ต้วนหลิงเทียนยื่นมือออกไปรับผลึกสีดำมา ถึงแม้ตัวผลึกจะเบาจนแทบไร้น้ำหนักบนมือ แต่กลับหนักอึ้งในความรู้สึกนัก!
“อาวุโสเพลิงเทพโกลาหล…วารีเทพชำระโลกาขั้น 2 ที่ข้าได้มาตอนนั้น สามารถถ่ายโอนไปให้พี่เจียหลงได้หรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามเพลิงเทพโกลาหลในร่าง
หวงเจียหลงมอบผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดให้เขา เขาเองก็อยากจะตอบแทนอีกฝ่ายให้มากที่สุด
กับอีแค่ฐานะศิษย์ปิดสำนึกของประมุขใหญ่นิกายอมตะเหอฮวน มันนับเป็นอะไรต่อหน้าผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด?
“กระทำได้…อย่างไรก็ตามหลังจากวารีเทพชำระโลกานั่นตื่นแล้ว อีกฝ่ายก็อาจไม่เต็มใจจดจำสหายเจ้าในฐานะเจ้าบ้าน ถึงตอนนั้นมันก็อาจเลือกจากไป”
เพลิงเทพโกลาหลกล่าวว
“แล้วหากถึงตอนนั้นพวกเรามาช่วยเกลี้ยกล่อมเล่า..หากพวกเรารับประกันว่าจะช่วยเหลือพี่เจียหลงกลืนกินวารีเทพชำระโลกาอื่นๆ เช่นนั้นวารีเทพชำระโลกาก็คงยินยอมอยู่กับพี่เจียหลงใช่ไหม?”
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายจ้า กล่าวถามตรงๆ
“ไม่มีประโยชน์”
เพลิงเทพโกลาหลถอนหายใจ “พวกเราที่อยู่ในร่างเจ้า จะไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้เลย หากมีวารีเทพชำระโลกาตนอื่นคิดเล่นงานวารีเทพชำระโลกาในร่างสหายเจ้า…เพราะหากพวกเราถ่ายพลังไปยังร่างสหายของเจ้า ก็จะเป็นการทำร้ายมันเท่านั้น”
“หากเจ้าเลือกจะมอบวารีเทพชำระโลกาให้ไป เจ้าทำได้แค่รอดูชมเท่านั้น ว่าหลังจากวารีเทพชำระโลกาตื่นขึ้นมันจะยินดีรั้งอยู่ในร่างสหายของเจ้ารึเปล่า…”
เพลิงเทพโกลาหลตอบ
“งั้นหรือ…”
ต้วนหลิงเทียนขมวดคิ้ว หากแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจมอบวารีเทพชำระโลกาให้หวงเจียหลง
หลังหวงเจียหลงรับทราบว่าวารีเทพชำระโลกาคืออะไร มันก็ย่อมปฏิเสธเป็นธรรมดา และไม่เต็มใจรับของขวัญล้ำค่าแบบนี้จากต้วนหลิงเทียน
“พี่เจียหลง หากท่านไม่ยอมรับ ข้าก็มีแต่ต้องคืนผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดให้ท่านเท่านั้น…เพราะสำหรับข้าแล้ว คุณค่าของผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด ไม่ใช่อะไรที่วารีเทพชำระโลกาขั้นที่ 2 จะเทียบเทียมได้เลย!”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออกเสียงหนัก น้ำเสียงนั้นไม่เว้นช่องว่างให้ปฏิเสธแม้แต่น้อย
สุดท้ายหวงเจียหลงก็ได้แต่ต้องยอมเท่านั้น
“อย่างไรก็ตาม ต่อให้ข้าถ่ายโอนมันไปยังงร่างท่านแล้ว มันก็จะยังอยู่ในสภาวะนิทรา…วันหน้าเมื่อมันตื่นขึ้น ไม่ว่าท่านจะรั้งมันไว้ให้อยู่กับท่านได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กกับท่านแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเตือน
“เข้าใจแล้ว”
หวงเจียหลงพยักหน้ารับด้วยความจริงจัง
หลังจากนั้น ต้วนหลิงเทียนก็พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักของหวงเจียหลงเป็นเวลา 2 วัน
ตลอด 2 วันที่ผ่าน หวงเจียหลงก็ได้ถามเรื่องราวการผจญภัยของต้วนหลิงเทียนเรื่องผลเทพสังเวยสวรรค์ด้วยความอยากรู้
จนเมื่อได้รับทราบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง กว่าต้วนหลิงเทียนจะได้ผลเทพสังเวยสวรรค์มา หวงเจียหลงก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ เม็ดเหงื่อยังผุดซึมขึ้นเต็มหน้าผากแผ่นหลัง อดไม่ได้ที่จะหวาดเสียวแทนอีกฝ่ายจริงๆ
“ให้ตายเถอะ หากไม่ใช่เพราะเจ้ากับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมีไพ่ตาย ข้าเกรงว่าพวกเจ้าเองก็คงยากจะรอดพ้นเงื้อมมือเจ้านั่น กลายเป็นเครื่องสังเวยให้ต้นไม้เทพสังเววยสวรรค์ไปแล้ว!”
