พอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ สีหน้าชายทั้ง 2 ก็เปลี่ยนไปทันที
“ใต้เท้าต่อให้ท่านไม่คิดร่วมมือกับพวกเรา ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องขับไล่ไสส่งพวกเรากระมัง? ท่านทำเช่นนี้…ไม่คิดว่ามันเกินไปหน่อยหรือ?”
ชายวัยกลางคน เอ่ยยถามออกมาเสียงเย็น
ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆเอง ก็ชักสีหน้าอัปลักษณ์บิดเบี้ยวด้วยความไม่พอใจ อย่างไรก็ตามในดวงตายังฉายความหวาดกลัวทั้งยำเกรงชัดเจน
เพราะท้ายที่สุดแล้วมันก็รู้ดี ว่าหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเบื้องหน้า คนนึงอยู่ในอันดับที่ 13 อีกคนก็ 15!
สหายข้างกายมันแม้จะอยู่ในอันดับที่ 12 แต่ทว่าตัวมันก็แค่อันดับที่ 19 เท่านั้น
“ในเมื่อเจ้าไร้ความสามารถเก็บผลเปลวอัคคีลายครามทั้ง 5 นั่นมาได้ แล้วเจ้าคิดจะรั้งอยู่ไปทำอะไร คิดเป็นเฒ่าประมงรอฉกฉวยรึ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเย้ย
“ใต้เท้า ท่านกล่าวเช่นนี้หมายความว่า…ท่านทั้ง 2 สามารถเก็บผลเปลวอัคคีลายครามได้เช่นนั้นหรือ?”
ชายหนุ่มระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน
จากการลงมือเมื่อครู่ มันจึงตระหนักถึงพลังอันน่ากลัวของจิตวิญญาณค่ายกลเบื้องล่างชัดเจนแจ่มแจ้ง กระทั่งมันกับสหายอีก 2 คนยังไม่ไหวจะสู้ด้วยซ้ำ!
แต่ชายหนุ่มชุดม่วงเบื้องหน้า กลับบอกว่าสามารถเก็บผลเปลวอัคคีลายครามทั้ง 5 ได้งั้นหรือ?
ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน กระทั่งชายวัยกลางคนเองยังอดไม่ได้ที่จะหวั่นใจ ในแววตายังเผยให้เห็นความหวาดกลัว แต่มันกลับไม่คิดจากไป
กระทั่งในแววตาหวาดกลัว กลับฉายให้เห็นถึงความโลภบางประการ
“ยังเหลืออีก 3 ลมหายใจ”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวเตือนเสียงหนัก
“ใต้เท้า…ผู้คนในหนทางเดียวกันวันนี้แยกไปวันหน้ายังพบใหม่ ใยต้องหักหาญน้ำใจกันถึงขนาดนี้เล่า?”
สีหน้าชายวัยกลางคนเริ่มเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยาก
“พี่หลิงเทียนอุตส่าห์ให้เจ้าไปแล้ว แต่เจ้ากลับไม่ไป เช่นนั้นก็อย่าได้คิดจะไป!”
ฮ่วนเอ๋อที่ลอยร่างข้างกายต้วนหลิงเทียน พอเห็นว่าชายวัยกลางคนทำท่าราวกับจะรั้นอยู่ไม่ยอมจากไป ร่างบางก็อันตรธานหายไปในฉับพลัน ผุดโผล่อีกครั้งก็อยู่ด้านหลังชายวัยกลางคนแล้ว!
พริบตาต่อมา ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะทันได้ตอบสนองเรื่องราวใด ห้วงมิติรอบกายก็ผนึกแข็ง กลับกลายเป็นกรงหนึ่งกักร่างมันเอาไว้!
เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ!
ท่ามกลางความว่างเปล่า พลันอุบัติรอยแยกมิติ 3 รอยขึ้น และปรากฏคมมีดมิติสีเทาพุ่งออกจากรอยแยกมิติทั้ง 3 ดังกล่าวฉับไว เข่นฆ่าสังหารเข้าใส่ชายวัยกลางคนที่ติดแหง็กอยู่ในกรงมิติ!
และเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลมันอุบัติขึ้นในชั่วเวลาเสี้ยวพริบตา กว่าที่ชายวัยกลางคนจะตอบสนองเรื่องราว คมมีดมิติทั้ง 3 ก็เข่นฆ่าเข้ามาจนห่างร่างมันไม่ถึง 10 ก้าวแล้ว!
สีหน้าชายวัยกลางคนเปลี่ยนไปใหญ่หลวง พลังเซียนนอมตะต้นกำเนิดทะลักออกมาท่วมร่าง ดาบอมตะในมือกระชับแน่นเปล่งแสงพลังพลางกู่ร้องเวิงๆ มือไม้ป่ายปาดออกกระบวนท่าไม้ตายตอบโต้กลับไปทันที!
และหลังจากปะทุพลังใช้เพลงดาบฟาดทำลายคมมีดมิติทั้ง 3 ที่เข่นฆ่าเข้ามาได้หมดแล้ว ชายวัยกลางคนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกคำหนึ่ง
แต่ทว่ามันพึ่งจะโล่งอกได้ไม่ทันไร เสียงโพล่งตะโกนด้วยความร้อนใจพลันดังงขึ้นจากด้านข้าง “ระวัง!!”
และผู้ที่โพล่งออกมาก็คือชายหนุ่มที่ลอยอยู่ข้างๆร่างวัยกลางคน มันเห็นชัดเจนว่าฮ่วนเอ๋อที่ลงมือใส่ชายวัยกลางคน ก็ไม่ได้หยุดยั้งอะไร นางเรียกแหวนประหลาดออกมา ก่อนที่จะสร้างกระบี่พลังมีสภาพแล้วจู่โจมเข้าใส่ชายวัยกลางคนอย่างต่อเนื่อง
ซู่มมม!!
กระบี่พลังที่สร้างขึ้นจากแหวน 9 วิญญาณหยินหยาง พุ่งทะยานตัดความว่างเปล่าฉับไว แสงพลังสองสีสันสาดส่อง และเมื่อเจียนปะทะกับกรงมิติมันก็อันตรธานหายไปในฉับพลัน
ปรากฏขึ้นอีกครั้งก็อยู่ภายในกรงมิติแล้ว!
“ไม่!!”
การโจมตีต่อเนื่องของฮ่วนเอ๋อรอบนี้ต่างจากก่อนหน้าที่ชายวัยกลางคนรับได้อย่างสิ้นเชิง เพราะนางได้ใช้แหวน 9 วิญญาณหินหยางในการลงมือ
ผลลัพธ์ย่อมจินตนาการได้ออก
ดาบในมือของชายวัยกลางคนถูกกระบี่พลังมีสภาพจากแหวน 9 วิญญาณหยินหยางปัดจนกระเด็นละลิ่ว ง่ามมือฉีกขาด จากนั้นกระบี่พลังมีสภาพก็พุ่งทะลวงป่นร่างวัยกลางคนเป็นหมอกโลหิต คงเหลือเพียงแหวนพื้นที่ ชุดเกราะอมตะ กับดาบอมตะระดับราชาที่กระเด็นละลิ่วไปนู่น…
หลังเข่นฆ่าชายวัยกลางคนแล้ว ฮ่วนเอ๋อก็สะบัดมือเบาๆคราหนึ่งดูดรั้งสิ่งของไม่เว้นดาบที่กระเด็นละลิ่วไปกลับมา ก่อนที่จะวูบร่างกลับไปอยู่ข้างกายต้วนหลิงเทียนในพริบตา ส่งมอบของทั้งหมดไปอยย่างคล่องแคล่ว
จากนั้นนางก็กุมมือต้วนหลิงเทียน สีหน้าท่าทีกลับมาแลดูอ่อนโยนว่าง่ายอีกรอบ
ชายหนุ่มที่อยู่ไม่ไกลได้แต่มองฮ่วนเอ๋อด้วยสายตาหวาดผวา รูม่านตามันหดแคบลงแทบปิด ขณะเดียวกันยังรู้สึกเสมือนมีไอเย็นสายหนึ่งแล่นวาบจากปลายเท้าจรดศีรษะ
หากมันไม่ได้มาเห็นกับตาตัวเอง มันไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าแม่นางน้อยที่ดูอ่อนโยนเชื่อฟังเบื้องหน้า จะดุร้ายเด็ดขาดขนาดนี้!
