บทที่ 81 ผลลัพธ์ที่น่าตกใจ
73,500 หยวน หลังจากหักภาษีทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว จะมีเงินคงเหลือกว่า 60,000 หยวน ซึ่งมากกว่าครั้งสุดท้ายที่จี้เฟิงได้มาเมื่อตอนอยู่ในร้านลอตเตอรี่ที่ภูเขาหมางซือเสียอีก
“ขอบคุณมากเถ้าแก่!” จี้เฟิงหยิบบัตรธนาคารของแม่มาตบไว้ในมือ
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็ลดเสียงลงแล้วไปกระซิบที่ข้างหูเจ้าของร้านหัวโล้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ถ้าไม่ใช่เพราะผมกำลังอารมณ์ดีกับรางวัลที่ได้ในวันนี้ ผมคงไม่ปล่อยคุณไปง่ายๆ แบบนี้แน่!”
เจ้าของร้านรู้สึกตัวสั่นเมื่อได้ยินคำขู่ของจี้เฟิงและรีบพูดว่า “โธ่..น้องชาย พี่ชายคนนี้ผิดไปแล้ว ขอโทษด้วยจริงๆ แล้วๆ กันไปเถอะนะ!”
โดยปกติแล้วเจ้าของร้านคนนี้ก็ถือได้ว่า เป็นที่รู้จักของคนในแถบนี้พอสมควร พวกนักเลงกระจิ๊บกระจ้อยส่วนมากก็ไม่กล้าที่จะมาแหยมกับเขาเท่าไหร่นัก แต่กับจี้เฟิง ที่แม้เขาจะแต่งตัวเรียบๆ เสื้อผ้าที่ใส่ก็ดูธรรมดา แต่บรรยากาศรอบตัวของเขากลับมีความน่าเกรงขามดุร้าย อย่างที่เจ้าของร้านหัวโล้นก็ไม่รู้จะอธิบายออกมาได้อย่างไร
“คราวหน้าคุณเจ้าของร้านก็ช่วยระวังลูกตาของคุณให้ดีด้วย อย่าให้ผมเห็นว่ามันไปมองอะไรในสิ่งที่ไม่ควรมองอีก ไม่งั้นผมคงได้ควักลูกตาคุณออกมาโยนเล่นแน่!” จี้เฟิงตะคอกอย่างดุร้ายและหันหลังจากไป
“แม่งเอ๊ย!” เมื่อเจ้าของร้านหัวโล้นเห็นจี้เฟิงเดินจากไป เขาก็ก่นด่าอย่างประชดประชัน “ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าวันนี้จะมีคุณชายน้อยคนไหน มาใช้บริการที่ร้านเล็กๆ ของฉัน!”
“เมื่อกี๊.. พูดว่าอะไรนะ?!” ไม่รู้ว่าจี้เฟิงเดินกลับมาที่ประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ เขากลับมามองและถามไปที่เจ้าของร้านหัวโล้นอย่างเย็นชา
“เอ้ย..” เจ้าของร้านตกใจและรีบตอบไปว่า “ฉันหมายถึง ไอ้ลูกตาเล็กๆ บ้านี่ ไม่รู้เป็นอะไร ชอบมองอะไรที่ไม่ควรมอง แย่จริงๆเลย!”
“ระวังปากของคุณด้วย!” จี้เฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน เขาหันหน้ากลับแล้วเดินจากไป
“เฮ้อ..ออ~”
เจ้าของร้านถอนหายใจอย่างโล่งอก แม้ริมฝีปากของเขาขยับขมุบขมิบ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะก่นด่าอีกต่อไป และเมื่อเขาหันไปเห็นกองตั๋วลอตเตอรี่ที่ถูกรางวัลโดยการขูดของจี้เฟิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา
……………
“แม่ วันนี้เราโชคดีมากเลยเนอะ ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดว่าเราจะได้เงินรางวัลมากขนาดนี้ น่าเสียดาย ที่เราต้องจ่ายค่าภาษีอะไรนั่นด้วย ไม่งั้นเราจะได้เงินที่มากกว่าเจ็ดหมื่นหยวนเสียอีก!” จี้เฟิงยื่นบัตรธนาคารให้แม่ของเขา และพูดด้วยความเสียดาย
เซียวซูเหม่ยไม่ได้สงสัยอะไรในเรื่องนี้ เธอเคาะหัวลูกชายด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเด็กคนนี้ ได้มาขนาดนี้ยังไม่พอใจอีก!”