ถึงแม้หวงเจียหลงจะรู้ดีว่าเรื่องราวมันผ่านไปแล้ว และต้วนหลิงเทียนไม่เป็นอะไร มันก็ยังอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัวอยู่ดี
อีกทั้งมีเรื่องหนึ่งไม่พูดไม่ได้
ในช่วง 2 วันที่ผ่านมา ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้ตั้งใจฝึกฝน และหลับไปแค่ครึ่งคืนเท่านั้น ทว่าเขากลับเข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติประการหนึ่งได้สำเร็จ!
และทั้งหมดต้องยกความดีความชอบให้ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด
“เดิมทีเจ้าก็เข้าใจความลึกซึ้งส่งผ่านได้บางส่วนแล้ว…ด้วยมีความช่วยเหลือจากผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด ก็เป็นธรรมดาที่เจ้าจะเข้าใจมันในความฝัน”
และนั่นก็คือวาจาที่เพลิงเทพโกลาหลกล่าว อีกฝ่ายไม่ได้แปลกใจอะไรที่ต้วนหลิงเทียนเข้าใจความลึกซึ้งส่งผ่านได้ในชั่วข้ามคืน
ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดในมือต้วนหลิงเทียน เกิดจากการตกผลึกองค์ความรู้และความเข้าใจในกฏมิติของผู้แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น มีแต่ตัวตนที่บรรลุขอบเขตผู้แข็งแกร่งที่สุดโดยการเข้าใจกฏมิติถึงจุดสูงสุดเท่านั้น ถึงจะสร้างผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เกี่ยวกับกฏมิติออกมาได้
ด้วยวิธีนี้ต้วนหลิงเทียนย่อมใช้ประโยชน์จากผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งได้อย่างเต็มที่!
ที่สำคัญก็คือ…วันหน้าต้วนหลิงเทียนก็จะไม่พบเจออุปสรรคใดๆขณะทำความเข้าใจกฏมิติอีกเลย!
และตอนนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ได้เข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึง 7 ประการแล้ว…
อีกอย่าง ด้วยความที่เขามีผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุด หมายความว่าความลึกซึ้งอีก 2 ประการของกฏมิติ เรื่องที่เขาจะเข้าใจมัน ก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น!
“พี่เจียหลง แล้วท่านอยากไปอยู่ที่คฤหาสน์เฉวียโยวกับข้ารึเปล่า?”
