งพลันดังขึ้นจาก 1 ใน 2 แท่นศิลาชั้นรอง และเป็นหลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่ไม่ทราบเงยหน้าขึ้นไปชมดูเรื่องราวด้านบนตั้งแต่เมื่อไหร่ กล่าวคำผรุสวาทออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน
เป็นธรรมดาว่าคนที่มันด่าว่า ‘ไอ้โง่’ ก็คือหลี่หยวน!
ในสายตาของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ทุกคนในที่แห่งนี้ นอกจากตัวมันเพียงคนเดียวแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่แส่หาเรื่องคิดลงมือกับต้วนหลิงเทียน ล้วนแล้วแต่เป็นตัวโง่งมเบื่อชีวิตคิดหาที่ตายทั้งสิ้น!
ต้วนหลิงเทียนที่มีอุปกรณ์เทพระดับสูงในครอบครอง ประหนึ่งเทพสังหารที่ครองอำนาจเหนือผู้ใดในวังจอมราชันอมตะ! คิดจะให้ใครตาย คนนั้นก็ไม่อาจไม่ตาย!!
‘เอ๊ะ?’
วาจาก่นด่าของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นดึงดูดความสนใจมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวไม่น้อย ทำให้นางหันมาให้ความสนใจหลิงเจวี๋ยอวิ๋นทันที
‘มันก็อายุไม่ถึงร้อยปีงั้นเหรอ?’
ขณะเดียวกันนางก็พบว่าชายหนุ่มชุดเทาผู้นี้เหมือนกับต้วนหลิงเทียน…อายุไม่ถึงร้อยปี!
‘ดูเหมือนมันจะมาปรากฏตัวในหุบเขาแห่งนี้พร้อมกับต้วนหลิงเทียนและน้องหญิงโอวหยา’
ความทรงจำของมู่หรงเซี่ยวเซี่ยวยังดีอยู่
และในขณะที่มู่หรงเซี่ยวเซี่ยวคิดถึงจุดนี้
ฟั่ฟฟฟฟ!!
เสียงหอนกระบี่หนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา เข้าหูผู้คนทั่วหุบเขากาลเวลา ให้คววามรู้สึกประหนึ่งเสียงเพรียกแห่งความตาย!