สำหรับเงินนั้น เซียวซูเหม่ยดูไม่ค่อยจะสนใจเท่าไหร่นัก เธอรู้เพียงแต่ว่า ด้วยเงินกว่า 60,000 หยวนนี้ถ้ามันเพียงพอต่อค่าเล่าเรียนสำหรับลูกชายของเธอ ที่จะต้องใช้ในการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย เธอก็พอใจมากแล้ว
จี้เฟิงยิ้ม เมื่อเห็นแม่ของเขาไม่ได้สงสัยอะไร และเขาก็รู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมากที่เห็นแม่ของเขายิ้มได้
……………
วันนี้เป็นวันที่ 6 นับตั้งแต่วันปีใหม่ของจีนผ่านมา จำนวนคนที่มาเดินเที่ยวบนถนนคนเดินก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น และเซียวซูเหม่ยก็ได้กลับมาขายผักอีกครั้ง จี้เฟิงซึ่งไม่อยากให้แม่ของเขาต้องเหนื่อย จึงขออาสาทำหน้าที่ทั้งหมดด้วยตัวเอง เขาจัดการถีบสามล้อไปรับผักที่ตลาดค้าส่งและมาช่วยแม่ของเขาขายผักที่ริมถนนแห่งนี้
อย่างไรก็ตามเหลืออีกเพียงสองวัน ก็จะถึงวันเปิดภาคเรียนถัดไปของโรงเรียนมัธยมปลายหมางซือวิทยาเขตที่สอง และเซียวซูเหม่ยก็พูดให้จี้เฟิงไปโรงเรียนในทันที ไม่ว่าเธอจะต้องทำงานหนักมากขึ้นแค่ไหน เธอก็จะไม่ยอมให้ลูกชายของเธอต้องล้มเลิกความตั้งใจที่จะเรียนหนังสืออย่างเด็ดขาด และถ้าไม่ใช่เพราะการยืนกรานอย่างหนักแน่นของเซียวซูเหม่ย เกรงว่าตอนนี้ จี้เฟิงคงทำตัวเหมือนเด็กๆ ที่ไม่อยากไปโรงเรียนและสุดท้ายก็ลาออกกลางคัน เพื่อเหตุผลอย่างการช่วยแม่ของเขาทำงาน
……………
ในวันแรกของการเปิดภาคเรียน จี้เฟิงรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เพราะทันทีที่เขาก้าวเข้ามาในชั้นเรียน เพื่อนนักเรียนทุกคนต่างมองมาที่เขาเป็นตาเดียว
“ไอ้เจ้าบ้า! มานี่เลย เร็วๆ!”
จางเล่ยโบกไม้โบกมือเรียกจี้เฟิงจากที่นั่งของเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“มีอะไรกันเหรอ?” จี้เฟิงรีบเดินจนเมื่อมาถึงที่นั่ง เขาอดไม่ได้ที่จะรีบถามด้วยความแปลกใจ “เล่ยซือ นายกินยาโด๊ปแต่เช้าเลยเหรอ ทำไมนายดูลุกลี้ลุกลนจัง!”
“ไอ้บ้า!”
“ฉันสิ ต้องถามนาย ว่าไปกินยาโด๊ปอะไรมาหรือเปล่า?!”