ตอนที่กำลังจะร่ำลาหวงเจียหลงเพื่อกับคฤหาสน์เฉวียนโยว ต้วนหลิงเทียนก็เอ่ยถามหวงเจียหลงออกไป และหากอีกฝ่ายคิดจะไป เขาก็จะพาหวงเจียหลงไปด้วยทันที
“ไอ้อยากไปข้าก็อยากไปอยู่หรอก…แต่ข้าไม่อยากอาศัยเส้นสายของเจ้า ข้าอยากเข้าไปด้วยกำลังของข้าเอง”
หวงเจียหลงคลี่ยิ้ม
ได้ยินคำพูดของหวงเจียหลง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดเซ้าซี้สืบต่อ “เช่นนั้นข้าจะรอท่านในคฤหาสน์เฉวียนโยว”
…
หลังจากกลับมาคฤหาสน์เฉวียนโยวได้ 2 วัน ฉีเทียนหมิงก็มาเรียกหาต้วนหลิงเทียนอีกครั้ง “มีอะไรหรือผู้เฒ่าฉี?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ดูจากสีหน้าฉีเทียนหมิงแล้ว เขาก็บอกได้ทันทีว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น
“ซีเหมินฮ่าวซวนจากคฤหาสน์หงเอี้ย เดินทางมาพร้อมรองผู้นำคฤหาสน์หงเอี้ย…และระบุว่าอยากเจอเจ้า”
ฉีเทียนหมิงเอ่ยถามต่อ “เจ้าอยากพบมันหรือไม่ หากไม่ข้าจะไปปฏิเสธมัน”
ด้วยมีรองผู้นำคฤหาสน์หงเอี้ยมาด้วย แล้วคฤหาสน์เฉวียนโยวจะไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตามหากต้วนหลิงเทียนไม่อยากพบ มันก็สามารถบอกปัดอีกฝ่ายได้
“อ่อ เป็นข้านัดกับมันไว้เอง…มันอยู่ไหนเล่า ข้าจะไปเจอมันหน่อย”
ต้วนหลิงเทียนคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าซีเหมินฮ่าวซวนจะมาถึงเร็วขนาดนี้ แม้จะแปลกใจอยู่บ้างแต่เขาก็ถามที่อยู่ของอีกฝ่ายจากฉีเทียนหมิง และไปหาอีกฝ่ายทันที
“ต้วนหลิงเทียน พบกันอีกแล้ว”
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเดินมาถึงห้องรับแขก หวงเจียหลงที่นั่งรอก็ลุกขึ้นมากล่าวทักทาย จากนั้นมันก็สะบัดมือเบาๆคราหนึ่ง ส่งลูกแก้วเงาลอยให้ต้วนหลิงเทียนทันที “นี่คือลูกแก้วเงาลอยที่ข้าแพ้เดิมพันเจ้า”
ถึงแม้ลูกแก้วเงาลอยลูกนี้ จะไม่มีประโยชน์อะไรกับต้วนหลิงเทียนมากนัก เพราะเขามีผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดแล้ว
อย่างไรก็ตามเขายังคงรับไว้ไม่อิดออด
ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ถึงยุงจะตัวเล็กแค่ไหนมันก็ยังมีเนื้อ’ บางทีหากเห็นฉากการลงมือของผู้ที่ถูกบันทึกไว้ในลูกแก้วเงาลอย ก็อาจมีส่วนช่วยเขาได้บ้าง
ถึงแม้ความเป็นไปได้เรื่องนั้นจะน้อยนิดก็ตามที
แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ลองใช้ดู
หลังจากนั้นซีเหมินฮ่าวซวนก็ชววนต้วนหลิงเทียนยพูดคุยไปเรื่อย และนับว่าทำให้ต้วนหลิงเทียนประหลาดใจอยู่บ้างเพราะตั้งแต่ต้นจนจบ อีกฝ่ายไม่ได้ถามเรื่องความเป็นมาของเขาเลย ไม่แม้แต่จะเลียบๆเคียงๆด้วยซ้ำ
และหลังได้คุยกับซีเหมินฮ่าวซวน ต้วนหลิงเทียนก็ได้รู้เรื่องราวบางอย่างเพิ่มเติม ยังรับทราบเรื่องราวความเป็นไปของ 10 ตระกูลใหญ่ 5 นิกายหลักในปัจจุบัน จากปากซีเหมินฮ่าวซวนไม่น้อย
เรื่องเหล่านี้ย่อมไม่มีบันทึกไว้ในหอตำราหรือยันต์อมตะเก็บความทรงจำ
“จริงสิต้วนหลิงเทียน มีอีกเรื่องที่ข้าต้องบอกเจ้า…”
ทันใดนั้น ซีเหมินฮ่าวซวนก็หันไปมองรอบๆห้องรับแขกอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะเลือกกล่าวด้วยการส่งเสียงผ่านพลัง “องค์กรกะโหลกเลือดได้เริ่มต้นภารกิจสังหารเจ้าอีกแล้ว…”
“เดิมทีพวกมันคิดว่าเจ้าถูกใช้เป็นเครื่องสังเวยต้นไม้เทพสังเวยสวรรค์ จนตกตายด้วยน้ำมือของผู้ที่อ้างตัวเป็นจักรพรรดิอมตะที่กลับชาติมาเกิดนั่น…แต่ตอนนี้พอเจ้าสร้างผลงานจนเด่นขึ้นมาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง พวกมันก็เลยได้รับทราบว่าเจ้ายังไม่ตาย”
หลังกล่าววจบซีเหมินฮ่าวซวนก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาลึกล้ำ
จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนจึงตะหนักได้ทันที ว่าที่แท้ซีเหมินฮ่าวซวนล่วงรู้ความเป็นมาของเขาแล้วนี่เอง ถึงไม่ได้เอ่ยถามอะไรเขาแต่แรก
“แล้วเจ้ารู้ได้ยังไง ว่าองค์กรกะโหลกเลือดมันเริ่มภารกิจฆ่าข้าอีกครั้ง?”