“เจ้ายังเหลือเวลาอีก 1 ลมหายใจ”
ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองชายยหนุ่ม พลางกล่าวเสียงเรียบ
และพอได้ยินวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ชายหนุ่มก็คล้ายตื่นจากฝัน ร่างปะทุพลังเกรี้ยวกราด หันหลังพุ่งร่างออกไปเร็วไว
ระหว่างที่เหินร่างหลบหนีมา ชายหนุ่มไม่กล้าหันกลับไปมองด้านหลังด้วยซ้ำ ไม่ทันไรก็ห้อตะบึงหายลับไปจากสายตาต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ เพราะห้วงเวลาสังหารเพียง 1 ลมหายใจเมื่อครู่ทำให้มันหวาดกลัวทั้งคู่จับใจ!
หลังเห็นชายหนุ่มหายลับไปจากสายตา ต้วนหลิงเทียนก็หันไปพูดกับฮ่วนเอ๋อว่า “ฮ่วนเอ๋อ เจ้าคอยระวังรอบๆ…ข้าจะไปเอาผลเปลวอัคคีลายคราม”
ที่ต้วนหลิงเทียนไม่อยากให้พวกมันรั้งอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เพราะเขากลัวว่าพวกมันจะประฉกฉวยโอกาสลอบก่อการอะไรทั้งนั้น
เหตุผลที่เขาไล่พวกมันไป เพราะไม่อยากให้พวกมันรู้เรื่องของเขามากเกินไป
อย่างน้อยๆก็มีกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน
จิตวิญญาณค่ายกลพิทักษ์ต้นเปลวอัคคีลายครามนั่นร้ายกาจไม่ใช่เล่นๆเลย ด้วยความแข็งแกร่งของเขาตอนนี้ หากไม่ใช้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนยังยากจะสยบมันได้
จริงอยู่ที่ฮ่วนเอ๋อก็มีพลังพอถ่วงรั้งจิตวิญญาณค่ายกล แต่ถ้ามีคนหนึ่งลงมือ เกิด 2 คนนั่นคิดไม่ซื่อขึ้นมา ถ้าไม่ใช้กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนก็ยากจะฆ่าพวกมันได้หมด
และเมื่อใช้กระบี่ออกมา เกิดอีกฝ่ายบดขยี้ป้ายหยกหนีไปได้ทันขึ้นมา เรื่องกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนไม่แพร่กระจายไปทั่วรึไง?