“ทำไม? มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ นายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร?!” จี้เฟิงมองหน้าจางเล่ยอย่างงงๆ เขามาผิดวัน? หรือเดินเข้าชั้นเรียนผิด? แล้วทำไมเพื่อนนักเรียนในชั้นถึงได้มองเขาแปลกๆ เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“ไอ้เจ้าบ้า ยังมาทำตีมึนอยู่อีก!” จางเล่ยส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เขาหยิบกระดาษขนาด A4 ออกมาจากใต้โต๊ะแล้วตีไปที่หน้าจี้เฟิง “เอ้า ไอ้เจ้าบ้า ดูเอาเอง!”
จี้เฟิงก้มลงไปหยิบกระดาษ A4 ที่พื้นขึ้นมาหลังจากที่มันลอยกระแทกหน้าเขาจากฝีมือของจางเล่ย เขามองไปที่กระดาษและพบว่า กระดาษ A4 แผ่นนี้ เป็นรายงานผลการทดสอบ
“มันเป็นผลการทดสอบครั้งสุดท้าย แล้วมันทำไม…” ก่อนที่จี้เฟิงจะพูดจบ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง “เจ็ดร้อยคะแนน.. อันดับสองเหรอ บ้าแล้ว ไม่จริงน่า!!”
ในกระดาษ A4 แผ่นนี้มีรายละเอียดผลการทดสอบครั้งสุดท้ายเมื่อก่อนหมดภาคการศึกษาที่แล้วของนักเรียนในชั้นรวมถึงทุกๆ วิชาถูกระบุอยู่ในกระดาษแผ่นนี้ด้วย และมีการบอกอันดับนักเรียนของทั้งชั้นปีไว้ที่ด้านหลังด้วย
ชื่อของถงเล่ยอยู่ด้านบนซึ่งถัดมาเป็นชื่อของจี้เฟิง… ที่เป็นอันดับสองของชั้นเรียนนี้และเป็นอันดับสองของทั้งระดับชั้นม.ปลายปี 3!! คะแนนรวมของถงเล่ยนั้นอยู่ที่ 703 คะแนนเท่านั้น
“นี่มัน… เฮ้อ..” จู่ๆ จี้เฟิงก็ยิ้มอย่างขมขื่น เขาไม่รู้จะพูดอะไร
หลังจากที่เขาได้คุยกับถงเล่ยเมื่อปีที่แล้ว จี้เฟิงก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำให้ถงเล่ยต้องรู้สึกผิดหวังในตัวของเขาอีก ดังนั้นเมื่อถึงการทดสอบครั้งสุดท้าย จี้เฟิงจึงใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ ในการควบคุมคะแนนสอบของตัวเองให้ดีขึ้น และผลที่ออกมามันก็เพียงพอที่จะทำให้เขาติดหนึ่งในสิบอันดับแรกของระดับชั้นปี
หลังจากเรื่องทั้งหมด ถงเล่ยรู้ดีว่าจี้เฟิงมีความสามารถในการจำที่ดีมาก ถ้าเขายังไม่สามารถทำคะแนนให้ติดหนึ่งในสิบอับดับแรกได้อีก ถงเล่ยก็จะบอกว่าจี้เฟิงไม่ตั้งใจจริงในการทำข้อสอบ แต่ผลที่ออกมาในตอนนี้ มันก็มากเกินไปที่จะบอกว่าเป็นความบังเอิญ เพราะคะแนนที่ห่างกันเพียงแค่ 3 คะแนนจากอันดับหนึ่ง มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจจริงๆ
“จี้เฟิง ฉันไม่คิดว่านายจะเป็นคนร้ายเงียบ และฝีมือดีได้ถึงขนาดนี้ ฉันขอคารวะจากใจจริง!” หวังตง เพื่อนนักเรียนคนหนึ่งซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจี้เฟิง กล่าวข้างๆเขาด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าบ้า ในที่สุดนายก็ทำสำเร็จแล้ว การลอกข้อสอบอย่างอุกอาจของนายจะเป็นที่กล่าวขาน ทีนี้ก็เหลือแค่เพียงอาจารย์จะเรียกนายไปจัดการยังไงดี!” จางเล่ยกล่าวอย่างยินดี
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะกลอกตาสาปแช่ง “ไอ้พวกบ้าเอ๊ย จำไม่ได้หรือไงว่าตอนสอบเรานั่งแยกกัน แถมไม่ได้อยู่ห้องสอบเดียวกันด้วยซ้ำ แล้วฉันจะไปลอกข้อสอบใครมาได้ตั้งเจ็ดร้อยคะแนน?!”