ต้วนหลิงเทียนเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะมองจ้องซีเหมินฮ่าวซวนตาเขม็ง
“เฮ่ๆ เจ้าอย่าพึ่งเข้าใจข้าผิดเล่า ข้าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับองค์กรกะโหลกเลือด…เหตุผลที่ข้ารู้เรื่องนี้มา เพราะได้ยินสหายข้ากล่าวถึงโดยบังเอิญ”
เมื่อเห็นว่าลึกลงไปในแววตาต้วนหลิงเทียนได้เผยประกายเยียบเย็นวาบขึ้น ซีเหมินฮ่าวซวนเร่งสายหัวและกล่าวตอบออกมาตามตรง “พอดีบิดาของมันเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของกงค์กรกะโหลกเลือด”
ตัวมันเองก็พึ่งรู้เรื่องราวเมื่อวันก่อน ว่าองค์กรกะโหลกเลือดออกภารกิจสังหารต้วนหลิงเทียน
เพื่อนของมันที่รู้ว่าต้วนหลิงเทียนตกเป็นเป้าสังหาร ก็มากล่าวปลอบมันโดยบอกว่าต้วนหลิงเทียนคงอยู่ได้อีกไม่นาน
เว้นแต่ต้วนหลิงเทียนจะเลือกอยู่แต่ในเขตคฤหาสน์เฉวียนโยวไม่ออกไปไหน
“ต้วนหลิงเทียน วันหน้าหากเจ้าต้องออกนอกเขตคฤหาสน์เฉวียนโยว เจ้าต้องพาผู้ตรวจการฉีไปด้วย…ข้าได้ยินมาว่าผู้ตรวจการฉีเป็นคนไปรับตัวเจ้ามาจาจกนิกายอมตะเป้าผู่ และมีความสัมพันธ์อันดีกับนิกายอมตะเป้าผู่นัก อย่างไรก็ต้องดูแลเจ้าแน่นอน”
ซีเหมินฮ่าวซวนเอ่ยบอกต้วนหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หากเจ้ายังไม่รู้สึกปลอดภัย เจ้าสามารถไปหาผู้นำคฤหาสน์เฉวียนโยวเพื่อหารือ…ด้วยพลังของเจ้าตอนนี้ ย่อมดึงดูดความสนใจมันไม่น้อย! มันไม่มีทางปฏิเสธเจ้าแน่!!”
“และแน่นอนว่าหากเจ้าไม่พอใจคฤหาสน์เฉวียนโยว เจ้าติดต่อมาหาข้าได้ทุกเมื่อ…ข้าจะให้บรรพบุรุษของข้ามารับเจ้าที่นี่ด้วยตัวเอง และตราบใดที่เจ้าเป็นคนของคฤหาสน์หงเอี้ย ทางคฤหาสน์หงเอี้ยเราไม่ปล่อยให้เจ้าเกิดเรื่องใดเพราะองค์กรกะโหลกเลือดแน่นอน!”