แน่นอนว่าพวกมันไม่มีทางรู้ว่ากระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนเป็นอุปกรณ์เทพ แต่ไม่พ้นต้องเข้าใจผิดคิดว่ากระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนเป็นอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิแน่นอน
หากเรื่องอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิถูกเปิดเผยออกไป เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเขาในตอนนี้
“อื้อ”
ฮ่วนเอ๋อพยักหน้ารับฟังอย่างว่าง่าย จากนั้นก็ปล่อยมือที่กุมมือต้วนหลิงเทียน จากนั้นก็มองต้วนหลิงเทียนเหินร่างลงไปยังปากปล่องภูเขาไฟเบื้องล่างด้วยสายตาระแวดระวัง
“ร้อนจริงๆ…ไม่แปลกใจเลยว่าไฉนจิตวิญญาณค่ายกลเมื่อครู่มันถึงได้ว่องไวนัก ที่แท้บรรยากาศกลับเต็มไปด้วยไอเพลิงแบบนี้ มันสามารถใช้ความลึกซึ้งท่องอัคคีได้นี่เอง…”
ในกฏแห่งไฟ มีความลึกซึ้งประการหนึ่งที่เรียกวว่า ท่องอัคคี…
ความลึกซึ้งท่องอัคคีนั้น หากตระหนักรู้จนบรรลุขั้นตอนความสำเร็จเบื้องต้นหรือเล็กน้อย ยังไม่อาจใช้ออกได้ตามใจ เว้นเสียแต่จะใช้มันในสถานที่ๆเต็มไปด้วยเพลิงไฟ
มีเพียงบรรลุความเข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่แล้วเท่านั้น ถึงจะใช้ได้ทุกที่…
หากแต่เมื่อครู่ลาวาปะทุขนาดนั้น เรียกว่าบรรยากาศอบอวลไปด้วยเพลิงไฟอย่างแท้จริง เข่นนั้นจิตวิญญาณค่ายกลที่ใช้กฏแห่งไฟนั่น ก็สามารถใช้ท่องอัคคีได้เต็มประสิทธิภาพ
“อ๋าวว วูววว!!”
ในขณะที่ร่างต้วนหลิงเทียนดิ่งลงไปยังปากปล่องภูเขาไฟ เสียงคำรามที่ฟังอย่างไรก็ไม่ต่างจากเสียงหอนของหมาป่าก็ดังกังวานสะท้านสะเทือนถึงแก้วหูต้วนหลิงเทียนจากเบื้องล่าง!
พริบตาต่อมา ประหนึ่งมังกรสมุทรทะยานพ้นลำน้ำ ร่างอสูรกายตัวเขื่องพลันทะลึ่งพรวดขึ้นมาจากลาวา โจนทะยานเข้าใส่ต้วนหลิงเทียนอย่างดุดัน!
วู้ม!
ต้วนหลิงเทียนพลิกฝ่ามือคราหนึ่ง กอบกุมกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่ก่อเกิดจากอณูแสงที่สาดส่องออกมาจากฝ่ามือ จากนั้นเพียงหนึ่งคิด ร่างก็พุ่งทะลุมิติไปผุดโผล่ด้านหลังอสูรกายตัวเขื่องในชั่วพริบตา ก่อนจะรวมรั้งพลังทั้งหมดลงสู่กระบี่ ตวัดฟันออกไปฉับไว!
ฟั่ฟฟฟฟฟ!!
เสียงหอนของกระบี่กรีดฟ้าดังขึ้นกึกก้อง แสง 7 สีพลันสาดส่องออกมาจากกระบี่ พุ่งเข่นฆ่ากวาดล้างไปราวแสงแห่งวันโลกาวินาศ เมื่อตกกระทบร่างอสูรกายเพลิงตัวเขื่อง พลันปะทุพลังทำลายอันน่าพรั่นพรึง ป่นทำลายร่างเขื่องจนสลายเป็นละอองพลังในบัดดล!
จากนั้นต้วนหลิงเทียนก็เก็บกระบี่หลิงหลง 7 สมบัติกลับเข้าร่าง ก่อนจะโรยตัวลงไปเด็ดผลเปลวอัคคีลายครามทั้ง 5 มาเก็บไว้
“ฮ่วนเอ๋อ ไปที่อื่นต่อเถอะ”
หลังเก็บผลเปลวอัคคีลายยครามทั้ง 5 แล้วเสร็จ ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างขึ้นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อนก่อนจะกล่าวชวนฮ่วนเอ๋อให้เดินทางต่อ
เขาไม่ได้คิดจะพอใจแค่ผลเปลวอัคคีลายครามทั้ง 5
แดนลับสมบัติระดับ 2 นั้นแม้จะอยู่ได้ไม่ถึง 30 วันเหมือนแดนลับสมบัติระดับ 1 แต่ก็สามารถอยู่ได้ 20 วัน
สำหรับแดนลับสมบัติระดับ 3 จะอยู่ได้แค่ 10 วันเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจะสมบัติหรือโอกาสอะไรในแดนลับระดับ 3 กว่าจะได้มาครองก็ต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบาก เรียกว่าต้องเหน็ดเหนื่อยกว่าแดนลับสมบัติระดับ 2 มาก แน่นอนว่าแดนลับสมบัติระดับ 2 ก็มีความลำบากมากกว่าแดนลับสมบัติระดับ 1
…
หลังได้รับผลเปลวอัคคีลายครามแล้ว ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ได้ตระเวนไปทั่วแดนลับสมบัติระดับ 2 ตลอด 20 วัน และได้ผลไม้อมตะและโอสถอมตะล้ำค่าที่คฤหาสน์เฉวียนโยวหามามอบให้เขาไม่ได้มากพอสมควร
และสิ่งที่เรียกว่าคุ้มค่ามากที่สุดก็คืออุปกรณ์อมตะประเภทชุดเกราะตัวหนึ่ง ที่มาในรูปแบบชุดผ้าที่ไม่ต่างอะไรจากชุดของนางฟ้าสีขาวแลดูงดงามเป็นที่สุด เรียกว่าฮ่วนเอ๋อตกหลุมรักมันตั้งแต่แรกเห็นเลยทีเดียว
พอเห็นฮ่วนเอ๋อมีความสุข ต้วนหลิงเทียนก็พลอยมีความสุขไปด้วย
สำหรับผลไม้อมตะที่พบเจอในภายหลังนั้น หากวัดกันในแง่ประสิทธิภาพแล้วพวกมันไม่อาจสู้ผลเปลวอัคคีลายครามได้เลย แต่ก็ถือว่าใช้ได้และมีคุณค่าไม่ใช่เล่นๆ
ยันต์อมตะเอง ต้วนหลิงเทียนก็พบเจอของที่ใช้การได้อยู่ 2-3 ชิ้น แต่สุดท้ายยันต์อมตะก็คือพลังภายนอก ไม่อาจใช้ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงได้โดยไม่ต้องจ่ายราคา
เพราะในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงก็มีพลังอาคมจากค่ายกลจำกัดเอาไว้ประการหนึ่ง ทำให้ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ใช้ยันต์อมตะนั้น จะหลบหนีก็ดีสังหารผู้อื่นก็ดี มันจะส่งผลทำให้ป้ายหยกประจำตัวสูญเสียพลังเคลื่อนย้ายออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงทันที!
ไม่ว่าจะอยู่ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงหรือในแดนลับสมบัติ!
กล่าวอีกอย่างได้ว่า
ใครที่ใช้ยันต์อมตะไม่ว่าจะใช้กับศัตรูหรือตัวเองในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง หากคิดจะกลับออกไปด้านนอก ก็จำต้องไปใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายในเขตปลอดภัยที่ปรากฏตัวครั้งแรกในรอบนั้นๆเท่านั้น
และในแดนลับสมบัติ จะสามารถออกไปได้ก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่แดนลับสมบัติปิดตัวลง
วิ้ง! วิ้ง!
เมื่อแดนลับสมบัติถึงเวลาปิดตัวลง ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ถูกพลังอาคมเคลื่อนย้ายส่งตัวกลับมายังเขตปลอดภัยทันที
“ฮ่วนเอ๋อ พวกเรากลับไปบ่มเพาะพลังกันก่อน จากนั้นค่อยกลับมาเข้าแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงอีกครั้ง”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวชวนฮ่วนเอ๋อให้ออกไปจากแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง เพื่อกลับไปบ่มเพาะพลังที่วังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย
ด้วยพลังฝีมือของขับฮ่วนเอ๋อตอนนี้ จริงอยู่ว่าถ้าร่วมมือกันก็ติด 10 อันดับแรกได้ แต่ก็ยังมีหลายคนที่สามารถคุกคามพวกเขาได้
ที่สำคัญใน 10 อันดับแรกก็มีจางจินอี้อยู่ด้วย ตอนนี้เขายังไม่มีความสามารถมากพอจะปะทะแตกหักกับมัน
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทีนยจึงคิดจะปิดด่านบ่มเพาะพลังสักระยะ และใช้ผลึกสำนึกผู้แข็งแกร่งที่สุดในการตระหนักรู้กฏมิติ หลังจากเพิ่มพูนพลังฝีมือจนพร้อมแล้ว ค่อยหวนกลับมาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงอีกครั้งก็ยังไม่สาย
“อื้อ พี่หลิงเทียนว่าอย่างไรฮ่วนเอ๋อว่าอย่างนั้น”
ไม่ว่าเมื่อไหร่ ฮ่วนเอ๋อก็ไม่คิดคัดค้านการตัดสินใจของต้วนหลิงเทียน เพราะในสายตานาง ไม่ว่าต้วนหลิงเทียนคิดจะทำอะไรล้วนเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด!
ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนจึงพาฮ่วนเอ๋อกลับมายังวังผู้พิทักษ์คฤหาสน์น้อย และปิดด่านบ่มเพาะอย่างสันโดษ ตัดขาดจากโลกภายนอก ทุ่มสมาธิไปกับการสั่งสมเพิ่มพูนพลังและตระหนักรู้กฏมิติ
เรื่องราวดังกล่าว คนนอกไม่ได้รู้เลย
คนนอกที่ว่าก็อย่างเช่นจางตงหนาน หัวหน้าเผ่าจิ้งจอกมายาสาขาแดนสวรรค์ใต้
หลังจากที่จางจินอี้ตกลงเรื่องใช้นามผู้อื่นเป็นการสวมรอยเพื่อเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงแล้ว จางตงหนานก็รีบไปดำเนินการทันที และเป้าหมายของมันก็คือผู้ฝึกตนอิสระไร้สังกัดคนหนึ่ง ที่เคยทำผลงานดีที่สุดในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงโดยการติดอยู่ในอันดับที่ 13
ผู้ฝึกตนอิสระคนนี้ เมื่อไร้ทรัพยยากรบ่มเพาะ ก็มักจะเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง และหากโชคไม่เลวร้ายเกินไปก็มักจะติดอยู่ใน 20 อันดับแรก
‘ถึงเจ้านี่จักมิเคยติดอยู่ใน 10 อันดับแรก…อย่างไรก็ตามมันไม่ได้เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงนานกว่า 10 ปีแล้ว แม้ทูตจะใช้ชื่อมัน จนติดอยู่ใน 10 อันดับแรกได้ ก็คงไม่มีใครคิดสงสัย’
จางตงหนานที่หาตัวผู้ฝึกตนอิสระที่ต้องการพบเจอ ก็อดคิดไปด้วยความยินดีไม่ได้ก่อนจะลงมือ
สำหรับผู้ฝึกตนอิสระคนนั้น จวบจนตายก็ไม่อาจเข้าใจ ว่ามันไปล่วงเกินยอดฝีมือขอบเขตจอมราชันอมตะตรงที่ใด…
“ท่านทูต”
หลังฆ่าผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นได้แล้ว จางตงหนานก็ย้อนกลับมายังเผ่าจิ้งจอกมายา และไปหาจางจินอี้ทันที “ข้าน้อยได้ไปจัดการหานามผู้ฝึกตนอิสระให้ท่านมาได้แล้ว”
“คราวนี้ยามท่านเข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูง ขอให้ท่านแกะสลักนาม ต๋งเยวี่ย ลงไปบนป้ายหยกประจำตัว”
“และมันได้ถูกข้าฆ่าทิ้งไปเรียบร้อย จากนี้ต่อไปมันไม่มีวันปรากฏตัวในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงได้อีก…และมันเองก็ไม่ได้เข้าสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับสูงมานานนับ 10 ปีแล้ว อันดับที่ดีที่สุดในอดีตที่มันเคยทำได้คืออันดับที่ 13…”