นักเรียนชั้นมัธยมปลายปีที่ 3 ถูกจัดให้สอบแยกกันตามห้องต่างๆ ในอาคารเรียน เพื่อป้องกันการโกง ยิ่งไปกว่านั้น จี้เฟิงที่ได้อันดับสอง ที่มีคะแนนถึงเจ็ดร้อยคะแนน หากเขาจะทำการลอกข้อสอบด้วยคะแนนเท่านี้ได้ ก็มีแค่การลอกข้อสอบของถงเล่ยที่ได้อันดับหนึ่งเพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่เขาและถงเล่ยไม่ได้อยู่ในห้องสอบห้องเดียวกัน และคะแนนของคนที่อยู่ในอันดับต่อจากเขานั้นก็ต่ำกว่าเขามาก แล้วเขาจะสามารถลอกข้อสอบของใครได้?
“เออว่ะ จริงด้วย!” จางเล่ยทำหน้าตกใจและมองไปที่จี้เฟิง “ไอ้เจ้าบ้า นายไม่ได้ลอกข้อสอบจริงๆ นี่นายแอบเอาหนังสือเข้าห้องสอบด้วยเลยงั้นเหรอ?!”
“จะไปไหนก็ไป!” จี้เฟิงดุจางเล่ยพร้อมกับส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ เขาพูดกับตัวเองในใจ ถึงแม้ว่าผลลัพธ์มันจะออกมาดูน่าตกใจไปสักหน่อย แต่อย่างน้อยมันก็เป็นผลสอบที่แท้จริงของเขา เขาจะทำเรื่องสกปรกอย่างการโกงข้อสอบได้อย่างไร?
จะว่าเป็นผลสอบที่แท้จริงก็ไม่เชิง จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อย นี่เป็นเพราะเขาจงใจควบคุมคะแนนสอบ ถ้าเขาทำข้อสอบตามความสามารถที่แท้จริงของเขา ถ้าไม่นับองค์ประกอบบางอย่างแล้วเกรงว่าเขาคงจะได้คะแนนเต็ม
ถ้าให้นับแบบนั้นเขาน่าจะได้คะแนนอยู่ที่ประมาณ 730 คะแนน แล้วถ้าหากผลออกมาแบบนี้จริงๆ คิดว่าก็คงไม่มีใครเชื่ออยู่ดี
เพราะแค่คะแนนของเขาออกมา 700 คะแนน แม้แต่จางเล่ยผู้ที่รู้จักเขาดีที่สุดยังคิดสงสัยในตัวเขา
“จี้เฟิง ก่อนนายมาถึง ซูหม่าและคนอื่นๆ กำลังพูดเรื่องที่นายน่าจะโกงข้อสอบ และพวกนั้นก็จะไปรายงานเรื่องนายและขอให้ไล่นายออกจากโรงเรียน นายต้องระวังตัวให้ดี!” หวังตงพูดเตือนจี้เฟิงด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก
“ฉันเชื่อในตัวจี้เฟิง!” ทันใดนั้นเสียงที่คมชัดและไพเราะราวกับไข่มุกตกกระทบกับแผ่นหยกก็ดังขึ้น
จี้เฟิงและจางเล่ยหันศีรษะไปพร้อมกัน และเห็นถงเล่ยในเสื้อแจ็คเก็ตสีชมพูดูสวยบริสุทธิ์เหมือนดอกลิลลี่ที่ตอนนี้ยืนอยู่ข้างๆ จี้เฟิง
“ถงเล่ย!” จี้เฟิงยิ้มออกมาอย่างลืมตัว เขาไม่ได้พบกับถงเล่ยเลยตลอดวันหยุดฤดูหนาว ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะสูงขึ้นเล็กน้อยและแน่นอนว่าสวยขึ้นด้วย!
ใบหน้าของถงเล่ยปรากฎรอยยิ้มที่สวยงาม เธอกระซิบกับจี้เฟิง “จี้เฟิงออกมากับฉันหน่อย อาจารย์ประจำชั้นเรียกพบนาย”
จี้เฟิงผงะเล็กน้อยแต่แล้วเขาก็พยักหน้า ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลการทดสอบ ไม่อย่างนั้นอาจารย์ประจำชั้นที่ไม่เคยมองเห็นหัวนักเรียนที่ยากจนอย่างเขา คงไม่เรียกเขาไปคุยกับตัวเองง่ายๆ
เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงโถงทางเดิน ถงเล่ยก็หยุดเดินกะทันหันและหันกลับมา เธอมองไปที่จี้เฟิงด้วยรอยยิ้มที่สวยงาม “จี้เฟิง ฉันขอแสดงความยินดีกับผลลัพธ์ที่ดีของนายด้วยนะ ฉันรู้ว่านายต้องทำได้!”
จี้เฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม “หัวหน้าชั้น ที่ฉันทำได้นั่นเป็นเพราะการติวของเธอต่างหาก ผลลัพธ์ที่ออกมาต้องขอยกเครดิตให้กับเธอ!”
“ฉันไม่กล้าขอเครดิตในเรื่องนี้หรอกนะ นายมีความจำที่ดีขนาดนี้ ต่อให้ไม่มีใครมาติวให้ นายก็ต้องทำมันออกมาได้ดีอย่างแน่นอน!” ถงเล่ยยิ้มหวานเมื่อได้ยินคำชมของจี้เฟิง
“ถงเล่ย ไว้เรามาทานอาหารด้วยกันบ้างดีไหม!” จู่ๆ จี้เฟิงก็พูดขึ้น
“หือม์?” ถงเล่ยเริ่มเขินขึ้นมาเล็กน้อย นี่แค่ชวนไปทานข้าวหรือเขาจะชวนเราไปเดทกันแน่?
จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “ถงเล่ย เรายังไม่เคยทานข้าวด้วยกันเลย”
“ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้กันทีหลัง!” ถงเล่ยเขินจนหน้าแดงก่ำ และไม่รู้ว่าควรตอบตกลงไปดีหรือไม่ หลังจากพูดเสร็จเธอก็หันกลังกลับเดินตรงไปที่ห้องสำนักงาน
“เดี๋ยว ตกลงเธอจะไปทานข้าวกับฉันหรือเปล่า?!” จี้เฟิงรีบหยุดถงเล่ยไว้ แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “โอเคนะถงเล่ย ไว้เราไปทานข้าวด้วยกัน!”
“นั่นมันขึ้นอยู่กับความจริงใจของนายแล้วล่ะ! คิกคิก~” ถงเล่ยเลิกคิ้วขึ้นและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ “แต่ตอนนี้ให้ฉันพานายไปพบอาจารย์ประจำชั้นก่อน”
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็หัวเราะออกมา ถงเล่ยคนนี้ที่มีความสวยงามราวกับเอลฟ์ เธอมีความงามที่บริสุทธิ์ราวกับดอกลิลลี่ แถมเธอยังมีสติปัญญาที่ฉลาดหลักแหลมอีกด้วย และในตอนนี้เธอได้แสดงนิสัยแสนซนออกมา ซึ่งทำให้เธอดูน่ารักมากยิ่งขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้พบกับอาจารย์ประจำชั้นของเด็กมัธยมปลายปี 3 อารมณ์ดีของจี้เฟิงก็ได้จางหายไป
ทันทีที่เขาเข้ามาในสำนักงาน จี้เฟิงก็หันไปเห็นเซียวหยูซวนที่สวยงาม เธอเพียงมองจี้เฟิงแค่เพียงแวบแรกที่เขาเข้ามาในห้อง หลังจากนั้นเธอก็หันไปจัดการธุระของเธอต่อราวกับว่าเธอไม่เคยรู้จักจี้เฟิง
จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ดูเหมือนว่าเซียวหยูซวนจะยังโกรธเขาอยู่ จี้เฟิงรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย มันเป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัยขนาดนั้นเลยเหรอ ที่เขาทำให้เหอตงต้องเสียหน้า?
เมื่อนึกถึงเรื่องเหล่านี้ จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธ เขาเดินตรงไปที่โต๊ะของอาจารย์ประจำชั้น “อาจารย์ประจำชั้น คุณเรียกหาผมอยู่เหรือเปล่า?”
“จี้เฟิง เธอรู้หรือเปล่าว่าฉันเรียกเธอมาด้วยเรื่องอะไร” ผู้หญิงวัยกลางคนอายุ 40 ปีเศษคนนี้ เธอเป็นหัวหน้าอาจารย์ของระดับชั้นมัธยมปลายปี 3 (อาจารย์ประจำชั้นม.ปลายปี3)
จี้เฟิงหัวเราะ “มันจะเป็นเรื่องอะไรไปได้อีกละครับ นอกจากเรื่องคะแนนของผลทดสอบที่ผ่านมา!”
อาจารย์ประจำชั้นพยักหน้า เขาจ้องไปที่ใบหน้าของจี้เฟิงและถามว่า “เธอสามารถอธิบายได้หรือไม่ว่า ทำไมผลคะแนนการทดสอบของเธอถึงได้เพิ่มขึ้นมาอย่างกะทันหันแบบนี้?”
ทันใดนั้นจี้เฟิงก็ทันสังเกตเห็น ท่าทีของเซียวหยูซวนที่ดูจะสนใจการสทนาในครั้งนี้อยู่
เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้ม “อาจารย์ครับ ผลการเรียนของผมดีขึ้น คุณก็ควรที่จะดีใจไม่ใช่เหรอ ความต้องการของคนที่เป็นอาจารย์ไม่ได้อยากเห็นผลการเรียนของนักเรียนดีขึ้นหรอกเหรอครับ มันมีอะไรที่ให้ผมต้องอธิบายอีก?”
เซียวหยูซวนที่แอบฟังอยู่ใกล้ๆ ได้เผลอยิ้มขึ้นที่มุมปากของเธอ แต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็ว
“เธอ..” อาจารย์ประจำชั้นจ้องไปที่จี้เฟิงอย่างโกรธเคือง เธอสอนมาหลายปี ไม่เคยมีนักเรียนคนไหนที่กล้าพูดกับเธอแบบนี้ จี้เฟิงเป็นคนแรก อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่สามารถหาเหตุผลที่ดีพอมาโต้แย้งได้อีก เธอจึงได้แต่ขึ้นเสียงด้วยความโกรธ
“ผมรู้ว่าอาจารย์คงคิดว่าผมโกง!” จี้เฟิงพูดห้วนๆ ผมขอรับรองได้ว่า คะแนนการทดสอบที่ออกมา มันเป็นผลจากการทำข้อสอบด้วยตัวของผมเองอย่างแท้จริง แล้วถึงแม้ผมจะโกง ผมจะทำไปเพื่ออะไร? มันจะมีประโยชน์ตรงไหน ถ้าตอนที่ผมต้องไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วผลสอบออกมามันห่วยแตก มันก็ไม่ต่างจากการหลอกตัวเอง.. ถูกมั้ยครับ?”
………จบบทที่ 81~