ฟังจากน้ำเสียงของซีเหมินฮ่าวซวนแล้ว อีกฝ่ายแลดูจริงจังไม่ใช่เล่น สีหน้าแววตายังทำราวกับพูดออกมาจากใจ
“เจ้าเตือนข้าทำไม?”
ต้วนหลิงเทียนเพ่งตามองซีเหมินฮ่าวซวน “ไม่ใช่ว่าหากข้าถูกองค์กรกะโหลกเลือดจัดการไป มันจะส่งผลดีต่อเจ้ากับอีก 5 คนที่เหลือรึไง?”
“หึ! ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ข้าซีเหมินฮ่าวซวนไม่กลัวเจ้าหายไปเพราะเรื่องพรรค์นั้น…หากข้าอยากเอาชนะเจ้าจริง ข้าก็จะทำมันอย่างเปิดเผยในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง!”
ซีเหมินฮ่าวซวนกล่าวออกด้วยความมั่นใจ
ความหวังดีของซีเหมินฮ่าวซวนก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกขอบคุณอยู่บ้าง “ในเมื่อเจ้าดีกับข้าแบบนี้…ครั้งหน้าที่ข้าเจอเจ้าในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง ข้าจะไม่ลงมือกับเจ้าอีก”
“ไม่ลงมือ? เพ่ย! หากเจ้าไม่ร่วมมือกับผู้อื่น ข้าเกรงว่าเจ้าคงไม่ใช่คู่มือข้ากระมัง?”
ซีเหมินฮ่าวซวนคลี่ยิ้ม “ข้าว่าเจ้ารออีกสักหลายๆปีค่อยพูดแบบนั้นจะดีกว่า”
“วันก่อนข้าคนเดียวอาจเอาชนะเจ้าไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าตอนนี้ข้าทำไม่ได้นี่นา…”
หลังจากเข้าใจความลึกซึ้งส่งผ่านแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็รู้ดีว่าความเร็วของเขาสมควรจัดอยู่ในระดับ 1 ของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางเรียบร้อย!
ด้วยเหตุนี้ต่อให้เขาจะเจอซีเหมินฮ่าวซวนอีกรอบ ถึงจะไม่มีหว่านชิงชิงช่วย เขาก็มั่นใจว่าจะจัดการซีเหมินฮ่าวซวนได้!
“โฮ่? เจ้ามั่นใจถึงขนาดนั้นเชียว เช่นนั้นเดือนหน้าข้าจะรอดู!”
ซีเหมินฮ่าวซวนกลอกตามองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาประหาดใจอยู่บ้าง แต่ในวาจาก็ไม่คล้ายไม่พอใจอะไร เห็นชัดว่ามันเชื่อว่าในเวลาสั้นๆต้วนหลิงเทียนยังไม่ใช่คู่ต่อสู้มันแน่
ในแง่พลังจู่โจม มันลองถามตัวเองดูก็ตอบได้ว่าสู้ต้วนหลิงเทียนไม่ไหว
แต่ในเรื่องความเร็ว ต่อให้ต้วนหลิงเทียนเฆี่ยนตูดม้าจนเลือดซิบ ก็ไล่ตามมันไม่ทัน…
ตอนพบเจออีกฝ่ายในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลาง ขอแค่มันอาศัยความได้เปรียบเรื่องความเร็ว มันก็มั่นใจอยู่ 7 ส่วนว่าจะจัดการต้วนหลิงเทียนได้
‘ครองอันดับ 1 ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับกลางติดต่อกันเป็นเวลา 12 เดือน…’
‘ผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย….’
‘ตราบใดที่ดวงข้าไม่เลวร้ายนัก…ภายในเวลา 1 ปีข้าต้องผ่านบททดสอบนี่ได้แน่’
หลังกล่าวร่ำลาทั้งไปส่งซีเหมินฮ่าวซวนแล้ว ระหว่างเดินทางกลับที่พัก ต้วนหลิงเทียนก็อดนึกถึงบททดสอบที่เจ้าวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อยมอบให้เขาขึ้นมาไม่ได้ ตอนนี้ในใจเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจนัก!